เมื่อก่อนผมเล่นดนตรีกลางคืน ทำอาชีพเป็นนักร้องตามผับ ตามร้านอาหารต่างๆ ผมได้มีรุ่นพี่อยู่คนนึงชื่อ พี่พจน์ และวงดนตรีที่เราเคยทำมาเล่นกลางคืนด้วยกันตอนผมอยู่มหาลัย ช่วงเรียนผมไปสายกระจาย ช่วงสอบยิ่งสายหนัก แต่การทำงานของผม เรียกได้ว่าแทบไม่เคยจะสายเลย ผมไปเรียนน้อยมากเพราะว่าตอนกลางคืนต้องไปร้องเพลง วงที่ผมอยู่เค้าก็ชวนมาให้เราเล่นด้วยกัน เราตกลงกันว่าจะทำแนวๆ แบบใส่ชุดหมี ชุดดับเพลิง แล้วใส่หน้ากากการ์ตูนเล่นกันเป็นวง เรื่องบ้าๆ ผมชอบอยู่แล้ว ผมเลยเอาด้วย เราตั้งชื่อวงกันว่าสับปะรด เราตระเวนเล่นกันไปทุกที่และหลายๆ จังหวัด ผมว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เป็นอะไรที่สนุกมากๆ ทุกคนในวงเล่นมุขกันทุกวันขำกันมาก บางทีก็ตดแข่งกันบ้าง เล่นมุขกันตลอด แซวกัน และก็หลังจากเราเล่นดนตรีเสร็จก็จะหาอะไรอร่อยๆ มากิน

เราสนุกและเราไปเล่นที่ไหนเราก็ได้งานมาเรื่อยๆ ผมทำเงินจากการเล่นดนตรีได้เดือนละประมาณ 3-4 หมื่นบาท ครั้งแต่ที่ผมเริ่มเล่นดนตรีกลางคืนได้ค่าตัว 250 บาท หลังจากที่เราไปเล่นที่หัวหินผมประสบอุบัติเหตุครั้งนึงตอนอายุก่อนจะ 25 และทำให้ผมแขนหักทั้งสองข้าง หลังจากนั้นวงเราก็แตก เพราะว่าผมไม่ได้เล่นต่อ
ผมจะเล่าให้ฟังถึงพี่คนนี้ชื่อพี่พจน์ พี่คนนี้เป็นคนตลกๆ ตัวใหญ่ๆ เสียงเล็กๆ บนตัวมีรอยสักชื่อพ่อ ชื่อแม่อยู่แขนซ้ายและแขนขวา พี่พจน์เป็นพี่คนนึงที่เล่นกีต้าร์เก่งมาก และอยู่แถวๆ แฟลชคลองจั่นที่บางกะปิ พี่พจน์เปิดห้องซ้อมเล็กๆ แถวๆ แฟลช และเด็กนักเรียนที่เกเร ติดยา ตีรันฟันแทง เด็กช่างแถวๆ นั้นก็มาเล่นดนตรี
หลายๆ คนไม่ติดยาเพราะหันมาเล่นดนตรีเป็นอาชีพ ผมว่ามันดีมากๆ และแกนกลางก็คือพี่พจน์ที่เป็นเจ้าของห้องซ้อม ผมบ้านอยู่ดาวคนอง แต่เดินทางไปบางกะปิเกือบจะทุกวันเพื่อไปซ้อมและไปเล่นตามที่ต่างๆ มาวันนี้ได้รับข่าวจากรุ่นพี่ว่าพี่พจน์ไม่สบาย เลยดินทางไปเยี่ยม อาการของแกครั้งแรกที่ไป แกยังดีๆ อยู่
หลังผ่าเรายังแซวพี่พจน์ว่าทรงผมพี่ทรงใหม่ เป็นแนวใหม่ เท่ห์ดี มีผู้บริหารจากบริษัทที่ประเทศญี่ปุ่นที่พี่พจน์ไปเยี่ยมมาเยี่ยมด้วย ผมลืมบอกไป พี่พจน์แกเป็นฝันของนักดนตรีหลายๆ คน แกเล่นให้กับวงพั๊น และก็เล่นให้กับวง พีสะเดิด และเป็นคนสุรินทร์

ก่อนผมไปเยี่ยมผมเล่าให้แม่แกกับแกฟังเรื่องไปล้างพิษตับ ผมอยากเล่าเรื่องนี้เพราะจะเป็นประโยชน์กับใครที่กำลังมีครอบครัวหรือคนในบ้านเป็นมะเร็ง ผมเล่าเรื่องพ่อของรุ่นพี่คนนึงซึ่งไปเข้าปฏิบัติธรรมกับอาจารย์ณทรงพจน์ เป็นอาจารย์สอนธรรมให้กับผม และมีคอร์สๆ นึงเรียกว่า คอร์สล้างพิษตับ ชื่อ คอร์สล้างพิษกาย สลายพิษกรรม ปรับสมดุลใจ
พ่อของพี่ออยป่วยเป็นมะเร็งและไปหาหมอแผนปัจจุบัน อาการก็แย่ลงๆ ช่วงก่อนจะผ่าตัดครั้งสุดท้าย พ่อพี่ออยได้มาเข้าคอรฺ์สนี้และผลปรากฏว่าสุขภาพดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ในคอร์สนี้มีพี่คนนึงเป็นมะเร็งขั้น 3 หมอบอกว่าอยู่ได้ 3-6 เดือน แต่หลังจากมาคอร์สนี้ ทุกวันนี้แกอยู่มาจะ 3 ปีแล้ว
กลับมาเรื่องพ่อพี่ออยต่อก่อน พ่อพี่ออยอาการดีขึ้นหลังมาล้างพิษดีท็อกซ์ แต่อยู่มาวันนึง ทางโรงพยาบาลก็โทรมาบอกว่าห้องผ่าตัดว่างแล้ว ให้มาผ่าได้ พี่ออยก็ปรึกษากับอาจารย์ณทรงพจน์ ปรากฏว่าอาจารย์บอกว่าอย่าไปผ่านะ ถ้าผ่านแล้วอาการจะไม่เหมือนเดิมแน่นอน แต่ตอนนั้นทางบ้านเค้าก็เชื่อหมอแผนปัจจุบัน ซึ่งปรากฏว่าหลังจากผ่ามาแล้ว ไม่เหมือนเดิมจริงๆ

รูปบนตอนหลังได้รับการดีท็อกซ์และปฏิบัติธรรม แต่รูปล่างเป็นรูปหลังจากเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งแกหมดอาลัยตายอยากและสิ้นหวังกับการใช้ชีวิตอยู่เพราะว่าคงทรมานจากการเป็นมะเร็งลำไส้ มีปัญหาเรื่องการทานอาหารและการขับถ่าย หลังจากนั้นผมได้ทราบข่าวครั้งแรกตอนไปล้างพิษครั้งแรก ว่าไปผ่า แต่ยังไม่เป็นไร อาการแย่ และทรุด แต่ครั้งที่สองที่ผมไปล้างพิษตับ ปรากฏว่าเสียชีวิตแล้ว เพราะว่าคนทรมานไม่ไหว พี่ออยเป็นคนดีและเป็นลูกที่กตัญญู และเข้มแข็งมากๆ หลังคุณพ่อพี่ออยเสียชีวิตลงจากมะเร็งลำไส้ เรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นประสบการณ์ให้คนอื่นๆ

ผมเล่าเรื่องนี้ให้แม่พี่พจน์และตัวพี่พจน์เองฟัง และพยายามบอกให้แกไปล้างพิษตับ แต่แกบอกว่าหมอนัดคีโม ถ้าแกว่างแกจะไป ผมเองกังวลเรื่องนี้มากๆ เพราะรู้ว่าอะไรจะเกิดตามมาถ้าแกเข้าไปผ่า หรือไปฉายแสง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก...

หลังจากผมกลับมาจากล้างพิษอีกครั้ง ทราบข่าวว่าพี่พจน์ไปคีโมมา เพราะว่าที่สมองมีเนื้องอกทับเส้นประสาททำให้แกปวดหัวอย่างรุนแรง และตอนนี้แกดีขึ้นเพราะไปคีโมมาทีนึง และแกก็ไปฉายแสงมะเร็งระยะที่ 4 ที่เป็นที่ปอด และอยู่มาวันนึงก็ได้ข่าวจากเพื่อนว่า พี่พจน์ทรุดลงและอาการตัวเหลือง ผมพอได้ทราบข่าวก็รีบไปเยี่ยมเลย เพราะลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี ดูอาการแล้วไม่เวริ์คเท่าไหร่
ผมมาครั้งแรกพี่พจน์ผมบางลงไป ผมได้เจอนักดนตรีสมัยก่อนเพียบเลย ก่อนหน้านี้ประมาณปีนึงเจอรอบนึงและ ตอนที่พี่พจน์แต่งงาน แต่งงานได้ปีเดียว เดินสายเล่นดนตรีจนมาเจอเรื่องราวนี้ พี่พจน์ทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด แกยังยกนิ้วสู้อยู่ แกเป็นคนตลกๆ ผมเจอแก แกบอกว่า ไตพี่จะวาย ตัวมันเหลือง หอบ เหงื่อแตกพลั๊ก ผมได้แต่มอง เอากระดาษทิษชู่ เช็ดหน้าให้แก เหงื่อแกออกตลอดเวลา

ก่อนกลับในวันแรก ผมกับพี่โก้ และพี่ๆ คนอื่นจะเป็นคนตลกๆ อยู่แล้ว พวกเราก็พยายามเล่นมุขกันให้พี่พจน์แกขำ และก็คอยซับเหงื่อ ผมถามพี่สาวแก แกบอกว่ามันขั้น 4 แล้ว เหมือนทางบ้านแกก็ทำใจยอมรับสภาพแล้ว ผมยืนมึนๆ แต่คิดว่าพี่พจน์น่าจะได้ยิน พี่พจน์ฝากบอกทุกๆ คน ว่าอยากให้ทุกคนมาเยี่ยม ก่อนกลับแกเรียกผม... มินๆๆ เอากระดาษมาเช็ดเหงื่อให้พี่หน่อย เหงื่อออก... ผมคว้ากระดาษไปแล้วกำลังจะเช็ด ปรากฏว่าที่ออก ไม่ใช่เหงื่อ แต่เป็นน้ำตาของแก น้ำตาแกไหลออกมาเลยครับ ผมรู้สึกบอกไม่ถูก มันจุกๆ อยู่ในหน้าอก แบบแน่นๆ ผมไม่ได้พูดอะไร แต่เอากระดาษทิชชู่ เช็ดให้ตามที่แกบอก ผมกอดแกแล้วบอกว่าจะมาเยี่ยมใหม่ หลังจากนั้นผมลานักดนตรีที่เหลือ พี่สาวกับแม่พี่พจน์กลับบ้าน
หลังจากนั้นเวลาผ่านไปได้อีกประมาณ 2-4 วัน ผมหาเวลาว่างมาหาแกใหม่ โทรนัดกับมือเบส โทรหาแม่แกเป็นระยะๆ มาอีกรอบพี่พจน์แกนอนไม่ได้ ต้องนั่งแบบที่เห็นในรูป ผมสงสารและเห็นใจแกมากๆ เข้าใจเลยว่ามันทรมาน ผมเลยไปเอาหมอนตุ๊กตามีหูมาให้แก ดูวันนี้แกอ่อนเพลีย สอบถามแม่แก แม่แกบอกว่าน้ำท่วมปอดซ้ำซ้อนอีก เลยนอนไม่ได้ พี่พจน์คงเพลียมาก หลับทั้งนั่งเลย วันนี้ผมแกบางลงไปอีก ผมเอาหมอนไว้ให้แกเลย และบอกกับแกว่าจะมาเยี่ยมใหม่ หายแน่ๆ สู้ๆ แกยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร...

หลังจากนั้นผมไม่ได้มาอีกประมาณ 1 อาทิตย์ ก็โทรถามอาการคุณแม่แกตลอดว่าแกเป็นไรบ้าง
วันสุดท้ายที่ผมได้เจอแก พี่พจน์อยู่ใน ICU เค้าให้เยี่ยมได้ช่วง 12.00-13.00 น. รอบค่ำ 18.00-19.00 น. ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
ผมมาถึง 15.30 น. ก็ไปดุ้มๆ มองๆ หน้าห้อง ICU แล้วบอกกับคุณพยาบาลว่า ผมมาจากดาวคนอง ตั้งใจมาเยี่ยมรุ่นพี่ที่อยู่ในนี้ คุณพยาบาลใจดียอมเปิดประตู อาจจะเพราะความตั้งใจของผม และแววตาของความหวังริบหรี่
ผมเข้ามาเจอพี่พจน์ รอบนี้ ถ่ายรูปไม่ได้ พี่พจน์นอนหลับ อยู่ในเตียงซ้ายมือเตียงแรก ภาพที่ผมเห็นครั้งแรกคือ ผู้ชายมีเครา ผมบางๆ ตัวใหญ่ๆ ขนดกๆ หน่อย นอนในผ้าเตี่ยวสีขาวอยู่บนเตียง ตามหน้าตามจมูกเต็มไปด้วยเครื่องช่วยหายใจ และสายน้ำเกลือที่ขา ... พี่พจน์กำลังหลับอยู่
ผมยืนมองแกอยู่พักนึงเลย ตอนนี้แกยังไม่ตื่น แต่พอมองไปพักนึง ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอามือจับแขนแก แกลืมตาขึ้นมามองผม สายตาดีใจ และแกทำมือชี้นิ้วไปที่แขนของแก แขนพี่พจน์มีเจลทำความเย็น แกทำมือเหมือนให้ไปเอามาให้หน่อย ... ผมเดินไปขอที่คุณพยาบาลข้างใน และสอบถามอาการ อาการไม่ค่อยจะดีนัก คุณพยาบาลบอกว่าเค้าอยากกลับบ้าน แต่หมอบอกว่ากลับไม่ได้ อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว ... ซักพักคุณพยาบาลก็เอา เจลแช่เย็นมาให้ผม ผมเดินเอาไปให้พี่พจน์ พี่พจน์คงจะรู้สึกร้อนมือ รอบนี้ผมไปยืนมองแก แกมองกลับมา ผมจับมือแกอีกรอบ คราวนี้ผมน้ำตาไหลแทน พี่พจน์มองผมตาโต แต่พูดอะไรไม่ได้เพราะสายเต็มไปหมด ซักแป๊บ ผมเดินไปเรียกคุณพยาบาลเพราะผมเห็นที่ขาของพี่พจน์ ตรงสายมันมีเลือดไหลออกมาตรงสายเลย พยาบาลรีบเดินเข้ามาดู ปรากฏว่าเลือดมันย้อนออกมา ทีนี้คุณพยาบาลมา 2 คนเลยครับปรับเตียงลง
ช่วงนี้ตัวผมเองยังคงยืนนิ่งน้ำตาไหล ที่ไหล ไม่ได้อยากหล่อหรืออยากเท่ห์อะไรหรอกครับ สงสารพี่เขาจริงๆ น้ำตามันไหลออกมาเอง
เพื่อนๆ พี่น้องที่รักทั้งหลายครับ ภาพที่เราเคยใช้ชีวิตด้วยความสนุกสนาน เล่นมุขกับ ตดแข่งกัน ย่างหมูย่างกินกับเบียร์กัน ที่พี่เขาเล่น ผมปีนลำโพง ขึ้นไปร้อง มันผุดแว๊บกลับมาหมดเลย เราได้ทำอะไรบ้าๆ มาได้กัน มันสนุกมาก ยังไม่ได้ทันได้คิดอะไร พยาบาลเอาเตียงลง แล้วถามพี่พจน์ว่าเจ็บไหม ผมมองไป เห็นพี่พจน์มองเพดาน น้ำตาเต็มส่วนเว้าของตาเลยครับ ขังอยู่ในส่วนที่เว้าของลูกตา และพยาบาลก็บอกว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้ว ผมยกมือไหว้ ลาพี่พจน์ แล้วบอกจะมาใหม่ ใจผมอยากจะบอกพี่พจน์เสียงดังๆ เลยว่า พี่ครับ ผมรักพี่นะครับ ผมไม่ได้เปล่งเสียงออกมา แต่ผมบอกพี่พจน์ในใจตอนผมยืนมองเค้าตั้งแต่แรกแล้ว
แต่เท่าที่จำได้ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันในสภาพยังมีชีวิต ตอนนี้แหละครับ ผมจำทุกภาพทุกวินาทีที่ได้เข้ามาหาพี่ชายคนนี้ ผมนับถือแกเป็นพี่ชาย และแกเป็นแรงบันดาลใจของผม และใครหลายๆ คน
ผมหายไปอีกสองวัน โทรกลับไปหาคุณแม่ คุณแม่บอกว่า กำลังจะย้ายกลับไปสุรินทร์ พี่พจน์อยากกลับสุรินทร์ ในใจผมคิดว่าคงดีขึ้นแล้วแน่ๆ ปรากฏว่ารุ่งเช้า ก็มาได้ข่าวว่าพี่พจน์จากไปเงียบๆ ระหว่างเดินทางย้ายไปที่สุรินทร์ ผมใจหายแว๊บ... ความเงียบเดินทางมาเยี่ยมอีกแล้วครับ
งานฌาปนกิจศพของพี่พจน์ Grammy ให้เกียรติครอบครัวของพี่พจน์มากๆ คุณพีสะเดิด พี่โก้มิสเตอร์แซกแมน พี่กิตติ กีต้าร์ปืน คุณแพนเค๊ก และเหล่าศิลปินและแบล็กอัพ มาร่วมงาน นักดนตรีที่รู้จักพี่พจน์ทั้งหมด รูปสุดท้ายผมค่อนข้างตกใจนิดหน่อย อาจจะกล้องมันแฮ็งรึเปล่า แต่ภาพที่ได้ กลายเป็นภาพที่เห็นด้านล่าง เล่นเอาตกใจทีเดียว
บทเรียนเรื่องนี้สอนผมให้รู้ว่า
เวลามันสั้นนะ ทำดีใส่กันไว้เถิด ... วาระสุดท้ายของชีวิต มีเงินมากมายแค่ไหนก็ช่วยอะไรไม่ได้ คนเราเกิดมา ตายไปก็เอาเงินแม้แต่บาทเดียวไปไม่ได้ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรานะครับ ร่างกายนี้ไม่ใช่วิญญาณเรามาอยู่ แต่วิญญาณของเราต่างหาก ที่มาอยู่ในร่างกายนี้ สิ่งที่เราจะเอาไปได้คือ บุญ บาป
ความสุขบางอย่างใช้เงินซื้อไม่ได้ เวลาของเรานั้นน้อยนัก คิดดีทำดี หมั่นเข้าวัด ปฏิบัติธรรม และรักษาศีล นะครับ
ก่อนปิดร้านคืนนี้ขอบรรเลงเพลงนี้ให้น้อง " พจน์" ฟังนะ " ลาก่อน "
https://www.youtube.com/watch?v=zkGVZYsHziE#t=25
เยี่ยมชมเว็บไซด์ได้ที่นี่
http://travel.theconectionthailand.com
@MinInspire
"สะพานแห่งชีวิต" "มือกีต้าร์ Grammy"
เราสนุกและเราไปเล่นที่ไหนเราก็ได้งานมาเรื่อยๆ ผมทำเงินจากการเล่นดนตรีได้เดือนละประมาณ 3-4 หมื่นบาท ครั้งแต่ที่ผมเริ่มเล่นดนตรีกลางคืนได้ค่าตัว 250 บาท หลังจากที่เราไปเล่นที่หัวหินผมประสบอุบัติเหตุครั้งนึงตอนอายุก่อนจะ 25 และทำให้ผมแขนหักทั้งสองข้าง หลังจากนั้นวงเราก็แตก เพราะว่าผมไม่ได้เล่นต่อ
ผมจะเล่าให้ฟังถึงพี่คนนี้ชื่อพี่พจน์ พี่คนนี้เป็นคนตลกๆ ตัวใหญ่ๆ เสียงเล็กๆ บนตัวมีรอยสักชื่อพ่อ ชื่อแม่อยู่แขนซ้ายและแขนขวา พี่พจน์เป็นพี่คนนึงที่เล่นกีต้าร์เก่งมาก และอยู่แถวๆ แฟลชคลองจั่นที่บางกะปิ พี่พจน์เปิดห้องซ้อมเล็กๆ แถวๆ แฟลช และเด็กนักเรียนที่เกเร ติดยา ตีรันฟันแทง เด็กช่างแถวๆ นั้นก็มาเล่นดนตรี
หลายๆ คนไม่ติดยาเพราะหันมาเล่นดนตรีเป็นอาชีพ ผมว่ามันดีมากๆ และแกนกลางก็คือพี่พจน์ที่เป็นเจ้าของห้องซ้อม ผมบ้านอยู่ดาวคนอง แต่เดินทางไปบางกะปิเกือบจะทุกวันเพื่อไปซ้อมและไปเล่นตามที่ต่างๆ มาวันนี้ได้รับข่าวจากรุ่นพี่ว่าพี่พจน์ไม่สบาย เลยดินทางไปเยี่ยม อาการของแกครั้งแรกที่ไป แกยังดีๆ อยู่
หลังผ่าเรายังแซวพี่พจน์ว่าทรงผมพี่ทรงใหม่ เป็นแนวใหม่ เท่ห์ดี มีผู้บริหารจากบริษัทที่ประเทศญี่ปุ่นที่พี่พจน์ไปเยี่ยมมาเยี่ยมด้วย ผมลืมบอกไป พี่พจน์แกเป็นฝันของนักดนตรีหลายๆ คน แกเล่นให้กับวงพั๊น และก็เล่นให้กับวง พีสะเดิด และเป็นคนสุรินทร์
ก่อนผมไปเยี่ยมผมเล่าให้แม่แกกับแกฟังเรื่องไปล้างพิษตับ ผมอยากเล่าเรื่องนี้เพราะจะเป็นประโยชน์กับใครที่กำลังมีครอบครัวหรือคนในบ้านเป็นมะเร็ง ผมเล่าเรื่องพ่อของรุ่นพี่คนนึงซึ่งไปเข้าปฏิบัติธรรมกับอาจารย์ณทรงพจน์ เป็นอาจารย์สอนธรรมให้กับผม และมีคอร์สๆ นึงเรียกว่า คอร์สล้างพิษตับ ชื่อ คอร์สล้างพิษกาย สลายพิษกรรม ปรับสมดุลใจ
พ่อของพี่ออยป่วยเป็นมะเร็งและไปหาหมอแผนปัจจุบัน อาการก็แย่ลงๆ ช่วงก่อนจะผ่าตัดครั้งสุดท้าย พ่อพี่ออยได้มาเข้าคอรฺ์สนี้และผลปรากฏว่าสุขภาพดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ในคอร์สนี้มีพี่คนนึงเป็นมะเร็งขั้น 3 หมอบอกว่าอยู่ได้ 3-6 เดือน แต่หลังจากมาคอร์สนี้ ทุกวันนี้แกอยู่มาจะ 3 ปีแล้ว
กลับมาเรื่องพ่อพี่ออยต่อก่อน พ่อพี่ออยอาการดีขึ้นหลังมาล้างพิษดีท็อกซ์ แต่อยู่มาวันนึง ทางโรงพยาบาลก็โทรมาบอกว่าห้องผ่าตัดว่างแล้ว ให้มาผ่าได้ พี่ออยก็ปรึกษากับอาจารย์ณทรงพจน์ ปรากฏว่าอาจารย์บอกว่าอย่าไปผ่านะ ถ้าผ่านแล้วอาการจะไม่เหมือนเดิมแน่นอน แต่ตอนนั้นทางบ้านเค้าก็เชื่อหมอแผนปัจจุบัน ซึ่งปรากฏว่าหลังจากผ่ามาแล้ว ไม่เหมือนเดิมจริงๆ
รูปบนตอนหลังได้รับการดีท็อกซ์และปฏิบัติธรรม แต่รูปล่างเป็นรูปหลังจากเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งแกหมดอาลัยตายอยากและสิ้นหวังกับการใช้ชีวิตอยู่เพราะว่าคงทรมานจากการเป็นมะเร็งลำไส้ มีปัญหาเรื่องการทานอาหารและการขับถ่าย หลังจากนั้นผมได้ทราบข่าวครั้งแรกตอนไปล้างพิษครั้งแรก ว่าไปผ่า แต่ยังไม่เป็นไร อาการแย่ และทรุด แต่ครั้งที่สองที่ผมไปล้างพิษตับ ปรากฏว่าเสียชีวิตแล้ว เพราะว่าคนทรมานไม่ไหว พี่ออยเป็นคนดีและเป็นลูกที่กตัญญู และเข้มแข็งมากๆ หลังคุณพ่อพี่ออยเสียชีวิตลงจากมะเร็งลำไส้ เรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นประสบการณ์ให้คนอื่นๆ
ผมเล่าเรื่องนี้ให้แม่พี่พจน์และตัวพี่พจน์เองฟัง และพยายามบอกให้แกไปล้างพิษตับ แต่แกบอกว่าหมอนัดคีโม ถ้าแกว่างแกจะไป ผมเองกังวลเรื่องนี้มากๆ เพราะรู้ว่าอะไรจะเกิดตามมาถ้าแกเข้าไปผ่า หรือไปฉายแสง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก...
หลังจากผมกลับมาจากล้างพิษอีกครั้ง ทราบข่าวว่าพี่พจน์ไปคีโมมา เพราะว่าที่สมองมีเนื้องอกทับเส้นประสาททำให้แกปวดหัวอย่างรุนแรง และตอนนี้แกดีขึ้นเพราะไปคีโมมาทีนึง และแกก็ไปฉายแสงมะเร็งระยะที่ 4 ที่เป็นที่ปอด และอยู่มาวันนึงก็ได้ข่าวจากเพื่อนว่า พี่พจน์ทรุดลงและอาการตัวเหลือง ผมพอได้ทราบข่าวก็รีบไปเยี่ยมเลย เพราะลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี ดูอาการแล้วไม่เวริ์คเท่าไหร่
ผมมาครั้งแรกพี่พจน์ผมบางลงไป ผมได้เจอนักดนตรีสมัยก่อนเพียบเลย ก่อนหน้านี้ประมาณปีนึงเจอรอบนึงและ ตอนที่พี่พจน์แต่งงาน แต่งงานได้ปีเดียว เดินสายเล่นดนตรีจนมาเจอเรื่องราวนี้ พี่พจน์ทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด แกยังยกนิ้วสู้อยู่ แกเป็นคนตลกๆ ผมเจอแก แกบอกว่า ไตพี่จะวาย ตัวมันเหลือง หอบ เหงื่อแตกพลั๊ก ผมได้แต่มอง เอากระดาษทิษชู่ เช็ดหน้าให้แก เหงื่อแกออกตลอดเวลา
ก่อนกลับในวันแรก ผมกับพี่โก้ และพี่ๆ คนอื่นจะเป็นคนตลกๆ อยู่แล้ว พวกเราก็พยายามเล่นมุขกันให้พี่พจน์แกขำ และก็คอยซับเหงื่อ ผมถามพี่สาวแก แกบอกว่ามันขั้น 4 แล้ว เหมือนทางบ้านแกก็ทำใจยอมรับสภาพแล้ว ผมยืนมึนๆ แต่คิดว่าพี่พจน์น่าจะได้ยิน พี่พจน์ฝากบอกทุกๆ คน ว่าอยากให้ทุกคนมาเยี่ยม ก่อนกลับแกเรียกผม... มินๆๆ เอากระดาษมาเช็ดเหงื่อให้พี่หน่อย เหงื่อออก... ผมคว้ากระดาษไปแล้วกำลังจะเช็ด ปรากฏว่าที่ออก ไม่ใช่เหงื่อ แต่เป็นน้ำตาของแก น้ำตาแกไหลออกมาเลยครับ ผมรู้สึกบอกไม่ถูก มันจุกๆ อยู่ในหน้าอก แบบแน่นๆ ผมไม่ได้พูดอะไร แต่เอากระดาษทิชชู่ เช็ดให้ตามที่แกบอก ผมกอดแกแล้วบอกว่าจะมาเยี่ยมใหม่ หลังจากนั้นผมลานักดนตรีที่เหลือ พี่สาวกับแม่พี่พจน์กลับบ้าน
หลังจากนั้นเวลาผ่านไปได้อีกประมาณ 2-4 วัน ผมหาเวลาว่างมาหาแกใหม่ โทรนัดกับมือเบส โทรหาแม่แกเป็นระยะๆ มาอีกรอบพี่พจน์แกนอนไม่ได้ ต้องนั่งแบบที่เห็นในรูป ผมสงสารและเห็นใจแกมากๆ เข้าใจเลยว่ามันทรมาน ผมเลยไปเอาหมอนตุ๊กตามีหูมาให้แก ดูวันนี้แกอ่อนเพลีย สอบถามแม่แก แม่แกบอกว่าน้ำท่วมปอดซ้ำซ้อนอีก เลยนอนไม่ได้ พี่พจน์คงเพลียมาก หลับทั้งนั่งเลย วันนี้ผมแกบางลงไปอีก ผมเอาหมอนไว้ให้แกเลย และบอกกับแกว่าจะมาเยี่ยมใหม่ หายแน่ๆ สู้ๆ แกยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร...
หลังจากนั้นผมไม่ได้มาอีกประมาณ 1 อาทิตย์ ก็โทรถามอาการคุณแม่แกตลอดว่าแกเป็นไรบ้าง
วันสุดท้ายที่ผมได้เจอแก พี่พจน์อยู่ใน ICU เค้าให้เยี่ยมได้ช่วง 12.00-13.00 น. รอบค่ำ 18.00-19.00 น. ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
ผมมาถึง 15.30 น. ก็ไปดุ้มๆ มองๆ หน้าห้อง ICU แล้วบอกกับคุณพยาบาลว่า ผมมาจากดาวคนอง ตั้งใจมาเยี่ยมรุ่นพี่ที่อยู่ในนี้ คุณพยาบาลใจดียอมเปิดประตู อาจจะเพราะความตั้งใจของผม และแววตาของความหวังริบหรี่
ผมเข้ามาเจอพี่พจน์ รอบนี้ ถ่ายรูปไม่ได้ พี่พจน์นอนหลับ อยู่ในเตียงซ้ายมือเตียงแรก ภาพที่ผมเห็นครั้งแรกคือ ผู้ชายมีเครา ผมบางๆ ตัวใหญ่ๆ ขนดกๆ หน่อย นอนในผ้าเตี่ยวสีขาวอยู่บนเตียง ตามหน้าตามจมูกเต็มไปด้วยเครื่องช่วยหายใจ และสายน้ำเกลือที่ขา ... พี่พจน์กำลังหลับอยู่
ผมยืนมองแกอยู่พักนึงเลย ตอนนี้แกยังไม่ตื่น แต่พอมองไปพักนึง ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอามือจับแขนแก แกลืมตาขึ้นมามองผม สายตาดีใจ และแกทำมือชี้นิ้วไปที่แขนของแก แขนพี่พจน์มีเจลทำความเย็น แกทำมือเหมือนให้ไปเอามาให้หน่อย ... ผมเดินไปขอที่คุณพยาบาลข้างใน และสอบถามอาการ อาการไม่ค่อยจะดีนัก คุณพยาบาลบอกว่าเค้าอยากกลับบ้าน แต่หมอบอกว่ากลับไม่ได้ อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว ... ซักพักคุณพยาบาลก็เอา เจลแช่เย็นมาให้ผม ผมเดินเอาไปให้พี่พจน์ พี่พจน์คงจะรู้สึกร้อนมือ รอบนี้ผมไปยืนมองแก แกมองกลับมา ผมจับมือแกอีกรอบ คราวนี้ผมน้ำตาไหลแทน พี่พจน์มองผมตาโต แต่พูดอะไรไม่ได้เพราะสายเต็มไปหมด ซักแป๊บ ผมเดินไปเรียกคุณพยาบาลเพราะผมเห็นที่ขาของพี่พจน์ ตรงสายมันมีเลือดไหลออกมาตรงสายเลย พยาบาลรีบเดินเข้ามาดู ปรากฏว่าเลือดมันย้อนออกมา ทีนี้คุณพยาบาลมา 2 คนเลยครับปรับเตียงลง
ช่วงนี้ตัวผมเองยังคงยืนนิ่งน้ำตาไหล ที่ไหล ไม่ได้อยากหล่อหรืออยากเท่ห์อะไรหรอกครับ สงสารพี่เขาจริงๆ น้ำตามันไหลออกมาเอง
เพื่อนๆ พี่น้องที่รักทั้งหลายครับ ภาพที่เราเคยใช้ชีวิตด้วยความสนุกสนาน เล่นมุขกับ ตดแข่งกัน ย่างหมูย่างกินกับเบียร์กัน ที่พี่เขาเล่น ผมปีนลำโพง ขึ้นไปร้อง มันผุดแว๊บกลับมาหมดเลย เราได้ทำอะไรบ้าๆ มาได้กัน มันสนุกมาก ยังไม่ได้ทันได้คิดอะไร พยาบาลเอาเตียงลง แล้วถามพี่พจน์ว่าเจ็บไหม ผมมองไป เห็นพี่พจน์มองเพดาน น้ำตาเต็มส่วนเว้าของตาเลยครับ ขังอยู่ในส่วนที่เว้าของลูกตา และพยาบาลก็บอกว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้ว ผมยกมือไหว้ ลาพี่พจน์ แล้วบอกจะมาใหม่ ใจผมอยากจะบอกพี่พจน์เสียงดังๆ เลยว่า พี่ครับ ผมรักพี่นะครับ ผมไม่ได้เปล่งเสียงออกมา แต่ผมบอกพี่พจน์ในใจตอนผมยืนมองเค้าตั้งแต่แรกแล้ว
แต่เท่าที่จำได้ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันในสภาพยังมีชีวิต ตอนนี้แหละครับ ผมจำทุกภาพทุกวินาทีที่ได้เข้ามาหาพี่ชายคนนี้ ผมนับถือแกเป็นพี่ชาย และแกเป็นแรงบันดาลใจของผม และใครหลายๆ คน
ผมหายไปอีกสองวัน โทรกลับไปหาคุณแม่ คุณแม่บอกว่า กำลังจะย้ายกลับไปสุรินทร์ พี่พจน์อยากกลับสุรินทร์ ในใจผมคิดว่าคงดีขึ้นแล้วแน่ๆ ปรากฏว่ารุ่งเช้า ก็มาได้ข่าวว่าพี่พจน์จากไปเงียบๆ ระหว่างเดินทางย้ายไปที่สุรินทร์ ผมใจหายแว๊บ... ความเงียบเดินทางมาเยี่ยมอีกแล้วครับ
งานฌาปนกิจศพของพี่พจน์ Grammy ให้เกียรติครอบครัวของพี่พจน์มากๆ คุณพีสะเดิด พี่โก้มิสเตอร์แซกแมน พี่กิตติ กีต้าร์ปืน คุณแพนเค๊ก และเหล่าศิลปินและแบล็กอัพ มาร่วมงาน นักดนตรีที่รู้จักพี่พจน์ทั้งหมด รูปสุดท้ายผมค่อนข้างตกใจนิดหน่อย อาจจะกล้องมันแฮ็งรึเปล่า แต่ภาพที่ได้ กลายเป็นภาพที่เห็นด้านล่าง เล่นเอาตกใจทีเดียว
บทเรียนเรื่องนี้สอนผมให้รู้ว่า
เวลามันสั้นนะ ทำดีใส่กันไว้เถิด ... วาระสุดท้ายของชีวิต มีเงินมากมายแค่ไหนก็ช่วยอะไรไม่ได้ คนเราเกิดมา ตายไปก็เอาเงินแม้แต่บาทเดียวไปไม่ได้ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรานะครับ ร่างกายนี้ไม่ใช่วิญญาณเรามาอยู่ แต่วิญญาณของเราต่างหาก ที่มาอยู่ในร่างกายนี้ สิ่งที่เราจะเอาไปได้คือ บุญ บาป
ความสุขบางอย่างใช้เงินซื้อไม่ได้ เวลาของเรานั้นน้อยนัก คิดดีทำดี หมั่นเข้าวัด ปฏิบัติธรรม และรักษาศีล นะครับ
ก่อนปิดร้านคืนนี้ขอบรรเลงเพลงนี้ให้น้อง " พจน์" ฟังนะ " ลาก่อน "
https://www.youtube.com/watch?v=zkGVZYsHziE#t=25
เยี่ยมชมเว็บไซด์ได้ที่นี่
http://travel.theconectionthailand.com
@MinInspire