เราเป็นคนหนึ่งที่ยืม กยศ ตั้งแต่เรียนปี 1 ของมรภ.ไม่ดังมากใช้สมัครเรียนแบบไม่สอบ(ฟลุกติด) เลือกคณะที่คิดว่าง่ายที่สุดต่อมันสมองเท่าเม็ดถั่วของตัวเองบวกกับเป็นมนุษย์ขี้เกียจ จำเป็นต้องกู้เรียนกยศเพราะที่บ้านพ่อแม่เป็นชาวนาจนๆคนหนึ่งเป็นลูกคนสุดท้อง พี่สาวคนโตก็จบม.6 เงินเดือนก็พอเลี้ยงตัวเองได้เท่านั้นส่วนคนที่สอง เค้าก็มีครอบครัว หลายคนมักจะคิดว่าเป็นลูกคนสุดท้องก็ดีพี่ๆจบหมดแล้ว คุณคิดผิดค่ะ เค้ามีชีวิตของเค้า แค่เอาตัวเองให้รอดก็พอ
ย้อนไปตอนเราเรียนใกล้จบ ม.3 ทางบ้านอยากให้เลิกเรียนแล้วไปทำงานก่อสร้างซะ เพราะพี่สาวอีกคนก็จบ ม.3 เหมือนกัน เราไม่ยอมดื้อด้านจะเรียนต่อ ม.4 จนไปสมัครเข้าเรียนต่อม.4 เพราะ รร.เรามีถึงแค่ ม.3 เรียนฟรี
พอเข้าม.4ได้เราก็ไม่ได้เกรดสวยหรูหรอก 2 นิดๆ พอถูๆไถๆ ไปวัดไปวาได้ แต่หน้าด้านอยากต่อป.ตรีทั้งๆที่ ทางบ้านคัดค้านเพราะไม่มีส่ง เราเลยอ้างว่าจะยืมกยศ และสมัครเรียนต่อทั้งๆที่พ่อแม่คัดค้านนั่นแหละ ตอนนั้นคิดแค่วันพรุ่งนี้เท่านั้นไม่ได้คิดไกลเลย แต่ไม่รู้จะเรียนต่ออะไรเพราะสอบไม่ติด พี่สาวเลยแนะให้เข้า มรภ.และจัดการให้ เราก็ไปอาศัยอยู่กับพี่สาวคนโตบวกกับยืมกยศเรียนด้วยเรียนได้สามปี พี่สาวไม่ได้ช่วยต่อ ต้องออกไปอยู่หอกับเพื่อน กยศก็โดนยกเลิกเพราะเกรด 2 กว่าๆเราเข้าใจรัฐในจุดนี้ แต่จุดที่ไม่เข้าใจคือพวกส่วนใหญ่ที่ได้ยืม แม่มใช้มือถือราคาสองหมื่นอับทั้งๆที่เราใช้ฝาพับพระเจ้าเหา พอได้ติดต่อเท่านั้น
ตอนนั้นโคตรเสียใจ เพราะรัฐบอกว่าเพราะพวกรุ่นพี่เธอไม่จ่ายกยศเงินเลยไม่พอ?
ตอนนั้นตั้งจิตพอพรเลยหละ ว่าขอให้มีรอบสองและถ้าได้ กยศ รอบนี้จะจ่ายคืนตามระเบียบการกูยืมเพื่อรุ่นน้องที่เจอสภาวะเดียวกัน เพราะระหว่างนั้นทางบ้านก็ต้องดิ้นรนเข้า กทม มาทำงานก่อสร้างส่งเราเรียนคือพ่อแม่ แก่แล้วโคตรลำบาก จำได้ว่าตอนปีหนึ่งพอไปทำงานที่โคราชแล้วติดวัณโรคมาต้องรักษายาวเลยกว่าจะหาย และตามเคยพ่อป่วยอีก แม่มชีวิตโคตรรันทด เลยตั้งใจว่าเรียนจบกูต้องทำงานหาเงินเยอะๆ เพราะพ่อแม่เหลือเราคนเดียว คนอื่นเค้ามีครอบครัวหมดแล้ว
และแล้วเราก็จบ จริงๆ 3 ปีครึ่ง เพราะเทอมสุดท้ายออกไปฝึกงานแล้ว จบ 4 ปีจริงๆ หลังจากฝึกงานเสร็จยังไม่ถือว่าจบ แต่ต้องเริ่มหางาน เราก็สมัครงานกับเน็ตแทบจะทุกเว็บหาวิธีเรียน เรซูเม่ จากทางเน็ตศึกษาทุกวิธีในการหางาน กดสมัครวันละ 4-5 ที แล้วรอเรียก ทำอยู่อย่างนั้นว่างงาน 2 เดือนกดสมัครไปจริงๆ ไม่ต่ำกว่า 20 ที่ โดนเรียกไป 4-5 ที่เท่านั้น
และเราก็ได้งานตามที่ต้องการ เงินเดือนตานโยบายรัฐ คือจบใหม่ 15 แต่โชคร้ายทำได้เดือนเดียวโดนย้ายตำแหน่งและดันให้ไปทำบัญชี เราจบมนุษย์ ไปทำบัญชีก็ไปไม่รอดเลยโดนเด้ง กลับมาว่างงานต่อ ยาวเป็นเดือน ระหว่างนั้นก็สมัครเป็นสิบๆ บางบริษัทต้องสอบ สอบผ่านแล้วต้องมีรอบสองอีก จนเราเคยชินกับการ สัมภาษณ์งานเงินที่มีก็เหลือแค่สองพันกว่าๆจนได้เริ่มงานในเดือนถัดไป และงานใหม่เราก็ได้ตามที่รัฐจัดมาให้เพราะถ้าน้อยกว่านี้เราไม่ไหวเหมือนกัน (จะหาว่าเลือกงานมั้ย อันนี้ก็โดนว่ามาเหมือนกัน) แต่เราคิดแบบนี้ ทำงานในที่ๆอยากทำเพราะ 1 อาทิตย์ เราอยู่ในที่ทำงาน 5 วัน วันละ 8-12 ชั่วโมง แล้วเวลาคนเราทำงานก็ต้องทำยาวถึงจะทำให้หน้า เรซูเม่ของเราออกมาดูดี พอมาได้งานทางบ้าน ดันถามเรื่องแฟน ความคิดตอนนั้นเราบอกเลยว่า เราเป็นผู้หญิงที่เหมือนจะตัวคนเดียว โสดมา 23 ปี หลังจากทำงานมาได้ เกือบปีเงินเดือนอยู่ได้เดือนชนเดือน เพราะแถวที่ทำงานเราบอกเลยอะไรก็แพงตั้งใจเก็บเดือนละพันสองพันก็ยังดี กยศยังไม่ต้องจ่าย เพราะรัฐให้เวลาทำงาน 2 ปี ค่อยจ่าย
เราทำงานมาได้สักพักเริ่มลิ้นแข็ง เพราะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลยก็เลยยอมติดหนี้เพิ่มเพื่อไปเรียนภาษา เพราะเจ้านายขึ้นเงินเดือนให้ และมีค่าโอทีอีกเพราะที่ผ่านๆมา ทำงานตั้งแต่ 8.30 เช้า จนบางวัน 21.00 – 22.00 ก็มีแบบไม่มีโอที ไดๆสู้มากับทีมจนได้โอที เลยคิดว่าเอาวะ เพื่ออนาคตตัวเอง ไปเรียนภาษาเพิ่มราคาก็เยอะแต่ กู้เรียน
ตั้งแต่เรียนเพิ่มเราก็ทำโอทีน้อยลงเพราะเลิกงานก็ต้องไปเรียน พยายามไปทุกวันเพื่อฝึก เพราะเรียนแบบไม่จำกัดชั่วโมงอยู่แล้วกะเอาให้คุ้มเพราะสมัยนี้อยากรอดในที่ทำงานคือต้องมีภาษา เราก็ทำทุกอย่างนอกเหนือจาเรียนก็ดูหนังอ่านข่าว ทำทุกอย่าเป็นอังกฤษให้หมด BBC ซีรีย์ฝรั่งการ์ตูนซับ และ แบบไม่ซับ เพราะถ้าเราชอบหรือสนใจเราจะต้องพยายามที่จะเข้าใจ แต่ดว้ยที่ว่าเราเป็นคนแข็งๆตรงๆ ดระด้างจากที่คิดว่าจะทำงานสักสองปีค่อยหาใหม่เลยกลายเป็น ตกงานในสิ้นปี 2014 พอดี ลาออกมันซะสิ้นปีเลยเพราะอัดอั้นมานาน (สังคมการทำงานแบบนี้มีทุกที่) และกลับมาว่างงานอีก และก็ย้อนกลับมาช่วงหางานเอาเป็นเอาตาย เรตเงินกูสูงขึ้นยิ่งหายาก แต่ก็พยายามหาสายที่เกี่ยวข้อง จนเจอ บริษัทยักใหญ่จาก อเมริกา
กระทู้นี้เราต้องการจะบอกอะไร?
ตอบเลย เราจะบอกว่าเราไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่รวย แต่เราเกิดมาในครอบครัวที่ เงิน 500 บาทครอบครัวเราอยู่ได้ทั้งเดือน ปลูกผักปลูกข้าว หาปลาให้หนองน้ำกิน เห็ดมาจากป่า หน่อไม้จากป่า แต่เราจะบอกว่าเราสู้ ที่จริงเรามีจุดลำบากมากว่านี้ ส่วหนี้กยศ หลังจากจบไปสองปีก็มีบิลมาจริงๆต้องจ่ายเกือบ 3 บาททั้งปีเราจ่ายแค่นั้น และในช่วงนั้นเราว่างงานด้วย เพราะเราไม่ได้เข้าทำงานในบริษัทยักใหญ่นั่น เหตุผลทางครอบครัว ตอนจ่ายถึงเราจจะว่างงาน แต่ถ้าเรายืมก็ต้องจ่าย เพราะคิดแค่ว่าอาจมีคนแบบเราอยู่เป็นร้อย ถึงไม่มีแต่มันคือหน้าทีพลเมืองที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม เรายืมมาถึงเวลาก็ต้องคืนคิดแค่นั้น ภาระก็มีพ่อแม่ไง หนี้ที่เพิ่มมาอีกตอนที่กู้ไปเรียนภาษาราคาเป็นแสน
หลายคนบอกว่าเราเก่งเราทำได้ สอนหน่อยสิ เรียนจบแล้วมาสอนหน่อยนะอยากเก่ง พอเอาเข้าจรงคนเหล่านั้นก็ไม่ได้อยากจริงจัง เพราะเขาบอกว่าขี้เกียจ ไม่มีเวลา เอาที่สบายใจเลย เพราะเรากว่าจะมีวันนี้ ต้องทำงานรับโทรศัพท์วันละ 20-30 สายต่อวันอ่านเมล์วันละ 100 ฉบับขึ้นไป ทำงานตั้งแต่ 8.30 – 20.00 บางวันก็ต้องรีบกลับไปเรียน กว่าจะถึงบ้าน ก็เกือบ 5 ทุ่มเที่ยงคืนเป็นแบบนี้อยู่เป็นปีๆ แถมเรียนก็ต้องสอบ เราเลือกสอบ เสาร์ อาทิตย์ เพราะจะได้มีเวลาทบทวน ก่อนสอบก็อ่านจนตีสาม และตื่นมาอ่านอีก 9 โมงเช้า เที่ยงก็ไปเตรียมตัวสอบ
ขอเถอะ คำพูดที่ว่า ไม่มีเงิน ลูกก็ต้องเลี้ยง เงินเดือนก็น้อยนิดอย่าอ้าง ด่าเราก็ได้นะ แต่ชีวิตเราจะเป็นยังไงเราเลือกเอง
สืบเนื่องจากนโยบายของทางรัฐเกี่ยวกับหักเงินลูกหนี้กยศ.เลยอยากดราม่า
ย้อนไปตอนเราเรียนใกล้จบ ม.3 ทางบ้านอยากให้เลิกเรียนแล้วไปทำงานก่อสร้างซะ เพราะพี่สาวอีกคนก็จบ ม.3 เหมือนกัน เราไม่ยอมดื้อด้านจะเรียนต่อ ม.4 จนไปสมัครเข้าเรียนต่อม.4 เพราะ รร.เรามีถึงแค่ ม.3 เรียนฟรี
พอเข้าม.4ได้เราก็ไม่ได้เกรดสวยหรูหรอก 2 นิดๆ พอถูๆไถๆ ไปวัดไปวาได้ แต่หน้าด้านอยากต่อป.ตรีทั้งๆที่ ทางบ้านคัดค้านเพราะไม่มีส่ง เราเลยอ้างว่าจะยืมกยศ และสมัครเรียนต่อทั้งๆที่พ่อแม่คัดค้านนั่นแหละ ตอนนั้นคิดแค่วันพรุ่งนี้เท่านั้นไม่ได้คิดไกลเลย แต่ไม่รู้จะเรียนต่ออะไรเพราะสอบไม่ติด พี่สาวเลยแนะให้เข้า มรภ.และจัดการให้ เราก็ไปอาศัยอยู่กับพี่สาวคนโตบวกกับยืมกยศเรียนด้วยเรียนได้สามปี พี่สาวไม่ได้ช่วยต่อ ต้องออกไปอยู่หอกับเพื่อน กยศก็โดนยกเลิกเพราะเกรด 2 กว่าๆเราเข้าใจรัฐในจุดนี้ แต่จุดที่ไม่เข้าใจคือพวกส่วนใหญ่ที่ได้ยืม แม่มใช้มือถือราคาสองหมื่นอับทั้งๆที่เราใช้ฝาพับพระเจ้าเหา พอได้ติดต่อเท่านั้น
ตอนนั้นโคตรเสียใจ เพราะรัฐบอกว่าเพราะพวกรุ่นพี่เธอไม่จ่ายกยศเงินเลยไม่พอ?
ตอนนั้นตั้งจิตพอพรเลยหละ ว่าขอให้มีรอบสองและถ้าได้ กยศ รอบนี้จะจ่ายคืนตามระเบียบการกูยืมเพื่อรุ่นน้องที่เจอสภาวะเดียวกัน เพราะระหว่างนั้นทางบ้านก็ต้องดิ้นรนเข้า กทม มาทำงานก่อสร้างส่งเราเรียนคือพ่อแม่ แก่แล้วโคตรลำบาก จำได้ว่าตอนปีหนึ่งพอไปทำงานที่โคราชแล้วติดวัณโรคมาต้องรักษายาวเลยกว่าจะหาย และตามเคยพ่อป่วยอีก แม่มชีวิตโคตรรันทด เลยตั้งใจว่าเรียนจบกูต้องทำงานหาเงินเยอะๆ เพราะพ่อแม่เหลือเราคนเดียว คนอื่นเค้ามีครอบครัวหมดแล้ว
และแล้วเราก็จบ จริงๆ 3 ปีครึ่ง เพราะเทอมสุดท้ายออกไปฝึกงานแล้ว จบ 4 ปีจริงๆ หลังจากฝึกงานเสร็จยังไม่ถือว่าจบ แต่ต้องเริ่มหางาน เราก็สมัครงานกับเน็ตแทบจะทุกเว็บหาวิธีเรียน เรซูเม่ จากทางเน็ตศึกษาทุกวิธีในการหางาน กดสมัครวันละ 4-5 ที แล้วรอเรียก ทำอยู่อย่างนั้นว่างงาน 2 เดือนกดสมัครไปจริงๆ ไม่ต่ำกว่า 20 ที่ โดนเรียกไป 4-5 ที่เท่านั้น
และเราก็ได้งานตามที่ต้องการ เงินเดือนตานโยบายรัฐ คือจบใหม่ 15 แต่โชคร้ายทำได้เดือนเดียวโดนย้ายตำแหน่งและดันให้ไปทำบัญชี เราจบมนุษย์ ไปทำบัญชีก็ไปไม่รอดเลยโดนเด้ง กลับมาว่างงานต่อ ยาวเป็นเดือน ระหว่างนั้นก็สมัครเป็นสิบๆ บางบริษัทต้องสอบ สอบผ่านแล้วต้องมีรอบสองอีก จนเราเคยชินกับการ สัมภาษณ์งานเงินที่มีก็เหลือแค่สองพันกว่าๆจนได้เริ่มงานในเดือนถัดไป และงานใหม่เราก็ได้ตามที่รัฐจัดมาให้เพราะถ้าน้อยกว่านี้เราไม่ไหวเหมือนกัน (จะหาว่าเลือกงานมั้ย อันนี้ก็โดนว่ามาเหมือนกัน) แต่เราคิดแบบนี้ ทำงานในที่ๆอยากทำเพราะ 1 อาทิตย์ เราอยู่ในที่ทำงาน 5 วัน วันละ 8-12 ชั่วโมง แล้วเวลาคนเราทำงานก็ต้องทำยาวถึงจะทำให้หน้า เรซูเม่ของเราออกมาดูดี พอมาได้งานทางบ้าน ดันถามเรื่องแฟน ความคิดตอนนั้นเราบอกเลยว่า เราเป็นผู้หญิงที่เหมือนจะตัวคนเดียว โสดมา 23 ปี หลังจากทำงานมาได้ เกือบปีเงินเดือนอยู่ได้เดือนชนเดือน เพราะแถวที่ทำงานเราบอกเลยอะไรก็แพงตั้งใจเก็บเดือนละพันสองพันก็ยังดี กยศยังไม่ต้องจ่าย เพราะรัฐให้เวลาทำงาน 2 ปี ค่อยจ่าย
เราทำงานมาได้สักพักเริ่มลิ้นแข็ง เพราะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลยก็เลยยอมติดหนี้เพิ่มเพื่อไปเรียนภาษา เพราะเจ้านายขึ้นเงินเดือนให้ และมีค่าโอทีอีกเพราะที่ผ่านๆมา ทำงานตั้งแต่ 8.30 เช้า จนบางวัน 21.00 – 22.00 ก็มีแบบไม่มีโอที ไดๆสู้มากับทีมจนได้โอที เลยคิดว่าเอาวะ เพื่ออนาคตตัวเอง ไปเรียนภาษาเพิ่มราคาก็เยอะแต่ กู้เรียน
ตั้งแต่เรียนเพิ่มเราก็ทำโอทีน้อยลงเพราะเลิกงานก็ต้องไปเรียน พยายามไปทุกวันเพื่อฝึก เพราะเรียนแบบไม่จำกัดชั่วโมงอยู่แล้วกะเอาให้คุ้มเพราะสมัยนี้อยากรอดในที่ทำงานคือต้องมีภาษา เราก็ทำทุกอย่างนอกเหนือจาเรียนก็ดูหนังอ่านข่าว ทำทุกอย่าเป็นอังกฤษให้หมด BBC ซีรีย์ฝรั่งการ์ตูนซับ และ แบบไม่ซับ เพราะถ้าเราชอบหรือสนใจเราจะต้องพยายามที่จะเข้าใจ แต่ดว้ยที่ว่าเราเป็นคนแข็งๆตรงๆ ดระด้างจากที่คิดว่าจะทำงานสักสองปีค่อยหาใหม่เลยกลายเป็น ตกงานในสิ้นปี 2014 พอดี ลาออกมันซะสิ้นปีเลยเพราะอัดอั้นมานาน (สังคมการทำงานแบบนี้มีทุกที่) และกลับมาว่างงานอีก และก็ย้อนกลับมาช่วงหางานเอาเป็นเอาตาย เรตเงินกูสูงขึ้นยิ่งหายาก แต่ก็พยายามหาสายที่เกี่ยวข้อง จนเจอ บริษัทยักใหญ่จาก อเมริกา
กระทู้นี้เราต้องการจะบอกอะไร?
ตอบเลย เราจะบอกว่าเราไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่รวย แต่เราเกิดมาในครอบครัวที่ เงิน 500 บาทครอบครัวเราอยู่ได้ทั้งเดือน ปลูกผักปลูกข้าว หาปลาให้หนองน้ำกิน เห็ดมาจากป่า หน่อไม้จากป่า แต่เราจะบอกว่าเราสู้ ที่จริงเรามีจุดลำบากมากว่านี้ ส่วหนี้กยศ หลังจากจบไปสองปีก็มีบิลมาจริงๆต้องจ่ายเกือบ 3 บาททั้งปีเราจ่ายแค่นั้น และในช่วงนั้นเราว่างงานด้วย เพราะเราไม่ได้เข้าทำงานในบริษัทยักใหญ่นั่น เหตุผลทางครอบครัว ตอนจ่ายถึงเราจจะว่างงาน แต่ถ้าเรายืมก็ต้องจ่าย เพราะคิดแค่ว่าอาจมีคนแบบเราอยู่เป็นร้อย ถึงไม่มีแต่มันคือหน้าทีพลเมืองที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม เรายืมมาถึงเวลาก็ต้องคืนคิดแค่นั้น ภาระก็มีพ่อแม่ไง หนี้ที่เพิ่มมาอีกตอนที่กู้ไปเรียนภาษาราคาเป็นแสน
หลายคนบอกว่าเราเก่งเราทำได้ สอนหน่อยสิ เรียนจบแล้วมาสอนหน่อยนะอยากเก่ง พอเอาเข้าจรงคนเหล่านั้นก็ไม่ได้อยากจริงจัง เพราะเขาบอกว่าขี้เกียจ ไม่มีเวลา เอาที่สบายใจเลย เพราะเรากว่าจะมีวันนี้ ต้องทำงานรับโทรศัพท์วันละ 20-30 สายต่อวันอ่านเมล์วันละ 100 ฉบับขึ้นไป ทำงานตั้งแต่ 8.30 – 20.00 บางวันก็ต้องรีบกลับไปเรียน กว่าจะถึงบ้าน ก็เกือบ 5 ทุ่มเที่ยงคืนเป็นแบบนี้อยู่เป็นปีๆ แถมเรียนก็ต้องสอบ เราเลือกสอบ เสาร์ อาทิตย์ เพราะจะได้มีเวลาทบทวน ก่อนสอบก็อ่านจนตีสาม และตื่นมาอ่านอีก 9 โมงเช้า เที่ยงก็ไปเตรียมตัวสอบ
ขอเถอะ คำพูดที่ว่า ไม่มีเงิน ลูกก็ต้องเลี้ยง เงินเดือนก็น้อยนิดอย่าอ้าง ด่าเราก็ได้นะ แต่ชีวิตเราจะเป็นยังไงเราเลือกเอง