พระพุทธศาสนาในไต้หวัน ep.4

ความเดิมจากตอนที่แล้ว http://pantip.com/topic/34934749

ภูเขาอาหลี่ซาน 阿里山


เพื่อนเคยชวนผมเคยไป “อาหลี่ซาน”
ภูเขางามที่ตั้งอยู่ในเขตเจียอี้ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของไต้หวัน
เพื่อนผมอยากให้ผมไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นั่นมาก
ผมมีความรู้สึกต่อต้านในใจเล็กน้อย
พระอาทิตย์ที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ

วันนั้นผมตื่นแต่ตีสี่
หมอกลง อากาศหนาวมาก
ผมต้องผลักตัวเองออกจากผ้าห่มอุ่น ๆ
ไปเผชิญหน้ากับความหนาวเหน็บ
แค่ก้าวขายังไม่อยากก้าวเลยคุณ
ผมคิดในใจว่า เราทำวิบากกรรมอะไรมา
ถึงต้องเสียตังค์มาทรมานตัวเองแบบนี้
    
ผมกับเพื่อน ๆ เดินจากโรงแรมไป เพื่อรอขึ้นรถไฟ
พอเห็นแถวคนรอรถไฟ ยาวยังกับหางมังกร
ก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจได้บ้าง
นี่คงเป็นผู้ทำวิบากกรรมร่วมกับเรามา ร้องไห้

รถไฟดูโบราณ ๆ วิ่งไปในความมืดสลัว ๆ
ในรถไฟไม่ค่อยมีคนคุยกัน
เพราะดูแล้ว วิญญาณน่าจะยังหลับกันอยู่
มีแต่ร่างกาย ที่เดินแบบสลึมสลือมา

พอไปถึงป้ายที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
ต้องเดินขึ้นเนินสูงไปอีก
ฝนปรอย ๆ ก็อยากมาทักทายกับเราในยามนี้
ในใจภาวนาแต่คำว่า “ใกล้แล้วๆๆ !”

ไปถึงยอดเขา ผมพบว่า มีคนนั่งรอกันเป็นหย่อม ๆ
ท่ามกลางความมืด และความเหน็บหนาว
และแล้วเวลาที่เราคอยกันก็มาถึง
“มาแล้ว ๆๆ !!! ” คนที่นั่นโห่ร้อง
เสียงชัตเตอร์กล้อง ดังไม่หยุด
ผมพยายามยกหนังตาขึ้นมอง พระอาทิตย์ยามเช้า
แล้วผมก็ต้องตะลึง
มันสวยจริง ๆ นะคุณ ยิ่งดู ยิ่งสวย


ดวงอาทิตย์ขึ้น ณ อาหลี่ซาน


ผมพบว่า ความงามของพระอาทิตย์นั้น
ไม่ใช่งามจากสิ่งที่ตาเห็นจากพระอาทิตย์เท่านั้น
แต่มันมีความงามที่เกิดจากความพยายามที่ยากลำบาก
กว่าจะมาเห็นพระอาทิตย์บนยอดเขานี้ได้ด้วย


พระพุทธศาสนาในไต้หวัน ep.4 ขอนำเสนอ
ความเพียรพยายามอันงดงาม
ของจางลู่ฉิน ผู้มีความรักอย่างแรงกล้า
ที่จะศึกษาพระพุทธศาสนา

การที่จางลู่ฉิน บุกเดี่ยวจากมณฑลเจ้อเจียง ไปมณฑลปักกิ่ง
เพื่อจะไปศึกษาพระพุทธศาสนานั้น
ผมนึก ๆ ดูว่า คนเราจะมีสักกี่คนกันนะ
ที่เมื่อตอนอายุ 25 ปี ละทิ้งการงานทางโลก
มีจิตใจมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม
เดินทางไกล เพื่อไปศึกษาพระพุทธศาสนาเช่นนี้

วิธีการเดินทางก็ไม่ได้ง่ายเหมือนปัจจุบัน
เริ่มต้นจากมณฑลเจ้อเจียง  ไปต่อที่เซี่ยงไฮ้
นั่งเรือกลไฟไปเทียนจิน แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถไฟอีกต่อ จนถึงปักกิ่ง !


แผนที่การเดินทางของจางลู่ฉินเพื่อแสวงหาธรรม


จางลู่ฉิน หอบเอาความหวังมาเต็มกระเป๋า
เหน็ดเหนื่อยเดินทางไกล แถมเมาเรือขนาดนี้
จะต้องได้ศึกษาธรรมะสมหวังแน่ ๆ
แต่...ไม่มีใครสมหวังไปทุกเรื่องหรอก
แม้แต่จางลู่ฉิน ก็ไม่ยกเว้น

ขณะนั้น เกิดสงครามภายในประเทศพอดี

“วิทยาลัยสงฆ์ผูถี เปิดเรียนเมื่อไหร่หรือครับ” จางลู่ฉิน ถามผู้คนในปักกิ่ง

“โอ้..คุณ ตอนนี้เขายังเตรียมการอะไรยังไม่เรียบร้อยเลย
วันเปิดเรียนยังไม่แน่นอนหรอก
ถ้าคุณอยู่ไกลควรรอประกาศก่อน แล้วค่อยมานะ”


นี่มันอะไรกัน!!!
นี่เป็นการเดินทางที่เปล่าประโยชน์หรือ
ออกจากบ้าน นั่งเรือกลไฟ เปลี่ยนรถไฟ เดินทางแบบไม่รู้กลางวัน ไม่รู้กลางคืน
กลับกลายเป็น ความเบิกบานอันว่างเปล่า

“แล้วจะทำยังไงต่อ?”
การเดินทางที่วางแผนครั้งแรกว่า
เป็นการเดินทางระยะสั้นเพื่อศึกษาธรรมะ
ใครจะรู้ว่า จุดหักเห นี้
กลับกลายเป็นการเดินทางที่เปลี่ยนทั้งชีวิตของเขา

จางลู่ฉิน ตัดสินใจเดินทางกลับไปตามเส้นทางเดิม ที่หฤโหด
ระหว่างทางเดินทางกลับ
ก็แวะไปวัดนั้นบ้าง วัดนี้บ้าง
จะมีวัดใด ที่เหมาะกับการศึกษาธรรมอย่างแท้จริง ?
ในที่สุดจางลู่ฉิน ก็ได้มาถึงสถานที่ที่ตนเองรอคอยมานาน


วัดฝูเฉวียน福泉庵 มณฑลเจ้อเจียง


วัดฝูเฉวียน福泉庵เป็นวัดเล็ก  ๆ ที่เงียบสงบ
นี่ล่ะ สถานที่ที่เหมาะสมกับการศึกษาธรรม !
จางลู่ฉิน ขออนุญาตท่านเจ้าอาวาส
ที่จะขอเข้าพัก เพื่อศึกษาพระไตรปิฎก
เมื่อเจ้าอาวาสอนุญาตแล้ว
จางลู่ฉินจึงขอยืมอ่านพระไตรปิฎกอย่างจริงจัง

อ่าน อ่าน อ่าน และอ่าน!

กิจวัตร และความเพียรของจางลู่ฉิน
เข้าไปสัมผัสถึงใจ ของเจ้าอาวาส
จนเจ้าอาวาสประทับใจ และรับเป็นอุปัชฌาย์ให้
จนในที่สุดก็ได้บวชในปี ค.ศ.1930
ขณะนั้นเขาอายุได้ 25 ปี

บัดนี้จางลู่ฉิน ผู้กระหายในการศึกษาธรรม
ได้เปลี่ยนเพศภาวะเป็นพระภิกษุ
ในพระพุทธศาสนามหายาน
ฉายาว่า “ อิ้นซุ่น印順 ” แล้ว !!!


ท่านชิงเนี่ยน (清念老和尚) (กลาง) พระอุปัชฌาย์ ของท่านอิ้นซุ่น (ขวา)


หลังจากบวชได้ไม่นาน พระอุปัชฌาย์ก็ส่งท่านอิ้นซุ่น
ไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยสงฆ์หมิ่นหนาน  (閩南佛學院) ในมณฑลฝูเจี้ยน
และที่นี่เองเป็นครั้งแรกที่ท่านได้ที่ท่านได้ซึมซับ
เอาแนวคิดพุทธศาสนามนุษย์นิยม
จากท่านไท่ซวีต้าซือ太虛大師 ซึ่งเป็นอธิการบดีของวิทยาลัยสงฆ์นั้น


ท่านไท่ซวี ต้าซือ ต้นกำเนิดแนวคิด พระพุทธศาสนามนุษย์นิยม


แต่ท่านอิ้นซุ่นเรียนได้แค่ครึ่งปีเท่านั้น
ก็มีเหตุให้ไม่ได้เรียนต่อเสียแล้ว
อาจารย์ที่วิทยาลัยสงฆ์เห็นว่า
ท่านอิ้นซุ่นเป็นผู้มีความรู้ทางพระพุทธศาสนาดี
จึงมอบหมายให้ไปสอนที่วิทยาลัยสงฆ์อีกแห่งหนึ่ง

ท่านอิ้นซุ่นไปสอนเพราะความเกรงใจแท้ ๆ
จนในที่สุดเมื่อสอนได้ปีหนึ่ง
ก็เกิดความละอายใจว่า
เราเพิ่งได้เรียนจริง ๆ จัง ๆ แค่ครึ่งปีเท่านั้น
ยังรู้อะไรไม่มากเลย จะไปสอนผู้อื่นได้อย่างไร?

ท่านคิดว่า จะให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้
ต้องกลับมาศึกษาอีกครั้ง
จึงตัดสินใจออกจากวิทยาลัยสงฆ์ที่สอน
โดยได้สอบถามจากบุคคลที่รู้จักว่า
ถ้าจะอ่านพระไตรปิฎกแบบจริง ๆ จัง ๆ
ที่ใดที่เหมาะมากที่สุด

มีผู้แนะนำท่านอิ้นซุ่นว่า
ให้ไปที่วัดฮุ่ยจี้慧濟寺
เพราะจะมีโยมรับเป็นเจ้าภาพ
เรื่องที่พัก และอาหารให้
ตลอดการเก็บตัวอ่านพระไตรปิฎก


                             วัดฮุ่ยจี้ 慧濟寺 มณฑลเจ้อเจียง

ทางเดินขึ้นวัดฮุ่ยจี้นั้น
ก็เป็นการวอร์มเบา ๆ ก่อนไปอ่านคัมภีร์
เดินขึ้นบันไดหินกว่า 2,000 ขั้น
จึงจะถึงยอดเขา !
ผมอ๋อ ในใจเลย มิน่าทำไมเงียบ...

บันไดหินที่ถูกสร้างขึ้นมากว่าเจ็ดร้อยปีนั้น
มีร่องรอยรอยเท้า ของพระหลายรูป ที่แสวงหาธรรมะ
มีรอยเงาของผู้แสวงหาปัญญามากมาย
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ธรรมะ และได้ปัญญากลับไป


                                        ป้ายยอดเขา บริเวณใกล้วัดฮุ่ยจี้

ท่านอิ้นซุ่น ก้าวย่างเข้าสู่หออ่านคัมภีร์
และเก็บตัวอ่านพระไตรปิฎกในนั้น
ตั้งแต่ปลายฤดูร้อนของปี ค.ศ.1932 จนถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ.1936
ตั้งแต่อายุ 27 ปีจนถึงอายุ 31 ปี

สถานที่นี้เป็นที่ในอุดมคติมาก
กลางวันอ่านพระไตรปิฎก
กลางคืนอ่านคัมภีร์อรรถาธิบายรุ่นหลัง
พระไตรปิฎกที่ท่านอินซุ่นอ่านนั้น
ไม่ได้มีแค่พระไตรปิฎกแบบบ้านเราเท่านั้นนะครับ
ส่วนที่คล้ายกับของเรา เป็นแค่ส่วนหนึ่งในนั้นเท่านั้นเอง
พระไตรปิฎกจีนฉบับที่ท่านอ่านมี 7,000 กว่าผูก
ทุกวันต้องอ่านวันละ 7-8ผูก
แต่ละผูกมีตัวอักษรประมาณ 9,000 ตัว !!!


                                           ตัวอย่างพระไตรปิฎกที่ท่านอิ้นซุ่นอ่าน

คนทั่วไปคงจะมีความรู้สึกว่า
อ่านไปได้ยังไง อ่านทั้งวัน อ่านทุกวัน
แถมเรื่องที่อ่านก็ ทำความเข้าใจได้ยากมาก ๆ อีก
แต่ท่านอิ้นซุ่นกลับรู้สึกว่า
ช่วงเวลาที่อยู่บนยอดเขานั้น
เป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดในชีวิต
อยู่อย่างเงียบ ๆ กับเพื่อนที่ชื่อว่าพระไตรปิฎก...



กิจวัตรของท่านอิ้นซุ่นในเวลานั้น
ตี 4 เสียงกระทบแผ่นไม้บนยอดเขา ปลุกให้ตื่น
อุปัฏฐากจะเอาน้ำเข้ามาให้ในห้องพัก เพื่อล้างหน้า
แล้วก็ครองจีวร ลุยอ่านพระไตรปิฎกทันที !

เมื่อพระที่เก็บตัวในหอคัมภีร์ ได้อ่านพระไตรปิฎกจบส่วนหนึ่ง
อุปัฏฐากที่คอยดูแลเรื่องอาหารการขบฉัน
ก็จะเอาหาบ ไปในหอเก็บคัมภีร์
ไปหยิบพระไตรปิฎกมาให้อีกส่วนหนึ่ง

ในระหว่างที่อุปัฏฐากเดินไปเดินมา
และเลือกพระสูตรมาเล่มแล้วเล่มเล่า
ความเข้าใจพระไตรปิฎกของท่านอิ้นซุ่น ก็มากขึ้น ไปตามลำดับ
ท่านพบว่าพระไตรปิฎกไม่ใช่คัมภีร์ที่เน้นทฤษฎีมาก
เหมือนของอาจารย์รุ่นหลัง
ข้างในพระไตรปิฎกมีแต่หลักปฏิบัติทั้งนั้น

เมื่อท่านอ่านถึงส่วนที่เรียกว่า “อาคม”  阿含經”
ก็มีความรู้สึกคุ้นเคย ว่านี่เป็นเรื่องของมนุษย์จริงๆ
ซึ่งอาคมที่กล่าวถึงนี้ เนื้อหาก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับของเถรวาทบ้านเราล่ะครับ
และพอท่านได้อ่านพระไตรปิฎกในส่วนของมหายาน
ท่านพบว่าส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงถึงความศรัทธา และความอุดมคติ เป็นหลัก

ดังนั้นเราก็พอจะนึกภาพออกได้นะครับว่า
การเก็บตัวศึกษาพระไตรปิฎกของท่านอิ้นซุ่นนั้น
ทำให้ท่านมีความเข้าใจทั้งในส่วนของพระพุทธศาสนาดั้งเดิม
และพระพุทธศาสนามหายานด้วยเป็นอย่างดี

เวลาท่านอิ้นซุ่น อ่านพระไตรปิฎกแล้วเจอข้อสงสัย
ท่านไม่ปล่อยผ่าน แต่จะเก็บไว้ในใจ
ผมเดาว่าน่าจะเหมือนทดเลขไว้ในใจกระมัง
แล้วท่านก็อ่านต่อไปเรื่อย ๆ
เมื่ออ่านมากเข้า ก็เริ่มเห็นภาพรวมของธรรมะมากเข้า  

ใช้ธรรมะ ตอบธรรมะ
ใช้ธรรมะ แก้ธรรมะ


คำถามที่มีในใจค่อย ๆ ละลายหายไป
จนธรรมะที่ศึกษาหล่อหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
มองเห็นภาพความเชื่อมต่อกันของพระไตรปิฎก
ทั้งพุทธศาสนาดั้งเดิม และคัมภีร์มหายาน !

3 ปีของความเพียรพยายาม  
บัดนี้ได้มีเพชรน้ำเอกเม็ดงาม
บังเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา
เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเม็ดแล้ว ....
ความพยายามคือ ความงามของจักรวาลจริง ๆ !

ตอนที่ผมนั่งรถไฟ ลงมาจากยอดเขาอาหลี่ซาน
ผมพบว่า สองข้างทางที่มืดสลัวเมื่อตอนไป
บัดนี้ ได้เปลี่ยนเป็นทัศนียภาพอันงดงามไปแล้ว !



แล้วชีวิตของท่านอิ้นซุ่น เมื่อลงจากยอดเขาที่เก็บตัว
ศึกษาพระธรรมนานถึง 3 ปีนั้นล่ะ จะเป็นอย่างไร ?
จะงดงามเหมือนทัศนียภาพที่ผมเห็นหรือเปล่านะ ?

โปรดติดตามตอนต่อไป
แล้วพบกันใหม่ครับ ไจ้เจี้ยน 再見
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่