พญ.นิตยา กล่าวถึงความสำคัญของการกินยาต้านไวรัสว่า ยาต้านไวรัสที่ใช้ในปัจจุบัน เป็นแนวทางการรักษาของประเทศไทย สามารถเบิกได้ตามสิทธิ์การรักษาทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นบัตรทอง ประกันสังคม หรือข้าราชการ ซึ่งสูตรของยาต้านไวรัสที่นิยมโดยทั่วไป ประกอบไปด้วย สูตรยาชื่อ Zidovudine (AZT) + Lamivudine (3TC) + Nevirapine (NVP) ซึ่งเป็นสูตรเดียวกับที่ “พละ” (ซีรีส์ ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น ซีซั่น 3) กินวันละ 2 ครั้ง โดยข้อดีของสูตรนี้คือ จะไม่มีอาการมึนเมา เหมาะกับคนวัยทำงาน นักศึกษา และนักเรียน และอีกสูตรที่ใช้กันโดยทั่วไปคือ Tenofovir (TDF) + Lamivudine (3TC) + Efavirenz (EFV) กินวันละ 1 ครั้ง ซึ่งผลข้างเคียงของยาสูตรนี้คือ จะต้องระมัดระวังเรื่องของการเกิดผื่น และมึนงง ในระยะเดือนแรก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากระบวนการรักษาด้วยยาต้านไวรัสในปัจจุบันจะถูกพัฒนาไปแล้ว แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่ก็ยังคงติดภาพกับยาต้านไวรัสในสมัยก่อน ที่จะมีผลข้างเคียง เช่น ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ผิวคล้ำ แก้มตอบ และไขมันย้ายที่ ทำให้เกิดความกลัวที่จะกินยาต้านไวรัส
ทั้งนี้ การเลือกกินยาต้านไวรัส ไม่ว่าจะเป็นสูตรใดก็ตาม ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ไม่ว่าผู้ติดเชื้อ HIV ในระยะเริ่มแรกหรือรุนแรงถึงขั้นระยะเอดส์ สามารถเลือกกินยาสูตรเดียวกันได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เรื่องวินัยการกินยา อย่างสม่ำเสมอและตรงเวลา เช่น สูตรวันละ 1 ครั้ง ต้องกินทุก 24 ชั่วโมงตรง และสูตรวันละ 2 ครั้ง กินทุก 12 ชั่วโมงตรง หากลืมหรือเวลาคลาดเคลื่อนไป นึกขึ้นได้เมื่อไรต้องกินทันที และเริ่มนับเวลาใหม่ ดังนั้น หากมีวินัยในการกินยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอและตรงเวลา ก็แทบไม่มีโอกาสที่จะดื้อยา
กระบวนการของเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกายเริ่มจากในระยะแรก เชื้อเหล่านี้จะเข้าไปหาแหล่งที่อยู่ในร่างกาย เช่น ต่อมน้ำเหลือง สมอง ลำไส้ และผนังลำไส้ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปเชื้อเหล่านี้ก็จะสะสมและมีการสร้างเชื้อออกมาเรื่อยๆ ฉะนั้นจึงต้องมีการกินยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยกดทับเชื้อ HIV ที่อยู่ในเลือดให้อยู่ในระดับที่ไม่สามารถตรวจพบได้อีก แต่อย่างไรก็ตาม ยาต้านไวรัสไม่ได้ถึงขั้นช่วยให้เชื้อหายเกลี้ยงไปจากร่างกายเพราะยาต้านไวรัสไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปจัดการกับต่อมน้ำเหลือง สมอง และลำไส้ได้หมด ฉะนั้น หากมีการหยุดยา เชื้อ HIV ก็จะกลับเข้าสู่เลือดได้อีก ดังนั้น เชื้อ HIV จะไม่หมดไปจากร่างกาย เพียงแต่กระบวนการรักษาจะสามารถคุมเชื้อได้
พญ.นิตยา กล่าวต่อว่า ปัจจุบันทางการแพทย์ทั่วโลก กำลังทำการวิจัยในเรื่องการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV กันอย่างเข้มข้น โดยมีการคาดหวังว่าในอนาคตกระบวนการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV จะสามารถกำจัดเชื้อหรือปลอดเชื้อออกไปจากร่างกายได้หมด หรือเรียกว่า รักษาเชื้อไวรัส HIV ให้หายขาด (CURE) ด้วยการตัดชิ้นเนื้อในต่อมน้ำเหลือง สมอง และลำไส้ มาส่องดู โดยจะต้องไม่มีเชื้อไวรัส HIV อยู่เลย ซึ่งเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างทำได้ยาก ดังนั้นในปัจจุบันกระบวนการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV จึงต้องพุ่งเป้าให้อยู่ใน “ระยะสงบ” แทน
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก thairath.co.th และ Buddy Station
Report by LIV APCO
ทำความรู้จัก! ยาต้านไวรัส คืออะไร? ผลข้างเคียงมากน้อยแค่ไหน...
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากระบวนการรักษาด้วยยาต้านไวรัสในปัจจุบันจะถูกพัฒนาไปแล้ว แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่ก็ยังคงติดภาพกับยาต้านไวรัสในสมัยก่อน ที่จะมีผลข้างเคียง เช่น ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ผิวคล้ำ แก้มตอบ และไขมันย้ายที่ ทำให้เกิดความกลัวที่จะกินยาต้านไวรัส
ทั้งนี้ การเลือกกินยาต้านไวรัส ไม่ว่าจะเป็นสูตรใดก็ตาม ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ไม่ว่าผู้ติดเชื้อ HIV ในระยะเริ่มแรกหรือรุนแรงถึงขั้นระยะเอดส์ สามารถเลือกกินยาสูตรเดียวกันได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เรื่องวินัยการกินยา อย่างสม่ำเสมอและตรงเวลา เช่น สูตรวันละ 1 ครั้ง ต้องกินทุก 24 ชั่วโมงตรง และสูตรวันละ 2 ครั้ง กินทุก 12 ชั่วโมงตรง หากลืมหรือเวลาคลาดเคลื่อนไป นึกขึ้นได้เมื่อไรต้องกินทันที และเริ่มนับเวลาใหม่ ดังนั้น หากมีวินัยในการกินยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอและตรงเวลา ก็แทบไม่มีโอกาสที่จะดื้อยา
กระบวนการของเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกายเริ่มจากในระยะแรก เชื้อเหล่านี้จะเข้าไปหาแหล่งที่อยู่ในร่างกาย เช่น ต่อมน้ำเหลือง สมอง ลำไส้ และผนังลำไส้ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปเชื้อเหล่านี้ก็จะสะสมและมีการสร้างเชื้อออกมาเรื่อยๆ ฉะนั้นจึงต้องมีการกินยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยกดทับเชื้อ HIV ที่อยู่ในเลือดให้อยู่ในระดับที่ไม่สามารถตรวจพบได้อีก แต่อย่างไรก็ตาม ยาต้านไวรัสไม่ได้ถึงขั้นช่วยให้เชื้อหายเกลี้ยงไปจากร่างกายเพราะยาต้านไวรัสไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปจัดการกับต่อมน้ำเหลือง สมอง และลำไส้ได้หมด ฉะนั้น หากมีการหยุดยา เชื้อ HIV ก็จะกลับเข้าสู่เลือดได้อีก ดังนั้น เชื้อ HIV จะไม่หมดไปจากร่างกาย เพียงแต่กระบวนการรักษาจะสามารถคุมเชื้อได้
พญ.นิตยา กล่าวต่อว่า ปัจจุบันทางการแพทย์ทั่วโลก กำลังทำการวิจัยในเรื่องการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV กันอย่างเข้มข้น โดยมีการคาดหวังว่าในอนาคตกระบวนการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV จะสามารถกำจัดเชื้อหรือปลอดเชื้อออกไปจากร่างกายได้หมด หรือเรียกว่า รักษาเชื้อไวรัส HIV ให้หายขาด (CURE) ด้วยการตัดชิ้นเนื้อในต่อมน้ำเหลือง สมอง และลำไส้ มาส่องดู โดยจะต้องไม่มีเชื้อไวรัส HIV อยู่เลย ซึ่งเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างทำได้ยาก ดังนั้นในปัจจุบันกระบวนการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV จึงต้องพุ่งเป้าให้อยู่ใน “ระยะสงบ” แทน
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก thairath.co.th และ Buddy Station
Report by LIV APCO