"โลกที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป"
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบ ประเทศต่างๆได้อยู่กันอย่างสงบสุขมาจนถึงตอนนี้โดยปราศจากสงคราม จะมีก็แต่การแข่งขันทางการค้าและสงครามเย็นเท่านั้น แต่ลองจินตานาการดูสิ ว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรหากฝ่ายอักษะชนะสงครามโลกครั้งที่สองและฮิตเลอร์ยังมีชีวิตอยู่จนผมขาว?
The Man In The High Castle เป็นซีรีย์ของช่อง Amezon ที่อำนวยการสร้างโดย ริดลีย์ สก็อตต์( ผู้กำกับ Gladiater ,Alien และ Prometheus) และแฟรงค์ สปอตนิทซ์ (โปรดิวเซอร์ซีรีย์ the X-files กับ Strike Back) โดยดัดแปลงมาจากนิยายของ ฟิลิป เค. ดิ๊ค ผู้เป็นเจ้าของความคิดของผลงานไซไฟขึ้นหิ้งหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Blade Runner , Pay Check , Minority Report , A Scanner Darkly , Screamers , Adjustment Bareau และ Total Recall
ซีรีย์นี้พาคุณไปสำรวจประวัติศาสตร์คู่ขนาน ให้เห็นสภาพและเหตุการณ์บ้านเมืองในอเมริกาที่โดนปกครองโดยนาซีและจักรวรรดิญี่ปุ่น(ประมาณปี1960หรือหลัง WW2) ซึ่งมาตั้งรกรากและศูนย์บัญชาการใหญ่อยู่ที่นั่นเลย ในเรื่องนาซีกับญี่ปุ่นจะมีขวากหนามที่สำคัญคือฝ่ายต่อต้าน ที่คอยแอบขนส่งฟิล์มที่เก็บงำความลับบางอย่างที่ว่ากันว่าเป็นของชายที่มีฉายาว่า "The Man in the High Castle" ความน่าสนใจอยู่ตรงที่หนังในแต่ละม้วนฟิล์มมีทั้งเหตุการณ์ที่เป็นอนาคตและเหตุการณ์ที่อเมริกาชนะสงคราม จึงทำให้ฝ่ายต่อต้านมีความหวังและนาซีกับพวกจักรวรรดิญี่ปุ่นต้องการแผ่นฟิล์มพวกนี้อย่างมาก
โดยเรื่องราวจะเล่าผ่านตัวละครหลายตัว ต่างมุมมอง ต่างสถานที่ และแต่ละคนจะมีสิ่งที่ตัวเองต้องทำเพื่อสิ่งสำคัญที่ตัวเองยึดมั่น "จูเลียนอานา เครน" (รับบทโดยอเล็กซา ดาวาลอส) หญิงสาวผู้ไปพัวพันกับฝ่ายต่อต้านเพราะน้องสาวทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล ,"แฟรงค์ ฟริงค์" (รับบทโดยรูเพิร์ท อีแวนส์) สามีผู้ซื่อสัตย์ของจูเลียอานา , "โจ เบลค" หนุ่มผู้หลงรักจูเลียอานาหลังจากที่ช่วยเหลือเธอครั้งแรกและมีภารกิจที่ต้องทำซึ่งขัดแย้งกับทางเดินของจูเลียอานาอย่างมาก , "โนบุซุเกะ ทาคูมิ" (รับบทโดย แครี่-ฮิโรยูกิ ทากาวะ) รัฐมนตรีกระทรวงพานิชญ์ของญี่ปุ่นผู้มีจิตใจดี และ "obergruppenführer จอห์น สมิธ" หัวหน้าใหญ่ของSS ผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์
ตัวอย่าง :
http://youtu.be/zzayf9GpXCI
ต้องสารภาพว่าดูจบมาตั้งแต่มาทิตย์ที่แล้วแต่ไม่ว่าง ตอนนี้ก็ได้ฤกษ์ได้ยามที่จะรีวิวซักที ตอนแรกพอได้ยินพล็อตเรื่องผมก็ว่ามันน่าสนใจแล้วนะ แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ ได้ดูแค่ตอนแรกก็ซัดเราอยู่หมัดแล้ว เรื่องราวดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพราะต้องแนะตัวละครหลักและโลกที่ตัวละครอาศัยอยู่ภายใน 1 ชั่วโมงและหลายๆคนคงอยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง ซึ่งก็เล่าเรื่องได้ดีโดยเฉพาะตอนจบของตอนไพล็อตทำให้ผมถึงกับอึ้งจนอยากเปิดดูตอนต่อไปทันที (ซึ่งก็ดูต่อจริงๆ) และไม่ใช่แค่นี้ ซีรีย์นี้มีทั้งหมด 10 ตอน แต่ละตอนจบได้ค้างคามาก เหมือนตอนจบซีซั่นของซีรีย์ยังไงอย่างงั้น โชคดีที่ช่อง Amezon ปล่อยมาทีเดียว 10 ตอนรวด ไม่งั้นมีลงแดงแน่นอน
จุดเด่นของ The Man in the High Castle เลยคือเรื่องบท การสร้างตัวละครทำได้สมจริงตัวละครในเรื่องมีความเป็นมนุษย์สูงมาก การกระทำแต่ละอย่างของตัวละครสมเหตุสมผลตามนิสัยตัวละครนั้นๆ เฉลี่ยบทบาทของตัวละครได้ดีเยี่ยม ไม่มีใครเด่นไปกว่าใครถึงแม้ว่านางเอกจะเป็นตัวหลักของเรื่องก็ตาม แต่เราเลือกยากมากว่าจะเชียร์ตัวเอกชายคนไหนดีเพราะแต่ละคนก็มีสิ่งที่ดีคนละแบบ การดำเนินเรื่องสมูธเป็นโทนเดียวกันหมดและเรื่องราวมักจะขับเคลื่อนไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะฉากไคล์แม็กของแต่ละตอนมักจะเล่าแบบตัดสลับ 2 สถานที่ในเวลาเดียวกัน บวกกับเพลงประกอบทำให้กระตุ้นอารมณ์ได้สุดๆ
เรื่องการแสดงตัวเอกทุกคนทำได้ดีมาก มีทั้งฉากดราม่าพังข้าวของและฉากที่นิ่งเฉยแต่สื่ออารมณ์ได้ แต่ที่ชอบที่สุดคือตัวละคร แฟรงค์ ฟริงค์ เป็นตัวละครที่ชีวิตน่าสงสารและน่าเห็นใจมาก ซึ่งรูเพิร์ท นักแสดงที่รับบทนี้ก็แสดงได้ดีมากเช่นกัน
เอฟเฟ็คบางฉากอาจไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ โดยเฉพาะฉากที่ต้องเห็นอาคารบ้านเรือน แต่ก็ต้องยอมรับเนื่องจากเรื่องนี้อยู่ในช่วงเวลาประมาณปี 60 ฉะนั้นมันจึงเป็นซีรีย์พีเรียดที่ปกติก็ทำยากอยู่แล้ว ทั้งฉาก ภูมิทัศน์ อุปกรณ์ประกอบฉาก เสื้อผ้าหน้าผม ท่าทางและสำเนียงตัวละคร เรื่องวัฒนธรรมของเยอรมัน ญี่ปุ่นและอเมริกาในยุคสมัยนั้น ไหนจะเรื่องเนรมิตบ้านเมืองที่ควรจะเป็นแบบอเมริกาให้กลายเป็นของญี่ปุ่นกับเยอรมันอีก เรื่องนี้จึงให้อภัยได้เพราะต้องอาศัยจินตนาการอย่างสูงกว่าจะสร้างอะไรแบบนี้ให้เราดูได้ ซึ่งก็ยอมรับว่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลย นอกจากนี้เรายังได้เห็นชีวิตอันแร้นแค้นที่ถูกกดขี่ของคนอเมริกาและชาวยิวอีกด้วย ทั้งเรื่องการใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ ที่อยู่อาศัยเล็กๆ การถูกตามล่าและบังคับโดยทหารและเรื่องอื่นๆอีกมากมาย
เรื่องราวแต่ละตอนมีการดีวีลอปที่ดีทั้งในตอนและของทั้งซีซั่น ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ซีรีย์จบในตอนเหมือนพวก Supernatural หรือ The Bigbang Theory แต่ปมขัดแย้งถูกพัฒนาไปอย่างมีขั้นตอน จากช่วงหนึ่งไปอีกช่วงหนึ่ง จากตอนหนึ่งไปอีกตอนหนึ่ง นำไปสู่ผลลัพธ์ที่แย่ขึ้นเรื่อยๆที่ตัวละครเอกจะต้องเผชิญ ยิ่งตอนใกล้จบเราก็จะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของตัวละครที่เราเกลียดว่าตัวละครเหล่านั้นก็มีความภักดีกับสิ่งที่ตนยึดเหนี่ยวอยู่ไม่น้อยจนเกือบเอาใจช่วย เพียงแต่เส้นทางนั้นมันไปขัดขวางตัวเอกของเราเท่านั้น และถึงแม้ว่าว่าตอนจบแต่ละตอนจะดีมากๆแล้วแต่อยากจะบอกว่าตอนจบของตอนฟินนาเล่จะทำให้คุณเงิบสุดๆแน่นอน (พูดถึงแล้วเศร้า ต้องรออีกปีเลยทีเดียว)
พูดได้คำเดียวว่าห้ามพลาดครับ เราจะได้เห็นอะไรใหม่ๆหลายๆอย่างที่ชาตินี้จะไม่มีวันได้เคยเห็นพร้อมกับเรื่องราวสุดเข้มข้นน่าติดตาม ซึ่งตอนนี้ซีรีย์ได้ถูกอนุมัติให้ทำซีซั่นสองเรียบร้อยแล้ว
คะแนนที่ให้ 8.4/10
คะแนนความชอบ 10/10
ติดตามรีวิวใหม่ๆทั้งหนังและซีรีย์ต่าวประเทศ พร้อมอัพเดตข่าวสารอย่างรวดเร็ว ได้ที่ :
https://www.facebook.com/lioninblack/
[CR] แนะนำซีรีย์ "The Man in the High Castle" จะเกิดอะไรขึ้นหากอเมริกาแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ?
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบ ประเทศต่างๆได้อยู่กันอย่างสงบสุขมาจนถึงตอนนี้โดยปราศจากสงคราม จะมีก็แต่การแข่งขันทางการค้าและสงครามเย็นเท่านั้น แต่ลองจินตานาการดูสิ ว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรหากฝ่ายอักษะชนะสงครามโลกครั้งที่สองและฮิตเลอร์ยังมีชีวิตอยู่จนผมขาว?
The Man In The High Castle เป็นซีรีย์ของช่อง Amezon ที่อำนวยการสร้างโดย ริดลีย์ สก็อตต์( ผู้กำกับ Gladiater ,Alien และ Prometheus) และแฟรงค์ สปอตนิทซ์ (โปรดิวเซอร์ซีรีย์ the X-files กับ Strike Back) โดยดัดแปลงมาจากนิยายของ ฟิลิป เค. ดิ๊ค ผู้เป็นเจ้าของความคิดของผลงานไซไฟขึ้นหิ้งหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Blade Runner , Pay Check , Minority Report , A Scanner Darkly , Screamers , Adjustment Bareau และ Total Recall
ซีรีย์นี้พาคุณไปสำรวจประวัติศาสตร์คู่ขนาน ให้เห็นสภาพและเหตุการณ์บ้านเมืองในอเมริกาที่โดนปกครองโดยนาซีและจักรวรรดิญี่ปุ่น(ประมาณปี1960หรือหลัง WW2) ซึ่งมาตั้งรกรากและศูนย์บัญชาการใหญ่อยู่ที่นั่นเลย ในเรื่องนาซีกับญี่ปุ่นจะมีขวากหนามที่สำคัญคือฝ่ายต่อต้าน ที่คอยแอบขนส่งฟิล์มที่เก็บงำความลับบางอย่างที่ว่ากันว่าเป็นของชายที่มีฉายาว่า "The Man in the High Castle" ความน่าสนใจอยู่ตรงที่หนังในแต่ละม้วนฟิล์มมีทั้งเหตุการณ์ที่เป็นอนาคตและเหตุการณ์ที่อเมริกาชนะสงคราม จึงทำให้ฝ่ายต่อต้านมีความหวังและนาซีกับพวกจักรวรรดิญี่ปุ่นต้องการแผ่นฟิล์มพวกนี้อย่างมาก
โดยเรื่องราวจะเล่าผ่านตัวละครหลายตัว ต่างมุมมอง ต่างสถานที่ และแต่ละคนจะมีสิ่งที่ตัวเองต้องทำเพื่อสิ่งสำคัญที่ตัวเองยึดมั่น "จูเลียนอานา เครน" (รับบทโดยอเล็กซา ดาวาลอส) หญิงสาวผู้ไปพัวพันกับฝ่ายต่อต้านเพราะน้องสาวทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล ,"แฟรงค์ ฟริงค์" (รับบทโดยรูเพิร์ท อีแวนส์) สามีผู้ซื่อสัตย์ของจูเลียอานา , "โจ เบลค" หนุ่มผู้หลงรักจูเลียอานาหลังจากที่ช่วยเหลือเธอครั้งแรกและมีภารกิจที่ต้องทำซึ่งขัดแย้งกับทางเดินของจูเลียอานาอย่างมาก , "โนบุซุเกะ ทาคูมิ" (รับบทโดย แครี่-ฮิโรยูกิ ทากาวะ) รัฐมนตรีกระทรวงพานิชญ์ของญี่ปุ่นผู้มีจิตใจดี และ "obergruppenführer จอห์น สมิธ" หัวหน้าใหญ่ของSS ผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์
ตัวอย่าง : http://youtu.be/zzayf9GpXCI
ต้องสารภาพว่าดูจบมาตั้งแต่มาทิตย์ที่แล้วแต่ไม่ว่าง ตอนนี้ก็ได้ฤกษ์ได้ยามที่จะรีวิวซักที ตอนแรกพอได้ยินพล็อตเรื่องผมก็ว่ามันน่าสนใจแล้วนะ แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ ได้ดูแค่ตอนแรกก็ซัดเราอยู่หมัดแล้ว เรื่องราวดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพราะต้องแนะตัวละครหลักและโลกที่ตัวละครอาศัยอยู่ภายใน 1 ชั่วโมงและหลายๆคนคงอยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง ซึ่งก็เล่าเรื่องได้ดีโดยเฉพาะตอนจบของตอนไพล็อตทำให้ผมถึงกับอึ้งจนอยากเปิดดูตอนต่อไปทันที (ซึ่งก็ดูต่อจริงๆ) และไม่ใช่แค่นี้ ซีรีย์นี้มีทั้งหมด 10 ตอน แต่ละตอนจบได้ค้างคามาก เหมือนตอนจบซีซั่นของซีรีย์ยังไงอย่างงั้น โชคดีที่ช่อง Amezon ปล่อยมาทีเดียว 10 ตอนรวด ไม่งั้นมีลงแดงแน่นอน
จุดเด่นของ The Man in the High Castle เลยคือเรื่องบท การสร้างตัวละครทำได้สมจริงตัวละครในเรื่องมีความเป็นมนุษย์สูงมาก การกระทำแต่ละอย่างของตัวละครสมเหตุสมผลตามนิสัยตัวละครนั้นๆ เฉลี่ยบทบาทของตัวละครได้ดีเยี่ยม ไม่มีใครเด่นไปกว่าใครถึงแม้ว่านางเอกจะเป็นตัวหลักของเรื่องก็ตาม แต่เราเลือกยากมากว่าจะเชียร์ตัวเอกชายคนไหนดีเพราะแต่ละคนก็มีสิ่งที่ดีคนละแบบ การดำเนินเรื่องสมูธเป็นโทนเดียวกันหมดและเรื่องราวมักจะขับเคลื่อนไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะฉากไคล์แม็กของแต่ละตอนมักจะเล่าแบบตัดสลับ 2 สถานที่ในเวลาเดียวกัน บวกกับเพลงประกอบทำให้กระตุ้นอารมณ์ได้สุดๆ
เรื่องการแสดงตัวเอกทุกคนทำได้ดีมาก มีทั้งฉากดราม่าพังข้าวของและฉากที่นิ่งเฉยแต่สื่ออารมณ์ได้ แต่ที่ชอบที่สุดคือตัวละคร แฟรงค์ ฟริงค์ เป็นตัวละครที่ชีวิตน่าสงสารและน่าเห็นใจมาก ซึ่งรูเพิร์ท นักแสดงที่รับบทนี้ก็แสดงได้ดีมากเช่นกัน
เอฟเฟ็คบางฉากอาจไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ โดยเฉพาะฉากที่ต้องเห็นอาคารบ้านเรือน แต่ก็ต้องยอมรับเนื่องจากเรื่องนี้อยู่ในช่วงเวลาประมาณปี 60 ฉะนั้นมันจึงเป็นซีรีย์พีเรียดที่ปกติก็ทำยากอยู่แล้ว ทั้งฉาก ภูมิทัศน์ อุปกรณ์ประกอบฉาก เสื้อผ้าหน้าผม ท่าทางและสำเนียงตัวละคร เรื่องวัฒนธรรมของเยอรมัน ญี่ปุ่นและอเมริกาในยุคสมัยนั้น ไหนจะเรื่องเนรมิตบ้านเมืองที่ควรจะเป็นแบบอเมริกาให้กลายเป็นของญี่ปุ่นกับเยอรมันอีก เรื่องนี้จึงให้อภัยได้เพราะต้องอาศัยจินตนาการอย่างสูงกว่าจะสร้างอะไรแบบนี้ให้เราดูได้ ซึ่งก็ยอมรับว่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลย นอกจากนี้เรายังได้เห็นชีวิตอันแร้นแค้นที่ถูกกดขี่ของคนอเมริกาและชาวยิวอีกด้วย ทั้งเรื่องการใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ ที่อยู่อาศัยเล็กๆ การถูกตามล่าและบังคับโดยทหารและเรื่องอื่นๆอีกมากมาย
เรื่องราวแต่ละตอนมีการดีวีลอปที่ดีทั้งในตอนและของทั้งซีซั่น ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ซีรีย์จบในตอนเหมือนพวก Supernatural หรือ The Bigbang Theory แต่ปมขัดแย้งถูกพัฒนาไปอย่างมีขั้นตอน จากช่วงหนึ่งไปอีกช่วงหนึ่ง จากตอนหนึ่งไปอีกตอนหนึ่ง นำไปสู่ผลลัพธ์ที่แย่ขึ้นเรื่อยๆที่ตัวละครเอกจะต้องเผชิญ ยิ่งตอนใกล้จบเราก็จะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของตัวละครที่เราเกลียดว่าตัวละครเหล่านั้นก็มีความภักดีกับสิ่งที่ตนยึดเหนี่ยวอยู่ไม่น้อยจนเกือบเอาใจช่วย เพียงแต่เส้นทางนั้นมันไปขัดขวางตัวเอกของเราเท่านั้น และถึงแม้ว่าว่าตอนจบแต่ละตอนจะดีมากๆแล้วแต่อยากจะบอกว่าตอนจบของตอนฟินนาเล่จะทำให้คุณเงิบสุดๆแน่นอน (พูดถึงแล้วเศร้า ต้องรออีกปีเลยทีเดียว)
พูดได้คำเดียวว่าห้ามพลาดครับ เราจะได้เห็นอะไรใหม่ๆหลายๆอย่างที่ชาตินี้จะไม่มีวันได้เคยเห็นพร้อมกับเรื่องราวสุดเข้มข้นน่าติดตาม ซึ่งตอนนี้ซีรีย์ได้ถูกอนุมัติให้ทำซีซั่นสองเรียบร้อยแล้ว
คะแนนที่ให้ 8.4/10
คะแนนความชอบ 10/10
ติดตามรีวิวใหม่ๆทั้งหนังและซีรีย์ต่าวประเทศ พร้อมอัพเดตข่าวสารอย่างรวดเร็ว ได้ที่ : https://www.facebook.com/lioninblack/