หลอน...กาแฟ

กระทู้สนทนา
===============
หลอน...กาแฟ
===============


Psycho  G.




             “ทำไมพ่อแม่ถึงตั้งชื่อเราว่ากาแฟด้วยนะ  เราเลยพลอยติดกาแฟไปด้วย”

             หญิงสาวในชุดทำงานเสื้อกระโปรงสีเรียบมองนั่งอยู่กับถ้วยกาแฟรสโปรด พลางมองดูนาฬิกาแขวนผนังรูปถ้วยกาแฟ บอกเวลาบ่ายห้าโมงกว่า สีหน้าท่าทางของเธอค่อนข้างกังวล คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างคนมีอะไรในใจ

              เธอนั่งอยู่ในร้านกาแฟซึ่งมักจะมานั่งเป็นประจำเลือกนั่งโต๊ะตัวเดิม เก้าอี้ตัวเดิม ริมหน้าต่างกระจกใส ในห้องติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ กับกาแฟร้อนรสเดิม หนังสือเล่มหนึ่ง หรือไม่ก็ยามต้องการสมาธิในการทำงาน เธอก็มักจะหลบมาหามุมสงบให้กับตัวเอง

             ความจริงในร้านกาแฟก็ไม่ได้สงบเงียบ แต่เรื่องแบบนี้บางทีก็ขึ้นอยู่กับใจ ถ้าใจสงบอย่างอื่นก็อาจสงบตามไปด้วย อย่างน้อยก็ดีกว่าในห้องทำงาน ซึ่งมักวุ่นวายแทบตลอดเวลา ไม่รวมกับอาการจับกลุ่มพูดคุยของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเมื่อไรรวมตัวกันได้การพูดคุยแบบน้ำไหลไฟดับจะติดตามมาทันทีแบบยาวเหยียดไม่เลิกราง่ายๆ

             หรืออย่างน้อยร้านกาแฟก็ดีกว่าร้านขายอาหารประเภทมีแอลกอฮอล์ เพราะยังไม่เคยเห็นใครเมากาแฟ แล้วอาละวาดส่งเสียงดัง หญิงสาวไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆ แล้วทำไมชอบดื่มกาแฟ อาจเป็นเพราะรสชาติ กลิ่นของกาแฟไม่ว่าจะเป็น   เอสเปรสโซ  ริสเตรนโต โมคา คัปปุชชีโน แฟรปปูชิโน ลาเต้ สารพัดสารพัน  หรือจะเป็นเพราะคาเฟอินในกาแฟกันแน่

             ว่าแต่วันนี้ร้านกาแฟดูเงียบสงบค่อนข้างผิดปกติ มองออกไปด้านนอกรู้สึกเหมือนกับเป็นอีกโลกหนึ่ง มีเพียงกระจกกั้นกลางอยู่เท่านั้น โลกภายนอกดูสับสนเร่งร้อนไม่หยุดนิ่ง ชีวิตมากมายหลายหลากต่างเดินไปตามเส้นทางของตนเอง การนั่งสังเกตในมุมมองอันแตกต่างก็ให้ความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ไม่เหมือนเอาตัวไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นเสียเอง

             เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง แต่ก็ต้องรีบคว้าโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าถือ ทั้งที่เคยตั้งใจว่าจะไม่รีบร้อนรับโทรศัพท์ เพราะคิดดูแล้วเหมือนมันเป็นเจ้านายชอบกล ร้องทีก็ต้องรีบร้อนรับสาย

             “สวัสดีจ้า กาแฟ”

             เสียงใครบางคนดังมาจากปลายสาย หญิงสาวขมวดคิ้ว ทำหน้าสงสัย นึกไม่ออกว่าเสียงตามสายเป็นเสียงของเพื่อนคนไหน

             “ว่าไง..”

             ตัดสินใจถามออกไปแบบกลางๆ สงวนท่าที ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นการย้อนถามแบบตั้งใจทั้งที่อยากทำแบบนั้น แต่การไม่รู้ว่าใครโทรมาหาดูมันเป็นการเสียเชิงแบบแปลกๆ อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆเหมือนคนอารมณ์ดี แล้วย้อนถามมาว่า

             “เธอจำฉันไม่ได้เหรอ”

             “ก็บอกมาสิว่าใคร”

             “บอกไปก็ไม่สนุกสิ”

             พูดจบก็วางหูไปเสียเฉยๆ สาวกาแฟรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที อะไรกัน...ลงทุนโทรมาหาเพียงแค่พูดแค่นี้ บ้าหรือเปล่า

             ท่าทางคงจะว่างจัด แต่หลังจากนั่งคิดสักครู่ก็จำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของเพื่อนคนไหน ส่วนคนซึ่งนัดเอาไว้ก็ยังไม่มา ทั้งที่ปกติคน ๆ นั้นเป็นคนตรงเวลา

             หนังสือในมือก็อ่านไปได้เยอะแล้วจนเริ่มรู้สึกเบื่อ กาแฟยังเหลือติดก้นถ้วย น้ำเปล่ายังเหลือครึ่งแก้ว สั่งกาแฟมากินอีกสักถ้วยดีกว่า นึกแล้วหันไปหาเจ้าของร้านซึ่งมักเห็นง่วนอยู่หลังเคาน์เตอร์เป็นประจำ แต่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน นี่ปล่อยให้ลูกค้านั่งหง่าวอยู่คนเดียวได้อย่างไรกัน

             เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีก ทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเพราะกำลังคิดอะไรเพลินๆ หยิบมาดูเบอร์เรียกเข้าก็เป็นเบอร์ใหม่ไม่คุ้นตา

             จะรับสายดีไหมนะ......

             หญิงสาวพยายามข่มใจ ไม่รับสาย ดูสิว่าจะเอายังไง แต่เสียงโทรศัพท์ยังคงดังอย่างเร่งร้อนและเหมือนจะเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุดสักที ในที่สุดก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ยกหูโทรศัพท์ขึ้นรับสาย

             “I Know What You Did Last Summer”

             เสียงแหบพร่าผิดปกติดังแว่วเข้าหู ทำให้สาวกาแฟตัวชาดิกไปชั่วขณะด้วยความคาดไม่ถึง นี่มันล้อกันเล่นบ้าบอคอแตกหรืออย่างไร แล้ววางฝั่งโน้นก็วางสายไปก่อนจะมีโอกาสซักถาม แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม เป็นเรื่องไม่น่ารักเอาเสียเลย ไม่ว่าใครก็ตามโทรมาล้อเล่นแบบนี้

             “ซัมเมอร์ที่แล้ว ฉันไปเที่ยว มีอะไรไหม”  ตอบกับดินฟ้าอากาศแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้

             ว่าแต่เรามาทำอะไรที่นี่......น่าจะลางานครึ่งวันแล้วกลับบ้านไปนอนดีกว่า

             ใช่..ควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เพราะว่าเจ้าของร้านไม่รู้หายหน้าไปไหน หญิงสาวยังไม่อยากโดนข้อหากินแล้วชักดาบ หลังจากมองไปพักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ร้านกาแฟไม่เคยเงียบเหงาขนาดนี้ เหมือนว่ามีแต่คนเดินออกไปจากร้านแต่ไม่มีคนเดินเข้ามา ทำให้ผู้คนหายไปจากร้านจนแทบไม่เหลือใคร

             ในร้านเหลือเพียงเธอคนเดียว ด้านนอกดูเหมือนฝนจะเริ่มตกลงมาจนทำให้กระจกเริ่มเป็นฝ้า มองออกไปแทบไม่เห็นอะไร

             ยังดีว่ายังมีเสียงเพลงดังเบาๆมาจากตู้ลำโพงสองตัวภายในร้านช่วยให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาจนเกินไป ฟังไปสักพักใหญ่ก็รู้ว่ามันเป็นเพลงบรรเลงเพลงเดิมเปิดวนไปวนมาหลายครั้งจนเริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมา

             เสียงโทรศัพท์กรีดร้องลั่น คราวนี้ทำให้สะดุ้งกว่าทุกครั้ง จนอยากจะปาทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ความอยากรู้มีมากกว่า เลยหยิบมารับสาย

             “สวัสดีจ้า กาแฟ”

             เป็นเสียงผู้หญิง และน่าจะเป็นเสียงของเพื่อนผู้ไม่ประสงค์จะออกนามผู้โทรหาเธอก่อนหน้านี้

             “ว่าไง..”  

             เธอยังคงใช้ประโยคเดิมทักทาย อีกฝ่ายหัวเราะเช่นเคยก่อนพูดว่า

             “ดูท่าทางเธอคงเหงาแย่สินะ”

             “ไม่หรอก...ไม่เหงาอะไร”    หญิงสาวตอบส่งๆ แต่ดูเหมือนปลายสายจะไม่เชื่อ

             “ทำไมจะไม่เหงาล่ะ นั่งอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอจ๊ะ”

             “รู้ได้ยังไงว่าฉันคนเดียว”

             “ก็เธอนั่งอยู่คนเดียวจริงๆไม่ใช่หรือจ๊ะ”

             “เลิกเล่นบ้าๆเสียทีได้ไหม ไม่ตลกเลยนะ”

             หญิงสาวทั้งโมโหทั้งรู้สึกหวั่นใจชอบกล รู้สึกเหมือนมีใครหรืออะไรบางอย่างจ้องมองมาจากมุมมืดอย่างเงียบเชียบ บางทีเพื่อนคนนี้อาจกำลังเฝ้ามองเธออยู่จากที่ใดที่หนึ่ง แต่ว่าทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย

             “ใช่แล้ว ไม่ตลกเลย...เธอไม่แปลกใจเลยหรือว่าทำไมวันนี้แขกในร้านกาแฟถึงน้อยเหลือเกิน ตอนนี้ก็มีเธอคนเดียวเท่านั้น ไม่...เธอไม่รู้เรื่องหรอก”

             “ไม่รู้อะไร”

             เมื่อวาน....โต๊ะตัวที่เธอนั่ง เก้าอี้ที่เธอนั่ง มีคนตายแบบกะทันหันคาโต๊ะกาแฟ บางทีวิญญาณของคนตายอาจสิงสู่อยู่โต๊ะอย่างเงียบเหงาก็เป็นไปได้นะ แต่ว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเลยหรือว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ กับการนั่งทับที่คนตาย ฉันมาเตือนเธอให้ระวังตัว”

             คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวขนลุกเกรียวขึ้นมาทันที ไม่มีทางเป็นจริง เมื่อวานเธอก็ยังมานั่งอยู่ในร้านก็ไม่เห็นมีใครตายให้เห็น

             “เรื่องมันเกิดหลังจากเธอกลับบ้านแล้ว”

             เสียงจากปลายสายอธิบายต่อไปเหมือนล่วงรู้ความคิดของเธอ..”หลายคนรู้ข่าวก็ไม่มาร้านนี้ชั่วคราว  ไม่แน่เหมือนกันนะว่าแก้วกาแฟที่เธอกำลังดื่มอยู่ เป็นแก้วสุดท้ายของคนๆนั้นที่ได้ดื่มก่อนตายก็เป็นได้”

             “อย่าพูดบ้าๆน่า ว่าแต่เธอเป็นใครกันแน่.......”

             หญิงสาวฝืนหัวเราะพยายามทำใจให้เยือกเย็น บางทีนี่อาจเป็นรายการล้อกันเล่นอย่างที่เห็นในทางทีวีก็เป็นไปได้ จะต้องตั้งสติไม่หวั่นไหว แล้วเตรียมการฟ้องเอาเรื่องผู้อยู่เบื้องหลังรายการบ้าๆให้รู้สำนึกในการละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนอื่นโดยไม่ได้ขออนุญาต

             “บางทีวิญญาณคนตายอาจจะสิงอยู่ในถ้วยกาแฟ ในกาแฟ ก็เป็นได้”

             เสียงนั้นยังคงดังต่อไปอย่างไม่สนใจอาการของหญิงสาวว่าจะคิดอย่างไร

              “เธอคงไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับถ้วยกาแฟผีสิง คอยตามหลอกหลอนคนดื่มกาแฟในรูปแบบต่างๆ กัน กับคนตายกะทันหัน จิตของเขาหรือเธออาจยึดติดกับสิ่งใกล้ตัวในขณะนั้น กลายเป็นคำสาปสิงอยู่ในสิ่งของนั้นๆ..ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกลัว เธอมีคนคอยดูแลอยู่...”

             “เลิกล้อเล่นเสียที...”  

             หญิงสาวกระแทกเสียงอย่างฉุนเฉียว เรื่องอะไรอยู่ดีๆ ก็มาพูดให้ขนลุก  ปลายสายมีเสียงแปลกๆสักพักหนึ่งแล้วเงียบหายไป สาวกาแฟพยายามแนบหูฟังว่าด้านโน้นมีอะไรเกิดขึ้นแต่มีเพียงความเงียบอันเย็นยะเยียบตอบสนองกลับมา

             ปิดเครื่องซะเลย ไม่ต้องมีใครโทรมากวนประสาทอีก...กาแฟจัดการปิดโทรศัพท์มือถือตัดปัญหาการก่อกวน

             ไม่อยากอยู่แล้ว เจ้าของร้านก็ไม่รู้หายไปไหน วางเงินไว้บนโต๊ะดีกว่า แล้วออกจากร้านไปก็สิ้นเรื่อง คิดแล้วก็เปิดกระเป๋าถือ หยิบกระเป๋าเงินออกมาค้นหาธนบัตรอันสมควรกับราคาค่ากาแฟ


             “อย่าเพิ่งไปสิครับ”


             เสียงของผู้ชายดังขึ้นทำให้สะดุ้งจนกระเป๋าเงินแทบหล่นจากมือ เสียงดังชัดเจนเหลือเกิน เหมือนมากระซิบอยู่ข้างหู กาแฟมองซ้ายมองขวา

             “ไม่ต้องมองหาหรอกครับ....ผมอยู่ในถ้วยกาแฟ”

             คนบ้าอะไรอยู่ในถ้วยกาแฟ เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่คนแล้วจะเป็นอะไรล่ะอยู่ในถ้วยกาแฟได้และพูดภาษาคนรู้เรื่อง ไม่ใช่คนก็ต้องเป็นผี ...พอคิดจิตหลอนหญิงสาวก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว  ผวาออกจากโต๊ะจนเก้าอี้ล้มโครมคราม   ผี....หรือว่าผีมีจริง ผีในโลกนี้มีจริงๆหรืออย่างไร คนตายไปแล้วต้องหายลับดับสูญหรือไม่ก็เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติตามบุญตามกรรมตามความเชื่อ จะมาหลอกหลอนคนมีชีวิตได้อย่างไร แต่สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าขณะนี้แทบไม่มีคำอธิบายอย่างอื่น

             นอกจากอาการประสาทหลอน...

             “ไม่มีทาง...เป็นไปไม่ได้”

             หญิงสาวพูดเสียงดัง จ้องมองถ้วยกาแฟอย่างระมัดระวังตัวมือขวาแอบจับพนักเก้าอี้ เห็นท่าไม่ดีจะจับฟาดให้แหลก

             “อะไรเป็นไปไม่ได้ครับ”

             เสียงถ้วยกาแฟถามพลางทำปากถ้วยเบี้ยวไปมาแบบสงสัย

             “ผีไม่มีจริง นี่เป็นเพียงอาการประสาทหลอนเท่านั้น”

             “คุณจะคิดอย่างนั้นก็ได้นะครับ ผมไม่ถือ แต่อยากให้อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน ไหนๆคุณก็จูบผมแล้ว”




            .......
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่