===============
หลอน...กาแฟ
===============
Psycho G.
“ทำไมพ่อแม่ถึงตั้งชื่อเราว่ากาแฟด้วยนะ เราเลยพลอยติดกาแฟไปด้วย”
หญิงสาวในชุดทำงานเสื้อกระโปรงสีเรียบมองนั่งอยู่กับถ้วยกาแฟรสโปรด พลางมองดูนาฬิกาแขวนผนังรูปถ้วยกาแฟ บอกเวลาบ่ายห้าโมงกว่า สีหน้าท่าทางของเธอค่อนข้างกังวล คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างคนมีอะไรในใจ
เธอนั่งอยู่ในร้านกาแฟซึ่งมักจะมานั่งเป็นประจำเลือกนั่งโต๊ะตัวเดิม เก้าอี้ตัวเดิม ริมหน้าต่างกระจกใส ในห้องติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ กับกาแฟร้อนรสเดิม หนังสือเล่มหนึ่ง หรือไม่ก็ยามต้องการสมาธิในการทำงาน เธอก็มักจะหลบมาหามุมสงบให้กับตัวเอง
ความจริงในร้านกาแฟก็ไม่ได้สงบเงียบ แต่เรื่องแบบนี้บางทีก็ขึ้นอยู่กับใจ ถ้าใจสงบอย่างอื่นก็อาจสงบตามไปด้วย อย่างน้อยก็ดีกว่าในห้องทำงาน ซึ่งมักวุ่นวายแทบตลอดเวลา ไม่รวมกับอาการจับกลุ่มพูดคุยของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเมื่อไรรวมตัวกันได้การพูดคุยแบบน้ำไหลไฟดับจะติดตามมาทันทีแบบยาวเหยียดไม่เลิกราง่ายๆ
หรืออย่างน้อยร้านกาแฟก็ดีกว่าร้านขายอาหารประเภทมีแอลกอฮอล์ เพราะยังไม่เคยเห็นใครเมากาแฟ แล้วอาละวาดส่งเสียงดัง หญิงสาวไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆ แล้วทำไมชอบดื่มกาแฟ อาจเป็นเพราะรสชาติ กลิ่นของกาแฟไม่ว่าจะเป็น เอสเปรสโซ ริสเตรนโต โมคา คัปปุชชีโน แฟรปปูชิโน ลาเต้ สารพัดสารพัน หรือจะเป็นเพราะคาเฟอินในกาแฟกันแน่
ว่าแต่วันนี้ร้านกาแฟดูเงียบสงบค่อนข้างผิดปกติ มองออกไปด้านนอกรู้สึกเหมือนกับเป็นอีกโลกหนึ่ง มีเพียงกระจกกั้นกลางอยู่เท่านั้น โลกภายนอกดูสับสนเร่งร้อนไม่หยุดนิ่ง ชีวิตมากมายหลายหลากต่างเดินไปตามเส้นทางของตนเอง การนั่งสังเกตในมุมมองอันแตกต่างก็ให้ความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ไม่เหมือนเอาตัวไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นเสียเอง
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง แต่ก็ต้องรีบคว้าโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าถือ ทั้งที่เคยตั้งใจว่าจะไม่รีบร้อนรับโทรศัพท์ เพราะคิดดูแล้วเหมือนมันเป็นเจ้านายชอบกล ร้องทีก็ต้องรีบร้อนรับสาย
“สวัสดีจ้า กาแฟ”
เสียงใครบางคนดังมาจากปลายสาย หญิงสาวขมวดคิ้ว ทำหน้าสงสัย นึกไม่ออกว่าเสียงตามสายเป็นเสียงของเพื่อนคนไหน
“ว่าไง..”
ตัดสินใจถามออกไปแบบกลางๆ สงวนท่าที ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นการย้อนถามแบบตั้งใจทั้งที่อยากทำแบบนั้น แต่การไม่รู้ว่าใครโทรมาหาดูมันเป็นการเสียเชิงแบบแปลกๆ อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆเหมือนคนอารมณ์ดี แล้วย้อนถามมาว่า
“เธอจำฉันไม่ได้เหรอ”
“ก็บอกมาสิว่าใคร”
“บอกไปก็ไม่สนุกสิ”
พูดจบก็วางหูไปเสียเฉยๆ สาวกาแฟรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที อะไรกัน...ลงทุนโทรมาหาเพียงแค่พูดแค่นี้ บ้าหรือเปล่า
ท่าทางคงจะว่างจัด แต่หลังจากนั่งคิดสักครู่ก็จำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของเพื่อนคนไหน ส่วนคนซึ่งนัดเอาไว้ก็ยังไม่มา ทั้งที่ปกติคน ๆ นั้นเป็นคนตรงเวลา
หนังสือในมือก็อ่านไปได้เยอะแล้วจนเริ่มรู้สึกเบื่อ กาแฟยังเหลือติดก้นถ้วย น้ำเปล่ายังเหลือครึ่งแก้ว สั่งกาแฟมากินอีกสักถ้วยดีกว่า นึกแล้วหันไปหาเจ้าของร้านซึ่งมักเห็นง่วนอยู่หลังเคาน์เตอร์เป็นประจำ แต่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน นี่ปล่อยให้ลูกค้านั่งหง่าวอยู่คนเดียวได้อย่างไรกัน
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีก ทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเพราะกำลังคิดอะไรเพลินๆ หยิบมาดูเบอร์เรียกเข้าก็เป็นเบอร์ใหม่ไม่คุ้นตา
จะรับสายดีไหมนะ......
หญิงสาวพยายามข่มใจ ไม่รับสาย ดูสิว่าจะเอายังไง แต่เสียงโทรศัพท์ยังคงดังอย่างเร่งร้อนและเหมือนจะเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุดสักที ในที่สุดก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ยกหูโทรศัพท์ขึ้นรับสาย
“I Know What You Did Last Summer”
เสียงแหบพร่าผิดปกติดังแว่วเข้าหู ทำให้สาวกาแฟตัวชาดิกไปชั่วขณะด้วยความคาดไม่ถึง นี่มันล้อกันเล่นบ้าบอคอแตกหรืออย่างไร แล้ววางฝั่งโน้นก็วางสายไปก่อนจะมีโอกาสซักถาม แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม เป็นเรื่องไม่น่ารักเอาเสียเลย ไม่ว่าใครก็ตามโทรมาล้อเล่นแบบนี้
“ซัมเมอร์ที่แล้ว ฉันไปเที่ยว มีอะไรไหม” ตอบกับดินฟ้าอากาศแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้
ว่าแต่เรามาทำอะไรที่นี่......น่าจะลางานครึ่งวันแล้วกลับบ้านไปนอนดีกว่า
ใช่..ควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เพราะว่าเจ้าของร้านไม่รู้หายหน้าไปไหน หญิงสาวยังไม่อยากโดนข้อหากินแล้วชักดาบ หลังจากมองไปพักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ร้านกาแฟไม่เคยเงียบเหงาขนาดนี้ เหมือนว่ามีแต่คนเดินออกไปจากร้านแต่ไม่มีคนเดินเข้ามา ทำให้ผู้คนหายไปจากร้านจนแทบไม่เหลือใคร
ในร้านเหลือเพียงเธอคนเดียว ด้านนอกดูเหมือนฝนจะเริ่มตกลงมาจนทำให้กระจกเริ่มเป็นฝ้า มองออกไปแทบไม่เห็นอะไร
ยังดีว่ายังมีเสียงเพลงดังเบาๆมาจากตู้ลำโพงสองตัวภายในร้านช่วยให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาจนเกินไป ฟังไปสักพักใหญ่ก็รู้ว่ามันเป็นเพลงบรรเลงเพลงเดิมเปิดวนไปวนมาหลายครั้งจนเริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมา
เสียงโทรศัพท์กรีดร้องลั่น คราวนี้ทำให้สะดุ้งกว่าทุกครั้ง จนอยากจะปาทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ความอยากรู้มีมากกว่า เลยหยิบมารับสาย
“สวัสดีจ้า กาแฟ”
เป็นเสียงผู้หญิง และน่าจะเป็นเสียงของเพื่อนผู้ไม่ประสงค์จะออกนามผู้โทรหาเธอก่อนหน้านี้
“ว่าไง..”
เธอยังคงใช้ประโยคเดิมทักทาย อีกฝ่ายหัวเราะเช่นเคยก่อนพูดว่า
“ดูท่าทางเธอคงเหงาแย่สินะ”
“ไม่หรอก...ไม่เหงาอะไร” หญิงสาวตอบส่งๆ แต่ดูเหมือนปลายสายจะไม่เชื่อ
“ทำไมจะไม่เหงาล่ะ นั่งอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอจ๊ะ”
“รู้ได้ยังไงว่าฉันคนเดียว”
“ก็เธอนั่งอยู่คนเดียวจริงๆไม่ใช่หรือจ๊ะ”
“เลิกเล่นบ้าๆเสียทีได้ไหม ไม่ตลกเลยนะ”
หญิงสาวทั้งโมโหทั้งรู้สึกหวั่นใจชอบกล รู้สึกเหมือนมีใครหรืออะไรบางอย่างจ้องมองมาจากมุมมืดอย่างเงียบเชียบ บางทีเพื่อนคนนี้อาจกำลังเฝ้ามองเธออยู่จากที่ใดที่หนึ่ง แต่ว่าทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย
“ใช่แล้ว ไม่ตลกเลย...เธอไม่แปลกใจเลยหรือว่าทำไมวันนี้แขกในร้านกาแฟถึงน้อยเหลือเกิน ตอนนี้ก็มีเธอคนเดียวเท่านั้น ไม่...เธอไม่รู้เรื่องหรอก”
“ไม่รู้อะไร”
เมื่อวาน....โต๊ะตัวที่เธอนั่ง เก้าอี้ที่เธอนั่ง มีคนตายแบบกะทันหันคาโต๊ะกาแฟ บางทีวิญญาณของคนตายอาจสิงสู่อยู่โต๊ะอย่างเงียบเหงาก็เป็นไปได้นะ แต่ว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเลยหรือว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ กับการนั่งทับที่คนตาย ฉันมาเตือนเธอให้ระวังตัว”
คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวขนลุกเกรียวขึ้นมาทันที ไม่มีทางเป็นจริง เมื่อวานเธอก็ยังมานั่งอยู่ในร้านก็ไม่เห็นมีใครตายให้เห็น
“เรื่องมันเกิดหลังจากเธอกลับบ้านแล้ว”
เสียงจากปลายสายอธิบายต่อไปเหมือนล่วงรู้ความคิดของเธอ..”หลายคนรู้ข่าวก็ไม่มาร้านนี้ชั่วคราว ไม่แน่เหมือนกันนะว่าแก้วกาแฟที่เธอกำลังดื่มอยู่ เป็นแก้วสุดท้ายของคนๆนั้นที่ได้ดื่มก่อนตายก็เป็นได้”
“อย่าพูดบ้าๆน่า ว่าแต่เธอเป็นใครกันแน่.......”
หญิงสาวฝืนหัวเราะพยายามทำใจให้เยือกเย็น บางทีนี่อาจเป็นรายการล้อกันเล่นอย่างที่เห็นในทางทีวีก็เป็นไปได้ จะต้องตั้งสติไม่หวั่นไหว แล้วเตรียมการฟ้องเอาเรื่องผู้อยู่เบื้องหลังรายการบ้าๆให้รู้สำนึกในการละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนอื่นโดยไม่ได้ขออนุญาต
“บางทีวิญญาณคนตายอาจจะสิงอยู่ในถ้วยกาแฟ ในกาแฟ ก็เป็นได้”
เสียงนั้นยังคงดังต่อไปอย่างไม่สนใจอาการของหญิงสาวว่าจะคิดอย่างไร
“เธอคงไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับถ้วยกาแฟผีสิง คอยตามหลอกหลอนคนดื่มกาแฟในรูปแบบต่างๆ กัน กับคนตายกะทันหัน จิตของเขาหรือเธออาจยึดติดกับสิ่งใกล้ตัวในขณะนั้น กลายเป็นคำสาปสิงอยู่ในสิ่งของนั้นๆ..ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกลัว เธอมีคนคอยดูแลอยู่...”
“เลิกล้อเล่นเสียที...”
หญิงสาวกระแทกเสียงอย่างฉุนเฉียว เรื่องอะไรอยู่ดีๆ ก็มาพูดให้ขนลุก ปลายสายมีเสียงแปลกๆสักพักหนึ่งแล้วเงียบหายไป สาวกาแฟพยายามแนบหูฟังว่าด้านโน้นมีอะไรเกิดขึ้นแต่มีเพียงความเงียบอันเย็นยะเยียบตอบสนองกลับมา
ปิดเครื่องซะเลย ไม่ต้องมีใครโทรมากวนประสาทอีก...กาแฟจัดการปิดโทรศัพท์มือถือตัดปัญหาการก่อกวน
ไม่อยากอยู่แล้ว เจ้าของร้านก็ไม่รู้หายไปไหน วางเงินไว้บนโต๊ะดีกว่า แล้วออกจากร้านไปก็สิ้นเรื่อง คิดแล้วก็เปิดกระเป๋าถือ หยิบกระเป๋าเงินออกมาค้นหาธนบัตรอันสมควรกับราคาค่ากาแฟ
“อย่าเพิ่งไปสิครับ”
เสียงของผู้ชายดังขึ้นทำให้สะดุ้งจนกระเป๋าเงินแทบหล่นจากมือ เสียงดังชัดเจนเหลือเกิน เหมือนมากระซิบอยู่ข้างหู กาแฟมองซ้ายมองขวา
“ไม่ต้องมองหาหรอกครับ....ผมอยู่ในถ้วยกาแฟ”
คนบ้าอะไรอยู่ในถ้วยกาแฟ เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่คนแล้วจะเป็นอะไรล่ะอยู่ในถ้วยกาแฟได้และพูดภาษาคนรู้เรื่อง ไม่ใช่คนก็ต้องเป็นผี ...พอคิดจิตหลอนหญิงสาวก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ผวาออกจากโต๊ะจนเก้าอี้ล้มโครมคราม ผี....หรือว่าผีมีจริง ผีในโลกนี้มีจริงๆหรืออย่างไร คนตายไปแล้วต้องหายลับดับสูญหรือไม่ก็เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติตามบุญตามกรรมตามความเชื่อ จะมาหลอกหลอนคนมีชีวิตได้อย่างไร แต่สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าขณะนี้แทบไม่มีคำอธิบายอย่างอื่น
นอกจากอาการประสาทหลอน...
“ไม่มีทาง...เป็นไปไม่ได้”
หญิงสาวพูดเสียงดัง จ้องมองถ้วยกาแฟอย่างระมัดระวังตัวมือขวาแอบจับพนักเก้าอี้ เห็นท่าไม่ดีจะจับฟาดให้แหลก
“อะไรเป็นไปไม่ได้ครับ”
เสียงถ้วยกาแฟถามพลางทำปากถ้วยเบี้ยวไปมาแบบสงสัย
“ผีไม่มีจริง นี่เป็นเพียงอาการประสาทหลอนเท่านั้น”
“คุณจะคิดอย่างนั้นก็ได้นะครับ ผมไม่ถือ แต่อยากให้อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน ไหนๆคุณก็จูบผมแล้ว”
.......
หลอน...กาแฟ
หลอน...กาแฟ
===============
Psycho G.
“ทำไมพ่อแม่ถึงตั้งชื่อเราว่ากาแฟด้วยนะ เราเลยพลอยติดกาแฟไปด้วย”
หญิงสาวในชุดทำงานเสื้อกระโปรงสีเรียบมองนั่งอยู่กับถ้วยกาแฟรสโปรด พลางมองดูนาฬิกาแขวนผนังรูปถ้วยกาแฟ บอกเวลาบ่ายห้าโมงกว่า สีหน้าท่าทางของเธอค่อนข้างกังวล คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างคนมีอะไรในใจ
เธอนั่งอยู่ในร้านกาแฟซึ่งมักจะมานั่งเป็นประจำเลือกนั่งโต๊ะตัวเดิม เก้าอี้ตัวเดิม ริมหน้าต่างกระจกใส ในห้องติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ กับกาแฟร้อนรสเดิม หนังสือเล่มหนึ่ง หรือไม่ก็ยามต้องการสมาธิในการทำงาน เธอก็มักจะหลบมาหามุมสงบให้กับตัวเอง
ความจริงในร้านกาแฟก็ไม่ได้สงบเงียบ แต่เรื่องแบบนี้บางทีก็ขึ้นอยู่กับใจ ถ้าใจสงบอย่างอื่นก็อาจสงบตามไปด้วย อย่างน้อยก็ดีกว่าในห้องทำงาน ซึ่งมักวุ่นวายแทบตลอดเวลา ไม่รวมกับอาการจับกลุ่มพูดคุยของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเมื่อไรรวมตัวกันได้การพูดคุยแบบน้ำไหลไฟดับจะติดตามมาทันทีแบบยาวเหยียดไม่เลิกราง่ายๆ
หรืออย่างน้อยร้านกาแฟก็ดีกว่าร้านขายอาหารประเภทมีแอลกอฮอล์ เพราะยังไม่เคยเห็นใครเมากาแฟ แล้วอาละวาดส่งเสียงดัง หญิงสาวไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆ แล้วทำไมชอบดื่มกาแฟ อาจเป็นเพราะรสชาติ กลิ่นของกาแฟไม่ว่าจะเป็น เอสเปรสโซ ริสเตรนโต โมคา คัปปุชชีโน แฟรปปูชิโน ลาเต้ สารพัดสารพัน หรือจะเป็นเพราะคาเฟอินในกาแฟกันแน่
ว่าแต่วันนี้ร้านกาแฟดูเงียบสงบค่อนข้างผิดปกติ มองออกไปด้านนอกรู้สึกเหมือนกับเป็นอีกโลกหนึ่ง มีเพียงกระจกกั้นกลางอยู่เท่านั้น โลกภายนอกดูสับสนเร่งร้อนไม่หยุดนิ่ง ชีวิตมากมายหลายหลากต่างเดินไปตามเส้นทางของตนเอง การนั่งสังเกตในมุมมองอันแตกต่างก็ให้ความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ไม่เหมือนเอาตัวไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นเสียเอง
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง แต่ก็ต้องรีบคว้าโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าถือ ทั้งที่เคยตั้งใจว่าจะไม่รีบร้อนรับโทรศัพท์ เพราะคิดดูแล้วเหมือนมันเป็นเจ้านายชอบกล ร้องทีก็ต้องรีบร้อนรับสาย
“สวัสดีจ้า กาแฟ”
เสียงใครบางคนดังมาจากปลายสาย หญิงสาวขมวดคิ้ว ทำหน้าสงสัย นึกไม่ออกว่าเสียงตามสายเป็นเสียงของเพื่อนคนไหน
“ว่าไง..”
ตัดสินใจถามออกไปแบบกลางๆ สงวนท่าที ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นการย้อนถามแบบตั้งใจทั้งที่อยากทำแบบนั้น แต่การไม่รู้ว่าใครโทรมาหาดูมันเป็นการเสียเชิงแบบแปลกๆ อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆเหมือนคนอารมณ์ดี แล้วย้อนถามมาว่า
“เธอจำฉันไม่ได้เหรอ”
“ก็บอกมาสิว่าใคร”
“บอกไปก็ไม่สนุกสิ”
พูดจบก็วางหูไปเสียเฉยๆ สาวกาแฟรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที อะไรกัน...ลงทุนโทรมาหาเพียงแค่พูดแค่นี้ บ้าหรือเปล่า
ท่าทางคงจะว่างจัด แต่หลังจากนั่งคิดสักครู่ก็จำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของเพื่อนคนไหน ส่วนคนซึ่งนัดเอาไว้ก็ยังไม่มา ทั้งที่ปกติคน ๆ นั้นเป็นคนตรงเวลา
หนังสือในมือก็อ่านไปได้เยอะแล้วจนเริ่มรู้สึกเบื่อ กาแฟยังเหลือติดก้นถ้วย น้ำเปล่ายังเหลือครึ่งแก้ว สั่งกาแฟมากินอีกสักถ้วยดีกว่า นึกแล้วหันไปหาเจ้าของร้านซึ่งมักเห็นง่วนอยู่หลังเคาน์เตอร์เป็นประจำ แต่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน นี่ปล่อยให้ลูกค้านั่งหง่าวอยู่คนเดียวได้อย่างไรกัน
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีก ทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวเพราะกำลังคิดอะไรเพลินๆ หยิบมาดูเบอร์เรียกเข้าก็เป็นเบอร์ใหม่ไม่คุ้นตา
จะรับสายดีไหมนะ......
หญิงสาวพยายามข่มใจ ไม่รับสาย ดูสิว่าจะเอายังไง แต่เสียงโทรศัพท์ยังคงดังอย่างเร่งร้อนและเหมือนจะเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุดสักที ในที่สุดก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ยกหูโทรศัพท์ขึ้นรับสาย
“I Know What You Did Last Summer”
เสียงแหบพร่าผิดปกติดังแว่วเข้าหู ทำให้สาวกาแฟตัวชาดิกไปชั่วขณะด้วยความคาดไม่ถึง นี่มันล้อกันเล่นบ้าบอคอแตกหรืออย่างไร แล้ววางฝั่งโน้นก็วางสายไปก่อนจะมีโอกาสซักถาม แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม เป็นเรื่องไม่น่ารักเอาเสียเลย ไม่ว่าใครก็ตามโทรมาล้อเล่นแบบนี้
“ซัมเมอร์ที่แล้ว ฉันไปเที่ยว มีอะไรไหม” ตอบกับดินฟ้าอากาศแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้
ว่าแต่เรามาทำอะไรที่นี่......น่าจะลางานครึ่งวันแล้วกลับบ้านไปนอนดีกว่า
ใช่..ควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เพราะว่าเจ้าของร้านไม่รู้หายหน้าไปไหน หญิงสาวยังไม่อยากโดนข้อหากินแล้วชักดาบ หลังจากมองไปพักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกมีอะไรบางอย่างผิดปกติ ร้านกาแฟไม่เคยเงียบเหงาขนาดนี้ เหมือนว่ามีแต่คนเดินออกไปจากร้านแต่ไม่มีคนเดินเข้ามา ทำให้ผู้คนหายไปจากร้านจนแทบไม่เหลือใคร
ในร้านเหลือเพียงเธอคนเดียว ด้านนอกดูเหมือนฝนจะเริ่มตกลงมาจนทำให้กระจกเริ่มเป็นฝ้า มองออกไปแทบไม่เห็นอะไร
ยังดีว่ายังมีเสียงเพลงดังเบาๆมาจากตู้ลำโพงสองตัวภายในร้านช่วยให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาจนเกินไป ฟังไปสักพักใหญ่ก็รู้ว่ามันเป็นเพลงบรรเลงเพลงเดิมเปิดวนไปวนมาหลายครั้งจนเริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมา
เสียงโทรศัพท์กรีดร้องลั่น คราวนี้ทำให้สะดุ้งกว่าทุกครั้ง จนอยากจะปาทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ความอยากรู้มีมากกว่า เลยหยิบมารับสาย
“สวัสดีจ้า กาแฟ”
เป็นเสียงผู้หญิง และน่าจะเป็นเสียงของเพื่อนผู้ไม่ประสงค์จะออกนามผู้โทรหาเธอก่อนหน้านี้
“ว่าไง..”
เธอยังคงใช้ประโยคเดิมทักทาย อีกฝ่ายหัวเราะเช่นเคยก่อนพูดว่า
“ดูท่าทางเธอคงเหงาแย่สินะ”
“ไม่หรอก...ไม่เหงาอะไร” หญิงสาวตอบส่งๆ แต่ดูเหมือนปลายสายจะไม่เชื่อ
“ทำไมจะไม่เหงาล่ะ นั่งอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอจ๊ะ”
“รู้ได้ยังไงว่าฉันคนเดียว”
“ก็เธอนั่งอยู่คนเดียวจริงๆไม่ใช่หรือจ๊ะ”
“เลิกเล่นบ้าๆเสียทีได้ไหม ไม่ตลกเลยนะ”
หญิงสาวทั้งโมโหทั้งรู้สึกหวั่นใจชอบกล รู้สึกเหมือนมีใครหรืออะไรบางอย่างจ้องมองมาจากมุมมืดอย่างเงียบเชียบ บางทีเพื่อนคนนี้อาจกำลังเฝ้ามองเธออยู่จากที่ใดที่หนึ่ง แต่ว่าทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย
“ใช่แล้ว ไม่ตลกเลย...เธอไม่แปลกใจเลยหรือว่าทำไมวันนี้แขกในร้านกาแฟถึงน้อยเหลือเกิน ตอนนี้ก็มีเธอคนเดียวเท่านั้น ไม่...เธอไม่รู้เรื่องหรอก”
“ไม่รู้อะไร”
เมื่อวาน....โต๊ะตัวที่เธอนั่ง เก้าอี้ที่เธอนั่ง มีคนตายแบบกะทันหันคาโต๊ะกาแฟ บางทีวิญญาณของคนตายอาจสิงสู่อยู่โต๊ะอย่างเงียบเหงาก็เป็นไปได้นะ แต่ว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเลยหรือว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ กับการนั่งทับที่คนตาย ฉันมาเตือนเธอให้ระวังตัว”
คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวขนลุกเกรียวขึ้นมาทันที ไม่มีทางเป็นจริง เมื่อวานเธอก็ยังมานั่งอยู่ในร้านก็ไม่เห็นมีใครตายให้เห็น
“เรื่องมันเกิดหลังจากเธอกลับบ้านแล้ว”
เสียงจากปลายสายอธิบายต่อไปเหมือนล่วงรู้ความคิดของเธอ..”หลายคนรู้ข่าวก็ไม่มาร้านนี้ชั่วคราว ไม่แน่เหมือนกันนะว่าแก้วกาแฟที่เธอกำลังดื่มอยู่ เป็นแก้วสุดท้ายของคนๆนั้นที่ได้ดื่มก่อนตายก็เป็นได้”
“อย่าพูดบ้าๆน่า ว่าแต่เธอเป็นใครกันแน่.......”
หญิงสาวฝืนหัวเราะพยายามทำใจให้เยือกเย็น บางทีนี่อาจเป็นรายการล้อกันเล่นอย่างที่เห็นในทางทีวีก็เป็นไปได้ จะต้องตั้งสติไม่หวั่นไหว แล้วเตรียมการฟ้องเอาเรื่องผู้อยู่เบื้องหลังรายการบ้าๆให้รู้สำนึกในการละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนอื่นโดยไม่ได้ขออนุญาต
“บางทีวิญญาณคนตายอาจจะสิงอยู่ในถ้วยกาแฟ ในกาแฟ ก็เป็นได้”
เสียงนั้นยังคงดังต่อไปอย่างไม่สนใจอาการของหญิงสาวว่าจะคิดอย่างไร
“เธอคงไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับถ้วยกาแฟผีสิง คอยตามหลอกหลอนคนดื่มกาแฟในรูปแบบต่างๆ กัน กับคนตายกะทันหัน จิตของเขาหรือเธออาจยึดติดกับสิ่งใกล้ตัวในขณะนั้น กลายเป็นคำสาปสิงอยู่ในสิ่งของนั้นๆ..ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกลัว เธอมีคนคอยดูแลอยู่...”
“เลิกล้อเล่นเสียที...”
หญิงสาวกระแทกเสียงอย่างฉุนเฉียว เรื่องอะไรอยู่ดีๆ ก็มาพูดให้ขนลุก ปลายสายมีเสียงแปลกๆสักพักหนึ่งแล้วเงียบหายไป สาวกาแฟพยายามแนบหูฟังว่าด้านโน้นมีอะไรเกิดขึ้นแต่มีเพียงความเงียบอันเย็นยะเยียบตอบสนองกลับมา
ปิดเครื่องซะเลย ไม่ต้องมีใครโทรมากวนประสาทอีก...กาแฟจัดการปิดโทรศัพท์มือถือตัดปัญหาการก่อกวน
ไม่อยากอยู่แล้ว เจ้าของร้านก็ไม่รู้หายไปไหน วางเงินไว้บนโต๊ะดีกว่า แล้วออกจากร้านไปก็สิ้นเรื่อง คิดแล้วก็เปิดกระเป๋าถือ หยิบกระเป๋าเงินออกมาค้นหาธนบัตรอันสมควรกับราคาค่ากาแฟ
“อย่าเพิ่งไปสิครับ”
เสียงของผู้ชายดังขึ้นทำให้สะดุ้งจนกระเป๋าเงินแทบหล่นจากมือ เสียงดังชัดเจนเหลือเกิน เหมือนมากระซิบอยู่ข้างหู กาแฟมองซ้ายมองขวา
“ไม่ต้องมองหาหรอกครับ....ผมอยู่ในถ้วยกาแฟ”
คนบ้าอะไรอยู่ในถ้วยกาแฟ เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่คนแล้วจะเป็นอะไรล่ะอยู่ในถ้วยกาแฟได้และพูดภาษาคนรู้เรื่อง ไม่ใช่คนก็ต้องเป็นผี ...พอคิดจิตหลอนหญิงสาวก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ผวาออกจากโต๊ะจนเก้าอี้ล้มโครมคราม ผี....หรือว่าผีมีจริง ผีในโลกนี้มีจริงๆหรืออย่างไร คนตายไปแล้วต้องหายลับดับสูญหรือไม่ก็เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติตามบุญตามกรรมตามความเชื่อ จะมาหลอกหลอนคนมีชีวิตได้อย่างไร แต่สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าขณะนี้แทบไม่มีคำอธิบายอย่างอื่น
นอกจากอาการประสาทหลอน...
“ไม่มีทาง...เป็นไปไม่ได้”
หญิงสาวพูดเสียงดัง จ้องมองถ้วยกาแฟอย่างระมัดระวังตัวมือขวาแอบจับพนักเก้าอี้ เห็นท่าไม่ดีจะจับฟาดให้แหลก
“อะไรเป็นไปไม่ได้ครับ”
เสียงถ้วยกาแฟถามพลางทำปากถ้วยเบี้ยวไปมาแบบสงสัย
“ผีไม่มีจริง นี่เป็นเพียงอาการประสาทหลอนเท่านั้น”
“คุณจะคิดอย่างนั้นก็ได้นะครับ ผมไม่ถือ แต่อยากให้อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน ไหนๆคุณก็จูบผมแล้ว”
.......