คุยกับคุณ "แม่" สบาย ๆ เรื่องวัดพระธรรมกายนิดนึงครับ

กระทู้นี้เป็นกระทู้แตกตัวมาจากกระทู้ก่อนหน้า เพราะคุณที่ชื่อ “แม่” ชวนคุยมา ก็เลยคุยกลับไป

แต่เผอิญคุยเพลินจนยาวเกินไป จึงแตกกลายมาเป็นกระทู้ไส้ติ่งตรงนี้ครับ





เรื่องปูพื้นฐาน บาป-บุญ-คุณ-โทษ วัดทำได้ดีจริงครับ ผมยังไม่เคยเห็นที่ไหนทำได้ผลขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน

และขอบคุณที่แยกแยะ เรื่องดีก็ชม เรื่องไม่ดีก็ท้วงติงครับ

ผมตอบตามที่เห็นมาตลอด 30 ปีนะครับ

ความจริงเวลาคนพูดถึงวัด ก็มักจับเอาสิ่งที่เห็นในปัจจุบันมาว่ากันเลย เช่น วัดใหญ่ คนมาก กิจกรรมเยอะ เงินทำบุญมาก เป็นต้น คือเห็นตอนที่วัดโตแล้ว

แต่ถ้าอยากรู้จักวัดนี้จริง ๆ ต้องไปดูพัฒนาการมาตั้งแต่ต้นครับ คือ ตั้งแต่วัดยังไม่เป็นวัด ยังไม่มีอะไร แล้วภาพมันจะชัด การทำความเข้าใจวัดจะง่ายและถูกต้องยิ่งขึ้น

ถ้าเล่าก็จะยาวไป ขอแลกเปลี่ยนเท่าที่ได้ก่อนนะครับ

-----------------------------------------------

เรื่องดวงแก้วหรือนิมิต เดี๋ยวคุยสุดท้ายครับ

-----------------------------------------------

เรื่อง “ยอดบุญ”, “KPI” ผมตอบไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจน่ะครับ มันไม่ใช่ภาษาที่คนวัดรู้จัก

ถ้าคุณมาพูดสองคำนี้ในวัด คนวัดจะงง แล้วจะมองคุณแปลก ๆ ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร

แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นใหญ่อะไร  เพราะมันก็ขึ้นอยู่กับใครจะใช้มุมมองไหนตัดสินวัด

เรื่องธรรมดาครับ

เหมือนที่แปลงหนึ่ง

คนบางคนไม่สนใจเดินผ่านไปเลย

เกษตรกรมาเห็น จะมองที่ผืนนี้ว่าเหมาะจะปลูกอะไร

นักธุรกิจจะคิดว่า ซื้อ-ขาย-ลงทุนอย่างไร จึงจะได้กำไรมาก

หลากหลายมุมมองครับ

ก็เหมือนกับที่มองวัดนี้ว่า “ขายบุญ”

คำนี้ก็เป็นคำแปลกอีกคำครับ

ถ้ามีใครมาถามคนวัดว่า บุญขายได้ไหม ร้อยทั้งร้อยจะตอบตรงกันว่า ไม่ได้ (อาจมีคำว่า “ประสาท” แถมให้ด้วย 55)

บุญต้องสร้างด้วยตัวเองเท่านั้น

“ขายบุญ” เป็นคำที่คนอื่นตั้งให้ ซึ่งก็เริ่มมาจากไม่กี่คน แต่เพราะมีเครดิต สื่อชอบสัมภาษณ์ ถ้อยคำมันก็ติดตลาดได้ง่าย (ผมสงสัยคนกลุ่มนี้มานานแล้วนะ ว่าทำไมสื่อชอบไปสัมภาษณ์ และทำไมเก่งจัง รู้ทุกเรื่อง ตอบได้ทุกอย่างครอบจักรวาลอย่างนั้น...555 ผมอาจจะเขียนถึงพวกเขาสักวันหนึ่งนะครับ)

แต่ก็พอเข้าใจได้ครับ เพราะวัดนี้คนทำบุญเยอะ และมีระบบชัดเจน (ทำไมต้องเป็นระบบ ? เรื่องนี้ก็น่าสนใจ แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง)

คนข้างนอกที่ใจหมกมุ่นแต่กับเรื่องกำไร-ขาดทุน ธุรกิจ ก็อาจคิดไปแนวนั้น ตรงนี้ไม่ว่ากันครับ

แต่สำหรับผม ผมขำนะครับ เพราะรู้สึกว่าเขาประเมินวัดด้วยวิธีการที่หยาบเกินไป

นักธุรกิจใหญ่ ๆ ที่ทำบุญกันเยอะ ๆ ไม่ใช่คนโง่ครับ

เขาคือพ่อค้า กว่าจะรวยกันมาล้วนฟันฝ่าอะไรมาเยอะ

ไปหลอกให้เขาควักเงินเพื่อแลกกับบุญ ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกครับ คิดตื้นเขินเกินไป

ผมรวยน้อยกว่าเขา ยังควักยากเลย 555

ทุกคนรู้ครับว่าทำบุญได้บุญ แต่ที่เขาทำมาก ก็เพราะเห็นอะไรที่มากกว่านั้นด้วย

ตัวอย่างสักนิดครับ

สมมุติมีโครงการเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าสัก 200 คน ใช้งบ 10,000 บาท ซึ่งเราร่วมบริจาคไป 100 บาทด้วย จากนั้นได้มีโอกาสไปเลี้ยงเด็กกับเขา กลับถึงบ้านก็มีความสุขมาก ที่ได้เห็นเด็ก 200 คนมีความสุข อิ่มหนำสำราญ

เราคงไม่คิดใช่ไหมครับ ว่าเงิน 100 บาทของเรา พอเลี้ยงเด็กได้แค่ 2 คน

แต่เราจะรู้สึกว่า วันนี้ได้เลี้ยงเด็กตั้ง 200 คนแน่ะ

ออกเงินน้อย แต่ได้สัมผัสความสุขใจที่ยิ่งใหญ่...

อารมณ์คนวัดผมว่าคล้ายอย่างนี้ละครับ

-----------------------------------------------

การปฏิบัติธรรมของวัด ผมไม่เห็นว่าเส้นทางจะวกวนตรงไหน

ลำดับของผลที่ปฏิบัติได้ ก็ชัดเจนเป็นลำดับเหมือนกันทุกคน เพราะทางเดียวกัน (ขอให้นั่งให้ถึงจุดนั้นเถอะ)  

เท่าที่หลวงพ่อสอน คนวัดยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป

และเอาเข้าจริง ๆ การอุปมาเส้นทางกรุงเทพเชียงใหม่ ผมว่าหาคนไปถึงเชียงใหม่ไม่ได้ง่ายหรอกครับ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เราถึงไหนกัน ก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำไป

และเพราะไม่ได้รู้จริงในเส้นทางกัน การจะบอกว่าวัดนี้ไปถึงนั่น วัดนั้นถึงนี่ ผมว่าเร็วเกินไป

เราอาจเทียบเคียงกับทฤษฎีที่เราคิดว่าใช่  

ซึ่งใช่หรือไม่ ผมยังสงสัยอยู่

ตำรับตำราการปฏิบัติธรรมที่นิยมแพร่หลาย ไม่ใช่เอาจากพระไตรปิฎกโดยตรงอย่างเดียวนี่ครับ

ที่นิยมแพร่หลาย อ้างอิงมาใช้เป็นหลัก คือคัมภีร์วิสุทธิมรรค หรือวิมุตติมรรค แต่งตอนประมาณ พ.ศ. เกือบ 1000 รวบรวมวิธีการจากคัมภีร์เก่า ๆ ถ้าจะเอาวิธีปฏิบัติในพระไตรปิฎกมาใช้จริง น่าจะได้เรื่องหลักการซะเยอะ

เวลาฟังคนพูดเรื่องการปฏิบัติธรรม ผมพอแยกแยะได้บ้างว่าใครรู้จริงไม่จริง

ใครพูดไปตามตำรา และใครพูดไปตามผลที่เกิดจากการปฏิบัติจริง

ภาษามันจะไม่เหมือนกันครับ

ถ้าภาษาตำรา ฟังแล้วมันจะไม่ซึมเข้าในใจ คือจะต้องคิดตามไปด้วย (เช่นการยกพระไตรปิฎกมาแปะเป็นต้น 55)

แต่ภาษาของนักปฏิบัติ ฟังแล้วไม่ต้องคิดครับ เพราะเป็นภาษาใจ พูดแล้วซึมเข้าไปข้างในเลย

เหมือน “ยาทา” กว่าจะเห็นผลก็ช้า ไม่เหมือน “ยาฉีด” ที่ผลมาทันที

เข้าทำนอง “ถ้าเราอธิบายสิ่งใดให้ง่ายไม่ได้ แสดงว่าเราไม่เข้าใจสิ่งนั้นจริง” ครับ

ยกสักเรื่องละกันนะครับ

เคยได้ยินคำสอนที่ว่า นั่งสมาธิแล้ว “อย่าติดสุข” นะครับ

คำ ๆ นี้ ผมได้ยินมานาน และผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ ว่าต้องปฏิบัติอย่างไรแน่

หลายคนบอกว่าถ้านั่งแล้วเกิดความสุข ให้ทิ้งไป อย่าติด

พอได้ยินอย่างนี้ คนส่วนใหญ่พอเกิดความสุขเมื่อไร จะพยายามสลัดความสุขทิ้งไปให้ได้ จนสุขหายไป แล้วเริ่มใหม่อีก  แต่พอนั่งไป สุขมันก็กลับมาใหม่อีก ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนพายเรือวนในอ่าง (คนทำอย่างนี้มีเยอะนะครับ)

หลวงพ่อผมยิ้ม ๆ แล้วสอนว่า

ที่จริงพอไปถึงตรงนั้น ไม่ใช่เราติดสุขหรอก แต่ “สุขมันมาติดเราเอง”

คือเราไม่ได้ไปแสวงหามัน แต่มันมาหาเราเอง ดังนั้นต่อให้หนีอย่างไร มันก็มาติดอีกจนได้นั่นแหละ การพยายามสลัดมันทิ้งทำให้จิตหยาบ นั่งให้ตายก็ไม่มีทางก้าวหน้าไปไหนได้

แล้วจะทำอย่างไร

ท่านบอกก็ปล่อยให้มันมาติดไป ไม่ต้องไปฝืนหรือไปไล่มัน

ที่มันเกิดอย่างนั้นเพราะใจเรานิ่ง หยุด

พอถูกจุด สุขก็มา

เรามาถึงจุดนี้ด้วยวิธีไหน ให้ใช้วิธีเดิมนั่นแหละ

คือหยุดใจสบาย ๆ นิ่งต่อไป “ไม่ต้องสนใจความสุข”

พอใจนิ่ง หยุดหนักเข้า มันก็หลุดจากสุขตรงนั้นไป แล้วสุขใหม่มันจะมาอีก จะสุขกว่าเดิมด้วยซ้ำไป

ให้ทำเหมือนเดิมต่อไป ใจจะเข้ากลางไปเรื่อย ๆ สุขยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ (แต่ไม่ติด) เหมือนเถาปิ่นโต ชั้นบนว่าอร่อยแล้ว ชั้นที่สองอร่อยกว่าอีก

อย่างนี้ครับ ภาษาของนักปฏิบัติธรรม ฟังแล้วไม่ต้องแปล แจ่มแจ้งในตัว

เราจะหนีสุขไปได้อย่างไรครับ ในเมื่อ “พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง”

ไปถึงที่สุดแล้วยังมีความสุขรออยู่เลย

พระอรหันต์บางรูป ยังพูดเลยว่า “สุขจริงหนอ” (หนักกว่านั้น พระพุทธเจ้ายังตรัสด้วยว่าอย่ากลัวความสุข แถมมีสุขที่ควรติดอีก 555 ย้อนแย้งกับที่เขาว่ามาชะมัดเลย)

-----------------------------------------------

มาเรื่องสุดท้าย คือเรื่อง เพ่งดวงแก้ว มองหาองค์พระที่สะดือ

ภาษานี้คนวัดไม่รู้จักนะครับ เพราะมันผิด

ผมนั่งสมาธิกับวัดมา 30 ปี ไม่เคยได้ยินหลวงพ่อสอนให้เพ่งดวงแก้ว หรือมองหาองค์พระที่สะดือสักครั้งเดียว

ภาษานี้ คือภาษาของคนที่ไม่รู้จักวิธีที่หลวงพ่อวัดปากน้ำสอน จับลักษณะการฝึกเพียงเล็กน้อยก็เอาไปพูดขยายความ

ก็เหมือนเดิมครับ คือเป็นคนมีเครดิต สื่อเอาไปขยายต่อ คนมาอ่าน ไม่ได้ศึกษาก็เข้าใจตามไปอย่างนั้น

ประกอบกับวัดเขาก็ไม่ออกมาอธิบาย คนวัดก็นิสัยเดียวกัน เรานั่งของเราเงียบ ๆ ดีกว่า

เอาเป็นว่าต่อไปนี้ ถ้าคุณได้ยินใครบอกอย่างนั้น อนุญาตให้เอาผมอ้างอิงได้เลยครับ ว่า “ผิด” 555

เรื่องจริง ๆ มันนิดเดียวเองครับ

คือ วัดจะสอนให้ทำใจให้หยุด (เกิดสมาธิ) ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด (หมายถึงตำแหน่งที่เราจะวางใจ)

แยกคุยได้ 2 เรื่อง คือ 1.วิธีการทำใจให้หยุด (เกิดสมาธิ)  กับ 2. ตำแหน่งที่วางใจ (ฐานที่ 7)

ขอเริ่มที่ข้อ 2. ตำแหน่งที่วางใจก่อน

การจะบอกตำแหน่งนี้ให้คนนึกตามได้ ต้องอ้างอิงส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายครับ

เหมือนถ้าเราพูดถึงหัวใจ เราก็อ้างที่หน้าอก จะพูดถึงดวงตา ก็ต้องอ้างที่ศีรษะ จะพูดถึงหัวเข่า ก็ต้องอ้างที่ขา

จะหาตำแหน่งฐานที่ 7 ให้ง่าย ต้องอ้างอิงสะดือครับ

เพราะตำแหน่งนี้มันอยู่กลางตัว (ในท้อง) สูงกว่าระดับสะดือขึ้นมา 2 นิ้วมือ

สะดือคือที่อ้างอิงถึงตำแหน่ง...

ลองนึกสิครับ ถ้าไม่อ้างสะดือแล้ว มีอะไรให้อ้างง่ายกว่านี้ครับ...หน้าอก ลิ้นปี่ กระเพาะ ลำไส้...ยุ่งยากไปไหมครับ

จบเรื่องสะดือ

มาถึงวิธีการทำใจให้หยุด

ก็เหมือนที่อื่น ๆ ซึ่งสอนว่า สมาธิคือการฝึกใจให้หยุดนิ่ง ตั้งมั่น

วิธีการของที่วัด มีจุดเริ่มต้น 2 วิธีให้เลือก

1. แบบนึกนิมิต ก็คือบริกรรมนิมิตนี่แหละ ถูกต้องตามตำรับตำรา คุณคงแยกออกนะครับว่า “นึก” หรือบริกรรม ต่างกับ “เพ่ง” อย่างไร ผมจะได้ข้ามไปเลย

2. สำหรับคนนึกไม่เป็น คือนึกแล้วคอยจะเผลอ ลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง ภาพที่ตัวเองนึกอยู่เรื่อย (ซึ่งอย่างนี้ไม่เรียกนึกแล้วครับ)

หลวงพ่อสอนว่าใครเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต้องนึก แต่ให้วางใจนิ่ง ๆ ไปก่อน (แล้วเอาสติจับตรงฐานที่ 7 เบา ๆ สบาย ๆ อย่าใช้แรงบังคับ)

สองวิธีนี้เป็นอุบายเบื้องต้นให้ใจหยุดครับ

มันเหมือนการฝึกม้าพยศ ต้องหาหลักมาผูกมันไว้ ต่อให้ดิ้นอย่างไรก็วนอยู่กับหลักนี่แหละ

หลักก็คือ นิมิต ครับ ให้ใจมันเกาะไปก่อน สติเราก็จะได้อยู่ตรงนั้นนิ่ง ๆ นาน ๆ ประคองไปจนกว่าจะหยุด

แต่ถ้าไม่นึกนิมิต ก็เอาสติผูกเฉย ๆ ก็ได้ (แต่นึกนิมิต จะเผลอสติยากกว่า)

พอใจหยุดปุ๊บ นิมิตพวกนี้จะหายไปเอง เพราะใจจะไปเข้าถึงสภาวธรรมที่มีจริงภายใน

นิมิตพวกนี้เป็นเรื่องที่เราสมมุติขึ้นมา ไม่ใช่ของจริงอะไร จึงเป็นเหมือนเรือที่เราใช้ข้ามฟาก

ถึงฝั่งที่เราต้องการแล้ว ไม่ต้องแบกเรือไปด้วย ทิ้งมันไว้ริมตลิ่งนั่นแหละ

ส่วนหลังจากใจหยุดแล้ว ตรงนี้ละครับ ลำดับชัดเจนทีเดียว

ผมเองก็ฝึกอยู่ครับ จนป่านนี้แล้ว อยุธยาก็ยังไม่ถึงสักที 555

ผมยังชอบคำของครูหลวงพ่อ (เป็นแม่ชีครับ สอนสมาธิหลวงพ่อตั้งแต่ยังไม่บวช) เวลาท่านได้ยินใครโม้เรื่องสมาธิกัน ท่านจะพูดสั้น ๆ ว่า “คุณ ไปหยุดใจให้ได้ซะก่อนเถอะ” 555 หัวทิ่มครับ

-----------------------------------------------

วัดพระธรรมกาย อาจจะไม่ใช่วัดที่ดีเลิศสมบูรณ์ที่สุด

และคงไม่ถูกจริตอัธยาศัยของใครต่อใครไปเสียหมด

ที่คนท้วงติงมา ผมว่าวัดก็คงหาทางปรับให้พอดี

ขอบคุณ คุณ “แม่” ที่คอมเม้นต์มา

และขอบคุณที่ตามมาอ่านครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่