ออกตัวก่อนว่า จขกท. ไม่เคยรีวิวกระทู้ใดๆ ลงในพันทิพมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก อาจจะเยิ่นเย้อยืดยาวไปบ้าง
ก็เพราะจขกท. อยากเก็บทุกเรื่องราวไว้เป็นความทรงจำ ครั้นจะเก็บไว้คนเดียว คงไม่สนุก เลยอยากแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ นักปั่นได้อ่านกันค่ะ
**ขออนุญาตเจ้าของภาพทุกภาพนะคะ บางรูปอาจจะติดบุคคลอื่นมาด้วย หากไม่สะดวกช่วยแจ้ง จขกท.จะทำการลบรูปให้ค่ะ
***************
audax test run 200 km. ที่พิษณุโลก พูดตรงๆ ตอนแรกได้ยินข่าวไม่ค่อยสนใจเท่าไร เพราะคิดว่าเกินกำลังตัวเอง แต่ด้วยแฟนอยากไป
ประกอบกับเพื่อนๆ ในทีมไปกันหลายคน ก็เลยตัดสินใจไป
ก่อนไปฝึกซ้อมมั๊ย ไม่เลยค่ะ ปั่นวันละไม่เกิน 50 กม. อาทิตย์ละ 2-3 วัน แถมก่อนวันแข่ง 2 วัน มีพี่ที่รู้จักให้รองเท้ามา 1 คู่
เลยลองเอาไปใส่วิ่ง บนถนนคอนกรีตได้ 1 กม. ได้เรื่องเลยกล้ามเนื้ออักเสบ น่องจะแตก งานเข้าเลย จขกท. ต้องกินยาคลายกล้ามเนื้ออย่างหนัก เพื่อให้หายทัน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดดันมาเป็นวันนั้นของเดือนอีก แทบจะถอนตัว แต่ใจก็บอกกะตัวเองว่า “เอ้ย นักรบจะลงสนามแล้วอย่ามัวอ้างนู่นนี่นั่นอยู่เลย เอาใจนี่แหละไปสู้” โอเค สู้ก็สู้โว้ย
วันแข่ง เริ่มปล่อยตัวจากสวนสุขภาพเรือนแพ เวลา 6.00 น. อากาศกำลังดี ร่างกายกำลังตื่นตัว เราปั่นกันด้วยความเร็วประมาณ 30
ปั่นไปประมาณ 10 กว่ากม. มีน้องในกลุ่มยางรั่ว เราเลยหยุดรอเพื่อนปะยางประมาณ 10 นาที

หลังจากนั้นเส้นทางเริ่มออกนอกเมืองเข้าสู่เส้นทางสายรอง ลมก็พัดมาเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเส้นทาง ประมาณกม.48
เพื่อนในกลุ่มน้ำเริ่มหมดเลยแวะซื้อน้ำกันข้างทาง
เส้นทางอีกประมาณสิบกว่ากม. จะถึงจุด cp1 เป็นเส้นทางทีปั่นผ่านทุ่งนา เรื่องลมไม่ต้องพูดถึงไม่ว่าเราจะเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาไปกี่รอบลมก็ยังตามมาพัดดักหน้าเราทุกที สุดท้ายเข้า cp1 เวลา 08.35 ระยะทาง 62.2 กม. ที่จุดพัก cp1 นี้ มีกล้วยกับน้ำมะตูมเย็นๆ ไว้คอยเลี้ยง จขกท. ดื่มไป 4 แก้วเลย ชื่นใจจริงๆ เราใช้เวลาพักจุดนี้ค่อนข้างนาน ถ่ายรูป เข้าห้องน้ำ เริ่มเอาเสบียงออกมากินกัน ยังคุยกันสนุกสนาน

ออกจาก cp1 อากาศเริ่มร้อน เราต้องแวะร้านค้าข้างทางเพื่อเติมน้ำกันอีกรอบ แต่ละคนเริ่มควักยาออกมานวดกล้ามเนื้อที่กำลังอ่อนล้าเพราะเราปั่นมาตั้ง 82 กม.แล้ว ปั่นไปซักพัก เพื่อนในกลุ่มหายจากขบวนไป 3 คน เราต้องหยุดรอเช็คข้อมูลกัน พบว่ามีเพื่อนคนหนึ่งไม่ไหวเลยโบกรถไปรอที่เนินมะปราง ช่วงนั้นความเร็วเราเริ่มดรอปลงแล้ว หลายๆ คนเริ่มหิวเราเลยพักร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง เนื่องจากกลุ่มเรามีสมาชิกประมาณเกือบ 20 คัน จึงแยกย้ายกันไปกินร้านอาหารตามสั่งบ้าง ถึงอย่างนั้นเราก็เสียเวลาจุดนี้ไปเป็นชั่วโมง

อีกประมาณ 20 กว่ากม. จะถึง cp2 พอเข้าเขตเนินมะปราง ก็มีเนินมาให้เราได้นวดขากันเป็นระยะ เพื่อนในกลุ่มไม่ไหวขอพักร้านค้าข้างทางอีกรอบ แล้วเราก็ถึง cp2 เวลา 12.49 น. ระยะทาง 124.5 กม. ที่จุด cp2 มีกล้วยกับน้ำแดงบริการนักปั่นค่ะ แถมยังมีหมอนวดมานวดให้นักปั่นที่ปวดเมื่อยด้วยค่ะ สุดยอด จากจุดนี้สมาชิกในกลุ่มขอถอนตัว 2 คน

ระยะทางอีก 24 กม.จะถึงทางแยกขึ้นเขาน้ำปาด เราแวะพักกันอีก 2 รอบ เพราะน้องในกลุ่มเป็นตะคริว พอค่อยดีขึ้นก็เริ่มปั่นต่อ แต่ปรากฏว่าตะคริวขึ้นตอนกำลังปั่นรถเลยล้ม เลยต้องโบกรถเซอร์วิสไปรอที่ cp3

สมาชิกที่เหลือต่างก็ก้มหน้าเตรียมเผชิญชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะข้างหน้าเป็นทางขึ้นเขาชัน 4.6 กม. อย่างที่คาดไว้พอโผล่จากทางราบมาถึงตีนเขาทุกคนต่างร้อง “โห” พร้อมๆ กัน ภาพตรงหน้ามันไม่มีเนินให้เราได้ค่อยๆ ไต่เล่นระดับขึ้นไปเลยค่ะ มันชันมว๊ากกกก ทุกคนพร้อมใจกันจูงค่ะ ท่าจูงก็คือต้องก้มหน้าดันรถขึ้นไปค่ะ ถ้าจอดพักต้องเอาเท้ารองล้อรถเอาไว้ ไม่งั้นมันจะไหลลงค่ะ แดดก็ร้อน น้ำเริ่มหมด แต่โชคยังดีที่น้องๆ ที่จุด cp3 ขับมอเตอร์ไซด์เอาน้ำมาคอยเติมให้ระหว่างทาง เราพักกันไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนน้องที่ขึ้นไปรอบนเขา ไลน์มาบอกว่า cp จะปิดแล้วนะครับ ให้รีบขึ้นมา คนที่พอปั่นได้ก็รีบปั่นไปแสตมป์ตรากันก่อน ส่วนคนที่ปั่นไม่ไหวก็ค่อยๆ จูงขึ้นมา ที่จุด cp3 มีเจ้าหน้าที่มาส่งน้ำให้ถึงที่ แถมคว้ากระติกไปเติมน้ำให้ด้วย น่ารักจริงๆ อ้อ!! มีไอติมหวานเย็นบริการด้วย เหมือนสวรรค์มาโปรด เรามาถึงจุด cp3 เมื่อเวลา 16.31 น. ไม่น่าเชื่อเราใช้เวลาเข็นรถขึ้นเขามา 2 ชั่วโมงกว่า

ลุงคนนี้บ้านอยู่ตีนเขาค่ะ ปั่นขึ้นทุกวัน คงจะสมน้ำหน้าพวกเราค่ะ อยากลองของเป็นงัยละ

กราฟค่าความชันค่ะ

ไอติมที่อร่อยที่สุดในสามโลก
จาก cp3 จะเป็นไหลทางลงเขาแล้ว ระยะทางประมาณ 21 กม. ตอนนี้กลุ่มเราเริ่มแตกแล้วเพราะเราต้องรีบไปให้ถึง cp4 ให้ทันเวลา จึงต่างคนต่างไหลกันลงมา จขกท.มากับแฟน บอกแฟนว่าให้ช่วยดูด้วยนะ เรากลัว จนมาถึงจุดลงเขาที่ล่ำลือกันว่า จักรยานแหกโค้งกันมาหลายคัน เห็นอยู่ข้างหน้าเหมือนเป็นเหวเลย เราเลยกำเบรกเพื่อหยุดรถ อยู่บนเนิน กำลังตัดสินใจว่าจะไหลลงหรือจะจูงลงดี ข้างหลังก็มีเสียงดังโครม พี่ในกลุ่มรถล้มค่ะจังหวะกำเบรกมาเหมือนกัน ตอนแรกพี่เค้าลุกไม่ขึ้นเจ็บข้อเท้า เราคิดว่าข้อเท้าจะหักแต่ไม่กล้าจับ พอดีมีรถชาวบ้านผ่านมาจึงขอให้เค้าไปส่งพี่ที่ตีนเขา แล้วเราจะรออะไรล่ะ ขอติดรถไปด้วย ปล่อยให้แฟนปั่นไปคนเดียวก่อน บอกตรงๆ จขกท. ป๊อดค่ะ เพราะเคยมีประสบการณ์ตีลังกาข้ามรถตอนลงเขามาแล้ว ครั้งนั้นเจ็บซี่โครงเกือบ 2 เดือน มันเป็นอะไรที่หลอกหลอนมาก (สรุปพี่เค้าขาไม่หักค่ะ แค่เคล็ดขัดยอก โชคดีมากเลย)

คุณวิชญ์ ประธาน audax ประเทศไทย มาร่วมปั่นงานในวันนี้ด้วยค่ะ
พวกเรามาถึงจุด cp4 ก็จวนเจียนเวลาปิดจุดพอดี จากนี้เหลือระยะทางอีก 34 กม. กับเวลา 1.30 ชม.ที่ต้องปั่นไปที่จุด finish คนที่มาถึงก่อนก็รีบปั่นไปก่อนเพื่อให้ทันเวลา จขกท.ปั่นไปกับแฟน 2 คน ปั่นไปดูเวลาไป ฟ้าก็เริ่มมืด ส่วนเพื่อนๆ ที่ปั่นตามหลังมา ก็จะมีรถเจ้าหน้าที่ตามเก็บเพราะคาดว่าน่าจะไม่ทันจุด finish ปิดค่ะ และก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยด้วย เพราะบางคันก็ไม่ได้เตรียมไฟมา พวกเราเช็คอินที่จุด finish เวลา 19.26 น. ใช้ระยะเวลาในการปั่น 13 ชม.26 นาที ระยะทาง 212 กม. ส่วนของ จขกท. รู้ว่าไม่ผ่านตั้งแต่นั่งรถลงเขาแล้วค่ะ ระยะหายไป 8 กม. ไม่เสียใจค่ะ รอบ BRM จะกลับไปแก้ตัวใหม่

สรุป
• ภาพรวม ผู้จัด SCAT ถึงจะหน้าใหม่แต่ก็จัดงานได้ดีมากค่ะ
• เจ้าหน้าที่ทุกคนบริการยอดเยี่ยม
• เส้นทางสวย สุดยอดตรงขึ้นเขาน้ำปาดนี่แหละค่ะ แต่ถ้าย้ายจุดขึ้นเขามาเป็นช่วงต้นๆ ของเส้นทางจะดีมากค่ะ เพราะตอนบ่ายหมดแรงมาแล้ว พอเข็นรถขึ้นเขาแทบจะไม่เหลือแรงเลยค่ะ
• สมาชิกในทีมที่ไปปั่น 20 คน ปั่นจนจบครบเส้นทางประมาณ 8 คนค่ะ สาเหตุที่หายไปเยอะ อาจเป็นเพราะการบริหารจัดการเวลาของเรายังไม่ดีพอ รวมถึงบางคนยังไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกายและจิตใจของตัวเองได้ เช่น จขกท. เป็นต้น ที่ไม่สามารถสลัดความกลัวนั้นทิ้งไปได้ ครั้งหน้าเราจะพร้อมใจกันแก้ตัวใหม่ในรอบ BRM ค่ะ
ไม่แชร์ไม่ได้แล้ว ครั้งแรกกับการปั่น 200 Audax Testrun Phitsanuloke
ก็เพราะจขกท. อยากเก็บทุกเรื่องราวไว้เป็นความทรงจำ ครั้นจะเก็บไว้คนเดียว คงไม่สนุก เลยอยากแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆ นักปั่นได้อ่านกันค่ะ
**ขออนุญาตเจ้าของภาพทุกภาพนะคะ บางรูปอาจจะติดบุคคลอื่นมาด้วย หากไม่สะดวกช่วยแจ้ง จขกท.จะทำการลบรูปให้ค่ะ
***************
audax test run 200 km. ที่พิษณุโลก พูดตรงๆ ตอนแรกได้ยินข่าวไม่ค่อยสนใจเท่าไร เพราะคิดว่าเกินกำลังตัวเอง แต่ด้วยแฟนอยากไป
ประกอบกับเพื่อนๆ ในทีมไปกันหลายคน ก็เลยตัดสินใจไป
ก่อนไปฝึกซ้อมมั๊ย ไม่เลยค่ะ ปั่นวันละไม่เกิน 50 กม. อาทิตย์ละ 2-3 วัน แถมก่อนวันแข่ง 2 วัน มีพี่ที่รู้จักให้รองเท้ามา 1 คู่
เลยลองเอาไปใส่วิ่ง บนถนนคอนกรีตได้ 1 กม. ได้เรื่องเลยกล้ามเนื้ออักเสบ น่องจะแตก งานเข้าเลย จขกท. ต้องกินยาคลายกล้ามเนื้ออย่างหนัก เพื่อให้หายทัน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดดันมาเป็นวันนั้นของเดือนอีก แทบจะถอนตัว แต่ใจก็บอกกะตัวเองว่า “เอ้ย นักรบจะลงสนามแล้วอย่ามัวอ้างนู่นนี่นั่นอยู่เลย เอาใจนี่แหละไปสู้” โอเค สู้ก็สู้โว้ย
วันแข่ง เริ่มปล่อยตัวจากสวนสุขภาพเรือนแพ เวลา 6.00 น. อากาศกำลังดี ร่างกายกำลังตื่นตัว เราปั่นกันด้วยความเร็วประมาณ 30
ปั่นไปประมาณ 10 กว่ากม. มีน้องในกลุ่มยางรั่ว เราเลยหยุดรอเพื่อนปะยางประมาณ 10 นาที
หลังจากนั้นเส้นทางเริ่มออกนอกเมืองเข้าสู่เส้นทางสายรอง ลมก็พัดมาเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเส้นทาง ประมาณกม.48
เพื่อนในกลุ่มน้ำเริ่มหมดเลยแวะซื้อน้ำกันข้างทาง
เส้นทางอีกประมาณสิบกว่ากม. จะถึงจุด cp1 เป็นเส้นทางทีปั่นผ่านทุ่งนา เรื่องลมไม่ต้องพูดถึงไม่ว่าเราจะเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาไปกี่รอบลมก็ยังตามมาพัดดักหน้าเราทุกที สุดท้ายเข้า cp1 เวลา 08.35 ระยะทาง 62.2 กม. ที่จุดพัก cp1 นี้ มีกล้วยกับน้ำมะตูมเย็นๆ ไว้คอยเลี้ยง จขกท. ดื่มไป 4 แก้วเลย ชื่นใจจริงๆ เราใช้เวลาพักจุดนี้ค่อนข้างนาน ถ่ายรูป เข้าห้องน้ำ เริ่มเอาเสบียงออกมากินกัน ยังคุยกันสนุกสนาน
ออกจาก cp1 อากาศเริ่มร้อน เราต้องแวะร้านค้าข้างทางเพื่อเติมน้ำกันอีกรอบ แต่ละคนเริ่มควักยาออกมานวดกล้ามเนื้อที่กำลังอ่อนล้าเพราะเราปั่นมาตั้ง 82 กม.แล้ว ปั่นไปซักพัก เพื่อนในกลุ่มหายจากขบวนไป 3 คน เราต้องหยุดรอเช็คข้อมูลกัน พบว่ามีเพื่อนคนหนึ่งไม่ไหวเลยโบกรถไปรอที่เนินมะปราง ช่วงนั้นความเร็วเราเริ่มดรอปลงแล้ว หลายๆ คนเริ่มหิวเราเลยพักร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง เนื่องจากกลุ่มเรามีสมาชิกประมาณเกือบ 20 คัน จึงแยกย้ายกันไปกินร้านอาหารตามสั่งบ้าง ถึงอย่างนั้นเราก็เสียเวลาจุดนี้ไปเป็นชั่วโมง
อีกประมาณ 20 กว่ากม. จะถึง cp2 พอเข้าเขตเนินมะปราง ก็มีเนินมาให้เราได้นวดขากันเป็นระยะ เพื่อนในกลุ่มไม่ไหวขอพักร้านค้าข้างทางอีกรอบ แล้วเราก็ถึง cp2 เวลา 12.49 น. ระยะทาง 124.5 กม. ที่จุด cp2 มีกล้วยกับน้ำแดงบริการนักปั่นค่ะ แถมยังมีหมอนวดมานวดให้นักปั่นที่ปวดเมื่อยด้วยค่ะ สุดยอด จากจุดนี้สมาชิกในกลุ่มขอถอนตัว 2 คน
ระยะทางอีก 24 กม.จะถึงทางแยกขึ้นเขาน้ำปาด เราแวะพักกันอีก 2 รอบ เพราะน้องในกลุ่มเป็นตะคริว พอค่อยดีขึ้นก็เริ่มปั่นต่อ แต่ปรากฏว่าตะคริวขึ้นตอนกำลังปั่นรถเลยล้ม เลยต้องโบกรถเซอร์วิสไปรอที่ cp3
สมาชิกที่เหลือต่างก็ก้มหน้าเตรียมเผชิญชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะข้างหน้าเป็นทางขึ้นเขาชัน 4.6 กม. อย่างที่คาดไว้พอโผล่จากทางราบมาถึงตีนเขาทุกคนต่างร้อง “โห” พร้อมๆ กัน ภาพตรงหน้ามันไม่มีเนินให้เราได้ค่อยๆ ไต่เล่นระดับขึ้นไปเลยค่ะ มันชันมว๊ากกกก ทุกคนพร้อมใจกันจูงค่ะ ท่าจูงก็คือต้องก้มหน้าดันรถขึ้นไปค่ะ ถ้าจอดพักต้องเอาเท้ารองล้อรถเอาไว้ ไม่งั้นมันจะไหลลงค่ะ แดดก็ร้อน น้ำเริ่มหมด แต่โชคยังดีที่น้องๆ ที่จุด cp3 ขับมอเตอร์ไซด์เอาน้ำมาคอยเติมให้ระหว่างทาง เราพักกันไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจนน้องที่ขึ้นไปรอบนเขา ไลน์มาบอกว่า cp จะปิดแล้วนะครับ ให้รีบขึ้นมา คนที่พอปั่นได้ก็รีบปั่นไปแสตมป์ตรากันก่อน ส่วนคนที่ปั่นไม่ไหวก็ค่อยๆ จูงขึ้นมา ที่จุด cp3 มีเจ้าหน้าที่มาส่งน้ำให้ถึงที่ แถมคว้ากระติกไปเติมน้ำให้ด้วย น่ารักจริงๆ อ้อ!! มีไอติมหวานเย็นบริการด้วย เหมือนสวรรค์มาโปรด เรามาถึงจุด cp3 เมื่อเวลา 16.31 น. ไม่น่าเชื่อเราใช้เวลาเข็นรถขึ้นเขามา 2 ชั่วโมงกว่า
ลุงคนนี้บ้านอยู่ตีนเขาค่ะ ปั่นขึ้นทุกวัน คงจะสมน้ำหน้าพวกเราค่ะ อยากลองของเป็นงัยละ
กราฟค่าความชันค่ะ
ไอติมที่อร่อยที่สุดในสามโลก
จาก cp3 จะเป็นไหลทางลงเขาแล้ว ระยะทางประมาณ 21 กม. ตอนนี้กลุ่มเราเริ่มแตกแล้วเพราะเราต้องรีบไปให้ถึง cp4 ให้ทันเวลา จึงต่างคนต่างไหลกันลงมา จขกท.มากับแฟน บอกแฟนว่าให้ช่วยดูด้วยนะ เรากลัว จนมาถึงจุดลงเขาที่ล่ำลือกันว่า จักรยานแหกโค้งกันมาหลายคัน เห็นอยู่ข้างหน้าเหมือนเป็นเหวเลย เราเลยกำเบรกเพื่อหยุดรถ อยู่บนเนิน กำลังตัดสินใจว่าจะไหลลงหรือจะจูงลงดี ข้างหลังก็มีเสียงดังโครม พี่ในกลุ่มรถล้มค่ะจังหวะกำเบรกมาเหมือนกัน ตอนแรกพี่เค้าลุกไม่ขึ้นเจ็บข้อเท้า เราคิดว่าข้อเท้าจะหักแต่ไม่กล้าจับ พอดีมีรถชาวบ้านผ่านมาจึงขอให้เค้าไปส่งพี่ที่ตีนเขา แล้วเราจะรออะไรล่ะ ขอติดรถไปด้วย ปล่อยให้แฟนปั่นไปคนเดียวก่อน บอกตรงๆ จขกท. ป๊อดค่ะ เพราะเคยมีประสบการณ์ตีลังกาข้ามรถตอนลงเขามาแล้ว ครั้งนั้นเจ็บซี่โครงเกือบ 2 เดือน มันเป็นอะไรที่หลอกหลอนมาก (สรุปพี่เค้าขาไม่หักค่ะ แค่เคล็ดขัดยอก โชคดีมากเลย)
คุณวิชญ์ ประธาน audax ประเทศไทย มาร่วมปั่นงานในวันนี้ด้วยค่ะ
พวกเรามาถึงจุด cp4 ก็จวนเจียนเวลาปิดจุดพอดี จากนี้เหลือระยะทางอีก 34 กม. กับเวลา 1.30 ชม.ที่ต้องปั่นไปที่จุด finish คนที่มาถึงก่อนก็รีบปั่นไปก่อนเพื่อให้ทันเวลา จขกท.ปั่นไปกับแฟน 2 คน ปั่นไปดูเวลาไป ฟ้าก็เริ่มมืด ส่วนเพื่อนๆ ที่ปั่นตามหลังมา ก็จะมีรถเจ้าหน้าที่ตามเก็บเพราะคาดว่าน่าจะไม่ทันจุด finish ปิดค่ะ และก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยด้วย เพราะบางคันก็ไม่ได้เตรียมไฟมา พวกเราเช็คอินที่จุด finish เวลา 19.26 น. ใช้ระยะเวลาในการปั่น 13 ชม.26 นาที ระยะทาง 212 กม. ส่วนของ จขกท. รู้ว่าไม่ผ่านตั้งแต่นั่งรถลงเขาแล้วค่ะ ระยะหายไป 8 กม. ไม่เสียใจค่ะ รอบ BRM จะกลับไปแก้ตัวใหม่
สรุป
• ภาพรวม ผู้จัด SCAT ถึงจะหน้าใหม่แต่ก็จัดงานได้ดีมากค่ะ
• เจ้าหน้าที่ทุกคนบริการยอดเยี่ยม
• เส้นทางสวย สุดยอดตรงขึ้นเขาน้ำปาดนี่แหละค่ะ แต่ถ้าย้ายจุดขึ้นเขามาเป็นช่วงต้นๆ ของเส้นทางจะดีมากค่ะ เพราะตอนบ่ายหมดแรงมาแล้ว พอเข็นรถขึ้นเขาแทบจะไม่เหลือแรงเลยค่ะ
• สมาชิกในทีมที่ไปปั่น 20 คน ปั่นจนจบครบเส้นทางประมาณ 8 คนค่ะ สาเหตุที่หายไปเยอะ อาจเป็นเพราะการบริหารจัดการเวลาของเรายังไม่ดีพอ รวมถึงบางคนยังไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกายและจิตใจของตัวเองได้ เช่น จขกท. เป็นต้น ที่ไม่สามารถสลัดความกลัวนั้นทิ้งไปได้ ครั้งหน้าเราจะพร้อมใจกันแก้ตัวใหม่ในรอบ BRM ค่ะ