ปล.หากญาติหรือใครที่รู้ข่าวคราวของอาม่า รบกวนแจ้งกลับหน่อยนะครับ ผมว่าหลายๆคนในคืนนั้นก็อยากทราบอาการของอาม่าครับ
วันที่ 1 มีนาคม 2559 ผมรอเดินทางกลับจากโฮจิมินห์ซิตี้มายังกรุงเทพฯ ด้วยสายการบินนกแอร์ เที่ยวบิน DD3219 ซึ่งตามกำหนดการณ์เดิมเครื่องจะต้องขึ้นเวลา 20.45 น. แต่ทางนกแอร์ได้ทำการเลื่อนเวลาออกไปเป็น 21.45 น. โดยผมก็ไม่ทราบสาเหตุ แต่สำหรับผมแล้วไม่ใช่ปัญหา
ในเที่ยวบินนี้มีคนไทยจำนวนมาก และชาวต่างชาติอีกหลายคน หนึ่งในจำนวนคนไทยนั้นคือ กรุ๊ปทัวร์ที่เป็นอาม่าร่วม 20 คน ทุกคนมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะตามประสาคนกลุ่มเดียวกัน
ถึงเวลาขึ้นเครื่องเวลา 21.15 น. ทุกคนต่อแถวเดินเข้าเครื่องกันอย่างปกติ พอถึงที่นั่งผมเก็บสัมภาระไว้ข้างบนเหนือศรีษะเรียบร้อยก็มานั่งรัดเข็มขัดเพื่อรอผู้โดยสารท่านอื่นๆทะยอยกันเก็บสัมภาระ
ทุกอย่างดูเร่งรีบเพราะเวลาบินได้เลื่อนดึกขึ้นจึงทำให้ทุกอย่างต้องกระชับรัดกุมเพื่อความรวดเร็ว
พนักงานบนเครื่องบิน สาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์นิรภัยผ่านไป เครื่องบินกำลังหันหัวเครื่องเพื่อรอการ Take Off
"คร่อกกกกก คร่อกกกกก"
ผมหันหลังมองตามเสียงที่ดังมา เห็นอาม่านั่งหลับคอพับตัวเอียงออกนอกที่นั่งด้านหลังเยื้องๆผมไป ผมหันกลับมายิ้มๆ
"อาม่าหลับเร็วมาก" ผมพูดเบาๆกับภรรยา
เครื่องบินปิดไฟมืดสนิท กัปตันกำลังเร่งเครื่องเพื่อจะบินขึ้น
"เจ๊อี่ เจ๊อี่ เป็นอะไร เดี๋ยวๆอย่าเพิ่งปิดไฟค่าาา"
ในความมืดสลัว ผมหันมองไปยังอาม่าคนที่ผมเพิ่งหันกลับมา เห็นอาม่ามีความเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
ทุกอย่างยังมืดสนิม เสียงโกลาหลเริ่มดังขึ้น "เปิดไฟ เปิดไฟค่าาา" ระหว่างที่ทุกคนตื่นตกใจ มีแสงไฟจากมือถือของผู้หญิงชาวต่างชาติสาดมาที่เก้าอี้อาม่า ทำให้ภาพที่มืดสลัวเด่นชัดขึ้น
"เจ๊อี่ เจ๊อี่เป็นอะไร" ภาพที่ทุกคนเห็นคือ อาม่ามีอาการชักอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้สึกตัว
ไฟบนเครื่องบินถูกเปิดขึ้น วินาทีนั้นสิ่งที่เห็นคือ หลายๆคนลุกขึ้นจากเก้าอี้ เสียงตะโกนดังอื้ออึงไปทั้งเครื่องบิน
"ยาดม ยาดม ใครมียาดมบ้าง"
ในวินาทีนั้น อาวุประจำกายของอาม่าร่วม 20 คนถูกยื่นโดยพร้อมเพียงกัน
"ขอให้ผู้โดยสารทุกท่าน นั่งอยู่กับที่นะคะ เพื่อความสะดวกในการปฐมพยาบาลค่ะ" พนักงานบนเครื่องบินในชุดสีเหลืองรีบวิ่งกันเข้าจากทั้งสองด้านของทางเดิน
"ผู้โดยสารเป็นอะไรคะ" เสียงพนักงานสอบถามด้วยความตื่นตระหนก
"เจ๊อี่ แกชักอ่า" เสียงเพื่อนอาม่าตอบ "แกจะเป็นแบบนี้แหละ เป็นประจำ เป็นลมบ้าหมู เดี๋ยวก็หายไม่เป็นไร"
แต่ภาพที่ผมเห็นคือ อาม่ายังคงชักไม่ได้สติ
"อ๊อกซิเจน มาเลยค่ะ" พนักงานลำเลียงถึงอ๊อกซิเจนรีบเดินเข้ามาสวมให้กับอาม่า
"ผู้โดยสารชื่อไรคะ" แอร์สาวพยายามถามอาม่า แต่ไร้ซึ่งอาการตอบสนอง
ทันใดนั้นมีผู้โดยสารหญิงรีบวิ่งฝ่าฝูงชนที่ยืนมุงดูเข้ามา "ขอทางหน่อยค่ะ ให้อาม่านอนลงค่ะ ถ้าเป็นลมบ้าหมูเดี๋ยวจะหายเองค่ะ ให้นอนลง แล้วเอาอ๊อกซิเจนให้อาม่าเลยค่ะ"
แล้วเธอก็จับชีพจรพร้อมดูนาฬิกาข้อมือไปด้วย
"ตามหมอมาดีกว่าค่ะ ดูอาการแล้วแกชักหนักเหมือนกัน" เธอหันไปบอกกับแอร์สาว
"ค่ะหนูโทรตามหมอมาให้แล้วค่ะ"
"ใครเป็นญาติอาม่าคะ"
"เค้าเป็นใครอ่ะ" เสียงคนบนเครื่องซุบซิบถามกัน
"ดิฉันเป็นพยาบาลค่ะ"
"อีมากับทัวร์พวกเรา ลูกแกไปฮ่องกง ตอนนี้แกตัวคนเดียว" เสียงเพื่อนอาม่าบอก
"หนูเป็นหัวหน้าทัวร์ค่ะ" เสียงชายที่กำลังรีบเดินมา พูดขึ้น
"อาม่าแกเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้วใช่ไหมคะ แกมียาประจำตัวไหม" เสียงพยาบาลถามหัวหน้าทัวร์
"แกบอกว่าแกกินยาไปแล้วเมื่อกี้ก่อนขึ้นเครื่อง แต่สงสัยว่าแกไม่ได้กินข้าว แน่เลย" เสียงเพื่อนอาม่าตอบมาแทน
"ผู้โดยสารทุกท่านนั่งลงก่อนนะคะ อย่ามุงค่ะ อย่าเดินออกมา นั่งลงนะค่ะ"
ในระหว่างที่ทุกอย่างอยู่ในสภาวะตึงเครียดนั้น พนักงานบนเครื่องต้องคอยกันผู้หวังดีคนอื่นๆที่พยายามเข้ามา ด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
คนที่เป็นพยาบาลและแอร์ จับอาม่าที่ยังไม่ได้สตินอนลงยาวกับที่นั่ง ในสภาพสวมหน้ากากอ๊อกซิเจน
3 สาวชาวฝรั่งที่นั่งอยู่หลังอาม่า ลุกขึ้นหนีไปนั่งหลังเครื่องบินชั่วคราวเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการปฐมพยาบาล
"เราต้องให้คนไข้ ลงจากเครื่องก่อนนะคะ เพื่อความปลอดภัยของคนไข้เองค่ะ" เสียง "นกแอนนี่" บอกกับเพื่อนๆอาม่า
"อ้าว แย่เลยสิ อีตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้อง ลูกแกก็บินไปฮ่องกง ให้ทำไงอ่ะ ลำบากนะแบบนี้ สงสารแก" เสียงผู้หวังดีหลายคนประสานเป็นเสียงเดียวกัน
"ค่ะเข้าใจค่ะ แต่เพื่อความปลอดภัยของคนไข้เอง เราต้องให้คุณหมอตรวจอาการค่ะ และเป็นการตัดสินใจของกัปตันด้วยค่ะท่านผู้โดยสาร"
"อ่า ทำไงอ่ะ สงสารแก"
เสียงต่อรองของเหล่าเพื่อนอาม่าเริ่มดังขึ้นด้วยความเป็นห่วงเพื่อนร่วมทาง จนทางหัวหน้าทัวร์ต้องเข้ามาอธิบายถึงกฎของสายการบินและเพื่อความปลอดภัยของตัวอาม่าเองด้วย จึงทำให้เพื่อนๆอาม่ายอมรับการนำตัวอาม่าส่งโรงพยาบาล แต่ก็ยังมีความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายและการเดินทางกลับ
"แล้วจะเอาเงินที่ไหนจ่าย แกไม่มีเงินติดตัวเลย แล้วเพื่อนก็ไม่มี ใครจอยู่เป็นเพื่อนแก"
ผ่านไปหลายนาทีของการหารือที่เคร่งเครียด และสีหน้าวิตกกังวลของทุกคน
"เดี๋ยวหนูอยู่เป็นเพื่อนเองค่ะ และค่าใช้จ่ายเดี๋ยวหนูให้ทางบ้านโอนเงินเข้าบัญชีหนูแล้วเดี๋ยวหนูสำรองจ่ายไปก่อนคะ" หัวหน้าทัวร์เสนอตัวรับผิดชอบถึงค่าใช้จ่ายในครั้งนี้
"อุ๊ย ลำบากแย่งั้นเอาเงินอั๊วไปเลย "กบ" มีใครจะให้อีกมั๊ย" ในนาทีนั้นทุกคนในกลุ่มทัวร์ต่างรีบควักเงินของตนเองออกมาสมทบ เสียงเรียกชื่อ "กบ" ดังตั้งแต่หัวถึงท้ายเครื่องบิน เห็นถึงความอาทรเป็นห่วงดุจญาติมิตรซึ่งกันและกัน
ในระหว่างที่ต่างคนต่างวุ่นวายอยู่นั้น มีผู้หญิงสองคนในชุดกาวน์สีขาว เดินถือเครื่องมือปฐมพยาบาลเดินเข้ามายังที่อาม่านอนอยู่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สนามบินผู้ชาย หญิงทั้งสองไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินเข้าไปวัดชีพจรอาม่า แล้วเอายาป้อนใส่ปากอาม่าอย่างรวดเร็ว
นกแอนนี่ถามหนึ่งในหญิงชุดกาวน์เป็นภาษาอังกฤษว่าอะไรผมไม่แน่ใจ แต่ท้ายสุดได้ยินว่า "Can you speak english ?"
หญิงชุดกาวน์เงียบไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแต่อย่างใด บ่งบอกว่าสิ่งที่นกแอนนี่พูดไปนั้นเธอไม่เข้าใจเลยสักคำ
"Can you speak english ?" ผมได้ยินประโยคนี้อยู่ 3 รอบ แต่ก็ไร้ผล
"I can translate" สาวชาวเวียดนามคนหนึ่งลุกจากที่นั่งชูมือเดินเข้ามาหา
เสียงพูดคุยเป็นไปอย่างดุเดือด ด้วยการแปลเป็นภาษาเวียดนาม สลับภาษาอังกฤษ
จากการพูดคุยได้ใจความว่า นกแอนนี่ต้องการทราบว่ายาที่ให้ไปคือยาอะไร ทำไมอยู่ดีๆถึงป้อนเข้าปากคนไข้โดยไม่บอกกล่าว ถ้าคนไข้เป็นอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ แต่ทางหญิงชุดกาวน์บอกว่าเค้าเป็นหมอ (หมออะไร ทำไมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แม้แต่น้อย //ผู้เขียน) ไม่ต้องห่วงในเรื่องนี้
"มีด้วยหรือค่ะ ที่อยู่ๆมีคนใส่เสื้อกาวน์เดินขึ้นมาบนเครื่องบิน แล้วเอายาใส่ปากผู้โดยสาร โดยที่ไม่รู้ว่าเค้าเป็นหมอหรือปล่าว ให้เซ็นชื่อรับรองเค้าก็ไม่ยอมเซ็น" นกแอนนี่พูดให้ผู้โดยสารฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่สนามบินผู้ชาย พยายามยืนยันว่าเค้าคือหมอ และมีการพูดคุยกันอยู่สักพัก แต่นกแอนนี่ไม่ยินยอม
ผ่านไปสักครู่หญิงในชุดกาวน์แจ้งว่าตอนนี้ความดันผู้โดยสารต่ำลงแล้วสามารถให้ไปต่อได้ แต่นกแอนนี่ยังคงต้องการให้เซ็นยืนยัน เพราะที่ประเทศไทยจะเป็นเรื่องที่ต้องทำ และทางนกแอร์ต้องมีเอกสารยืนยันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย เกิดการโต้เถียงกันอยู่พักนึงหญิงในชุดกาวน์จึงยินยอมเซ็นให้ และเดินลงจากเครื่องบินไปพร้อมเจ้าหน้าที่สนามบิน
ผมหันมองอาม่าที่ยังคงนอนราบอยู่กับที่นั่ง "นกแป้ง" พยายามเรียกชื่ออาม่าเพื่อให้ได้สติ แต่ดูเหมือนอ่าม่ายังเบลอๆ เธอและหญิงสาวอีกคนพยุงกายให้อาม่าลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้าซีดเซียว
"ดีขึ้นแล้วๆ หายแล้วเนาะเจ๊อี่" เสียงเพื่อนอาม่าตะโกนมาให้กำลังใจ
รอเวลาผ่านไปสัก 10 นาทีเพื่อให้อาม่าค่อยๆตั้งฟื้นตัว
"แอนนี่ว่าอาม่าไปนั่งกับแอนนี่ด้านหน้าดีกว่านะคะ เพื่อความสบายนะคะ" อาม่าผงกหัวตอบรับนกแอนนี่ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้มากนัก
ผ่านไปหลายนาที อาม่าลุกขึ้นเดินตามไปอย่างคล่องแคล่ว
"โอย หายเลี้ยวอีแบบนี้ เดินเร็วเชียว ไม่ต่องห่วงหายเลี้ยว" เพื่อนอาม่าแซว
ผ่านไปสักครู่นกแป้งเดินกลับมาแจ้งแก่กลุ่มอาม่าว่า จำเป็นต้องให้อาม่าพักอยู่ที่นี่ก่อน โดยจะเดินทางไปกับรถโรงพยาบาลที่จอดรออยู่ข้างล่าง เพราะอาการอาม่ายังไม่ค่อยดีนัก หากขึ้นไปแล้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำให้แย่ลงไปอีก และเป็นการตัดสินใจจากกัปตันแล้วด้วย
"ไม่ต้องห่วงนะคะเด๋ยวหนูไปกับอาม่าเอง ยังไงฝากช่วยๆกันดูกระเป๋าตอนที่ไปรับกันด้วยนะคะ กลัวตกหล่น" เสียงหัวหน้าทัวร์บอกกับลูกทัวร์
เสียงพูดคุยเริ่มดังขึ้นเมื่อผู้หวังดีบางคนอยากให้อาม่ากลับไปด้วยกัน แต่สุดท้ายแล้วก็ยินยอมให้อาม่าพักอยู่ที่นี่เพื่อความปลอดภัยของตัวอาม่าเอง แล้วจะโทรหาลูกๆให้มารับอาม่ากลับ
รถพยาบาลพาอาม่าและหัวหน้าทัวร์ออกจากรันเวย์ด้วยความเชื่องช้าในสายตาผม เพราะเวียดนามบังคับขับไม่เกิน 60/ชม.
ในระหว่างนั้นเพื่อนๆอาม่าต่างช่วยกันตรวจสอบสัมภาระของอาม่าที่เหลืออยู่ เพื่อไม่ให้ตกหล่นหลังจากลงเครื่องแล้ว
"ลื้อมานั่งนี้สิ นั่งอยู่คนเดียว"
มีการออกปากเชิญชวนเปลี่ยนที่นั่งเกิดขึ้นเพราะกลัวว่าเพื่อนที่นั่งเบาะติดกับอาม่าจะเหงา
"เมื่อกี้ผู้โดยสารย้ายจากที่นั่งไหนไปไหนคะ ปกติห้ามเปลี่ยนที่นั่งนะคะ เพราะว่าทางสายการบินมีการคำนวณเรื่องน้ำหนักไว้หมดแล้ว หากมีการย้ายที่นั่งจะมีผลค่ะ"
นกแป้งเข้ามาอธิบายให้ฟัง สุดท้ายเพื่อนอาม่าจึงเดินกลับมานั่งที่เดิม
"รบกวนผู้โดยสารทุกท่าน นั่งลงกับที่นะคะ เครื่องกำลังจะออกแล้วค่ะ"
"เออ ลื้อนั่งลงได้แล้ว นี่ไม่ใช่รถทัวร์นะ เดินไปเดินมา"
เสียงเพื่อนอาม่าหยอกล้อกัน สร้างเสียงหัวเราะคลายความตึงเครียด จนแสงไฟภายในเครื่องบินถูกปิดลงแสดงถึงความพร้อมที่จะบิน ทุกอย่างจึงเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ถูกเร่งขึ้น และล้อที่หมุนออกจากสนามบินเวลา 23.15 น.
เกือบ 3 ชม. จากกำหนดการเดิม ผมต้องถึงบ้านดึกขึ้น แต่สิ่งที่ผมได้พบเจอในวันนั้นจะเป็นสิ่งที่ผมไม่ลืมอย่างแน่นอน
ขอบคุณการตัดสินใจของกัปตัน
ขอบคุณสำหรับการแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าของ "นกแอนนี่" ที่ช่วยไฟ้ท์เพื่อทุกๆคน
ขอบคุณ "นกแป้ง"และเจ้าหน้าที่ทุกๆคน ที่คอยช่วยกันผู้หวังดี และคำอธิบายตลอดเวลาที่เกิดเหตุ
ขอบคุณหัวหน้าทัวร์ชื่อ "กบ" ที่แสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกทัวร์อย่างเต็มที่
ประสบการณ์ครั้งนี้มันทำให้ผมรู้ซึ้งถึงคำว่า อาชีพบริการนั้นไม่ง่ายเลย
สุดท้ายขอบคุณภรรยาผม ที่ทำให้เกิดทริปเที่ยวเวียดนาม จนทำให้เรามาเจอเหตุการณ์ประทับใจนี้


เหตุเกิดบน DD3219 ณ แผ่นดินเหงียน
วันที่ 1 มีนาคม 2559 ผมรอเดินทางกลับจากโฮจิมินห์ซิตี้มายังกรุงเทพฯ ด้วยสายการบินนกแอร์ เที่ยวบิน DD3219 ซึ่งตามกำหนดการณ์เดิมเครื่องจะต้องขึ้นเวลา 20.45 น. แต่ทางนกแอร์ได้ทำการเลื่อนเวลาออกไปเป็น 21.45 น. โดยผมก็ไม่ทราบสาเหตุ แต่สำหรับผมแล้วไม่ใช่ปัญหา
ในเที่ยวบินนี้มีคนไทยจำนวนมาก และชาวต่างชาติอีกหลายคน หนึ่งในจำนวนคนไทยนั้นคือ กรุ๊ปทัวร์ที่เป็นอาม่าร่วม 20 คน ทุกคนมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะตามประสาคนกลุ่มเดียวกัน
ถึงเวลาขึ้นเครื่องเวลา 21.15 น. ทุกคนต่อแถวเดินเข้าเครื่องกันอย่างปกติ พอถึงที่นั่งผมเก็บสัมภาระไว้ข้างบนเหนือศรีษะเรียบร้อยก็มานั่งรัดเข็มขัดเพื่อรอผู้โดยสารท่านอื่นๆทะยอยกันเก็บสัมภาระ
ทุกอย่างดูเร่งรีบเพราะเวลาบินได้เลื่อนดึกขึ้นจึงทำให้ทุกอย่างต้องกระชับรัดกุมเพื่อความรวดเร็ว
พนักงานบนเครื่องบิน สาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์นิรภัยผ่านไป เครื่องบินกำลังหันหัวเครื่องเพื่อรอการ Take Off
"คร่อกกกกก คร่อกกกกก"
ผมหันหลังมองตามเสียงที่ดังมา เห็นอาม่านั่งหลับคอพับตัวเอียงออกนอกที่นั่งด้านหลังเยื้องๆผมไป ผมหันกลับมายิ้มๆ
"อาม่าหลับเร็วมาก" ผมพูดเบาๆกับภรรยา
เครื่องบินปิดไฟมืดสนิท กัปตันกำลังเร่งเครื่องเพื่อจะบินขึ้น
"เจ๊อี่ เจ๊อี่ เป็นอะไร เดี๋ยวๆอย่าเพิ่งปิดไฟค่าาา"
ในความมืดสลัว ผมหันมองไปยังอาม่าคนที่ผมเพิ่งหันกลับมา เห็นอาม่ามีความเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
ทุกอย่างยังมืดสนิม เสียงโกลาหลเริ่มดังขึ้น "เปิดไฟ เปิดไฟค่าาา" ระหว่างที่ทุกคนตื่นตกใจ มีแสงไฟจากมือถือของผู้หญิงชาวต่างชาติสาดมาที่เก้าอี้อาม่า ทำให้ภาพที่มืดสลัวเด่นชัดขึ้น
"เจ๊อี่ เจ๊อี่เป็นอะไร" ภาพที่ทุกคนเห็นคือ อาม่ามีอาการชักอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้สึกตัว
ไฟบนเครื่องบินถูกเปิดขึ้น วินาทีนั้นสิ่งที่เห็นคือ หลายๆคนลุกขึ้นจากเก้าอี้ เสียงตะโกนดังอื้ออึงไปทั้งเครื่องบิน
"ยาดม ยาดม ใครมียาดมบ้าง"
ในวินาทีนั้น อาวุประจำกายของอาม่าร่วม 20 คนถูกยื่นโดยพร้อมเพียงกัน
"ขอให้ผู้โดยสารทุกท่าน นั่งอยู่กับที่นะคะ เพื่อความสะดวกในการปฐมพยาบาลค่ะ" พนักงานบนเครื่องบินในชุดสีเหลืองรีบวิ่งกันเข้าจากทั้งสองด้านของทางเดิน
"ผู้โดยสารเป็นอะไรคะ" เสียงพนักงานสอบถามด้วยความตื่นตระหนก
"เจ๊อี่ แกชักอ่า" เสียงเพื่อนอาม่าตอบ "แกจะเป็นแบบนี้แหละ เป็นประจำ เป็นลมบ้าหมู เดี๋ยวก็หายไม่เป็นไร"
แต่ภาพที่ผมเห็นคือ อาม่ายังคงชักไม่ได้สติ
"อ๊อกซิเจน มาเลยค่ะ" พนักงานลำเลียงถึงอ๊อกซิเจนรีบเดินเข้ามาสวมให้กับอาม่า
"ผู้โดยสารชื่อไรคะ" แอร์สาวพยายามถามอาม่า แต่ไร้ซึ่งอาการตอบสนอง
ทันใดนั้นมีผู้โดยสารหญิงรีบวิ่งฝ่าฝูงชนที่ยืนมุงดูเข้ามา "ขอทางหน่อยค่ะ ให้อาม่านอนลงค่ะ ถ้าเป็นลมบ้าหมูเดี๋ยวจะหายเองค่ะ ให้นอนลง แล้วเอาอ๊อกซิเจนให้อาม่าเลยค่ะ"
แล้วเธอก็จับชีพจรพร้อมดูนาฬิกาข้อมือไปด้วย
"ตามหมอมาดีกว่าค่ะ ดูอาการแล้วแกชักหนักเหมือนกัน" เธอหันไปบอกกับแอร์สาว
"ค่ะหนูโทรตามหมอมาให้แล้วค่ะ"
"ใครเป็นญาติอาม่าคะ"
"เค้าเป็นใครอ่ะ" เสียงคนบนเครื่องซุบซิบถามกัน
"ดิฉันเป็นพยาบาลค่ะ"
"อีมากับทัวร์พวกเรา ลูกแกไปฮ่องกง ตอนนี้แกตัวคนเดียว" เสียงเพื่อนอาม่าบอก
"หนูเป็นหัวหน้าทัวร์ค่ะ" เสียงชายที่กำลังรีบเดินมา พูดขึ้น
"อาม่าแกเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้วใช่ไหมคะ แกมียาประจำตัวไหม" เสียงพยาบาลถามหัวหน้าทัวร์
"แกบอกว่าแกกินยาไปแล้วเมื่อกี้ก่อนขึ้นเครื่อง แต่สงสัยว่าแกไม่ได้กินข้าว แน่เลย" เสียงเพื่อนอาม่าตอบมาแทน
"ผู้โดยสารทุกท่านนั่งลงก่อนนะคะ อย่ามุงค่ะ อย่าเดินออกมา นั่งลงนะค่ะ"
ในระหว่างที่ทุกอย่างอยู่ในสภาวะตึงเครียดนั้น พนักงานบนเครื่องต้องคอยกันผู้หวังดีคนอื่นๆที่พยายามเข้ามา ด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
คนที่เป็นพยาบาลและแอร์ จับอาม่าที่ยังไม่ได้สตินอนลงยาวกับที่นั่ง ในสภาพสวมหน้ากากอ๊อกซิเจน
3 สาวชาวฝรั่งที่นั่งอยู่หลังอาม่า ลุกขึ้นหนีไปนั่งหลังเครื่องบินชั่วคราวเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับการปฐมพยาบาล
"เราต้องให้คนไข้ ลงจากเครื่องก่อนนะคะ เพื่อความปลอดภัยของคนไข้เองค่ะ" เสียง "นกแอนนี่" บอกกับเพื่อนๆอาม่า
"อ้าว แย่เลยสิ อีตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้อง ลูกแกก็บินไปฮ่องกง ให้ทำไงอ่ะ ลำบากนะแบบนี้ สงสารแก" เสียงผู้หวังดีหลายคนประสานเป็นเสียงเดียวกัน
"ค่ะเข้าใจค่ะ แต่เพื่อความปลอดภัยของคนไข้เอง เราต้องให้คุณหมอตรวจอาการค่ะ และเป็นการตัดสินใจของกัปตันด้วยค่ะท่านผู้โดยสาร"
"อ่า ทำไงอ่ะ สงสารแก"
เสียงต่อรองของเหล่าเพื่อนอาม่าเริ่มดังขึ้นด้วยความเป็นห่วงเพื่อนร่วมทาง จนทางหัวหน้าทัวร์ต้องเข้ามาอธิบายถึงกฎของสายการบินและเพื่อความปลอดภัยของตัวอาม่าเองด้วย จึงทำให้เพื่อนๆอาม่ายอมรับการนำตัวอาม่าส่งโรงพยาบาล แต่ก็ยังมีความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายและการเดินทางกลับ
"แล้วจะเอาเงินที่ไหนจ่าย แกไม่มีเงินติดตัวเลย แล้วเพื่อนก็ไม่มี ใครจอยู่เป็นเพื่อนแก"
ผ่านไปหลายนาทีของการหารือที่เคร่งเครียด และสีหน้าวิตกกังวลของทุกคน
"เดี๋ยวหนูอยู่เป็นเพื่อนเองค่ะ และค่าใช้จ่ายเดี๋ยวหนูให้ทางบ้านโอนเงินเข้าบัญชีหนูแล้วเดี๋ยวหนูสำรองจ่ายไปก่อนคะ" หัวหน้าทัวร์เสนอตัวรับผิดชอบถึงค่าใช้จ่ายในครั้งนี้
"อุ๊ย ลำบากแย่งั้นเอาเงินอั๊วไปเลย "กบ" มีใครจะให้อีกมั๊ย" ในนาทีนั้นทุกคนในกลุ่มทัวร์ต่างรีบควักเงินของตนเองออกมาสมทบ เสียงเรียกชื่อ "กบ" ดังตั้งแต่หัวถึงท้ายเครื่องบิน เห็นถึงความอาทรเป็นห่วงดุจญาติมิตรซึ่งกันและกัน
ในระหว่างที่ต่างคนต่างวุ่นวายอยู่นั้น มีผู้หญิงสองคนในชุดกาวน์สีขาว เดินถือเครื่องมือปฐมพยาบาลเดินเข้ามายังที่อาม่านอนอยู่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สนามบินผู้ชาย หญิงทั้งสองไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินเข้าไปวัดชีพจรอาม่า แล้วเอายาป้อนใส่ปากอาม่าอย่างรวดเร็ว
นกแอนนี่ถามหนึ่งในหญิงชุดกาวน์เป็นภาษาอังกฤษว่าอะไรผมไม่แน่ใจ แต่ท้ายสุดได้ยินว่า "Can you speak english ?"
หญิงชุดกาวน์เงียบไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแต่อย่างใด บ่งบอกว่าสิ่งที่นกแอนนี่พูดไปนั้นเธอไม่เข้าใจเลยสักคำ
"Can you speak english ?" ผมได้ยินประโยคนี้อยู่ 3 รอบ แต่ก็ไร้ผล
"I can translate" สาวชาวเวียดนามคนหนึ่งลุกจากที่นั่งชูมือเดินเข้ามาหา
เสียงพูดคุยเป็นไปอย่างดุเดือด ด้วยการแปลเป็นภาษาเวียดนาม สลับภาษาอังกฤษ
จากการพูดคุยได้ใจความว่า นกแอนนี่ต้องการทราบว่ายาที่ให้ไปคือยาอะไร ทำไมอยู่ดีๆถึงป้อนเข้าปากคนไข้โดยไม่บอกกล่าว ถ้าคนไข้เป็นอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ แต่ทางหญิงชุดกาวน์บอกว่าเค้าเป็นหมอ (หมออะไร ทำไมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แม้แต่น้อย //ผู้เขียน) ไม่ต้องห่วงในเรื่องนี้
"มีด้วยหรือค่ะ ที่อยู่ๆมีคนใส่เสื้อกาวน์เดินขึ้นมาบนเครื่องบิน แล้วเอายาใส่ปากผู้โดยสาร โดยที่ไม่รู้ว่าเค้าเป็นหมอหรือปล่าว ให้เซ็นชื่อรับรองเค้าก็ไม่ยอมเซ็น" นกแอนนี่พูดให้ผู้โดยสารฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่สนามบินผู้ชาย พยายามยืนยันว่าเค้าคือหมอ และมีการพูดคุยกันอยู่สักพัก แต่นกแอนนี่ไม่ยินยอม
ผ่านไปสักครู่หญิงในชุดกาวน์แจ้งว่าตอนนี้ความดันผู้โดยสารต่ำลงแล้วสามารถให้ไปต่อได้ แต่นกแอนนี่ยังคงต้องการให้เซ็นยืนยัน เพราะที่ประเทศไทยจะเป็นเรื่องที่ต้องทำ และทางนกแอร์ต้องมีเอกสารยืนยันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย เกิดการโต้เถียงกันอยู่พักนึงหญิงในชุดกาวน์จึงยินยอมเซ็นให้ และเดินลงจากเครื่องบินไปพร้อมเจ้าหน้าที่สนามบิน
ผมหันมองอาม่าที่ยังคงนอนราบอยู่กับที่นั่ง "นกแป้ง" พยายามเรียกชื่ออาม่าเพื่อให้ได้สติ แต่ดูเหมือนอ่าม่ายังเบลอๆ เธอและหญิงสาวอีกคนพยุงกายให้อาม่าลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้าซีดเซียว
"ดีขึ้นแล้วๆ หายแล้วเนาะเจ๊อี่" เสียงเพื่อนอาม่าตะโกนมาให้กำลังใจ
รอเวลาผ่านไปสัก 10 นาทีเพื่อให้อาม่าค่อยๆตั้งฟื้นตัว
"แอนนี่ว่าอาม่าไปนั่งกับแอนนี่ด้านหน้าดีกว่านะคะ เพื่อความสบายนะคะ" อาม่าผงกหัวตอบรับนกแอนนี่ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้มากนัก
ผ่านไปหลายนาที อาม่าลุกขึ้นเดินตามไปอย่างคล่องแคล่ว
"โอย หายเลี้ยวอีแบบนี้ เดินเร็วเชียว ไม่ต่องห่วงหายเลี้ยว" เพื่อนอาม่าแซว
ผ่านไปสักครู่นกแป้งเดินกลับมาแจ้งแก่กลุ่มอาม่าว่า จำเป็นต้องให้อาม่าพักอยู่ที่นี่ก่อน โดยจะเดินทางไปกับรถโรงพยาบาลที่จอดรออยู่ข้างล่าง เพราะอาการอาม่ายังไม่ค่อยดีนัก หากขึ้นไปแล้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำให้แย่ลงไปอีก และเป็นการตัดสินใจจากกัปตันแล้วด้วย
"ไม่ต้องห่วงนะคะเด๋ยวหนูไปกับอาม่าเอง ยังไงฝากช่วยๆกันดูกระเป๋าตอนที่ไปรับกันด้วยนะคะ กลัวตกหล่น" เสียงหัวหน้าทัวร์บอกกับลูกทัวร์
เสียงพูดคุยเริ่มดังขึ้นเมื่อผู้หวังดีบางคนอยากให้อาม่ากลับไปด้วยกัน แต่สุดท้ายแล้วก็ยินยอมให้อาม่าพักอยู่ที่นี่เพื่อความปลอดภัยของตัวอาม่าเอง แล้วจะโทรหาลูกๆให้มารับอาม่ากลับ
รถพยาบาลพาอาม่าและหัวหน้าทัวร์ออกจากรันเวย์ด้วยความเชื่องช้าในสายตาผม เพราะเวียดนามบังคับขับไม่เกิน 60/ชม.
ในระหว่างนั้นเพื่อนๆอาม่าต่างช่วยกันตรวจสอบสัมภาระของอาม่าที่เหลืออยู่ เพื่อไม่ให้ตกหล่นหลังจากลงเครื่องแล้ว
"ลื้อมานั่งนี้สิ นั่งอยู่คนเดียว"
มีการออกปากเชิญชวนเปลี่ยนที่นั่งเกิดขึ้นเพราะกลัวว่าเพื่อนที่นั่งเบาะติดกับอาม่าจะเหงา
"เมื่อกี้ผู้โดยสารย้ายจากที่นั่งไหนไปไหนคะ ปกติห้ามเปลี่ยนที่นั่งนะคะ เพราะว่าทางสายการบินมีการคำนวณเรื่องน้ำหนักไว้หมดแล้ว หากมีการย้ายที่นั่งจะมีผลค่ะ"
นกแป้งเข้ามาอธิบายให้ฟัง สุดท้ายเพื่อนอาม่าจึงเดินกลับมานั่งที่เดิม
"รบกวนผู้โดยสารทุกท่าน นั่งลงกับที่นะคะ เครื่องกำลังจะออกแล้วค่ะ"
"เออ ลื้อนั่งลงได้แล้ว นี่ไม่ใช่รถทัวร์นะ เดินไปเดินมา"
เสียงเพื่อนอาม่าหยอกล้อกัน สร้างเสียงหัวเราะคลายความตึงเครียด จนแสงไฟภายในเครื่องบินถูกปิดลงแสดงถึงความพร้อมที่จะบิน ทุกอย่างจึงเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ถูกเร่งขึ้น และล้อที่หมุนออกจากสนามบินเวลา 23.15 น.
เกือบ 3 ชม. จากกำหนดการเดิม ผมต้องถึงบ้านดึกขึ้น แต่สิ่งที่ผมได้พบเจอในวันนั้นจะเป็นสิ่งที่ผมไม่ลืมอย่างแน่นอน
ขอบคุณการตัดสินใจของกัปตัน
ขอบคุณสำหรับการแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าของ "นกแอนนี่" ที่ช่วยไฟ้ท์เพื่อทุกๆคน
ขอบคุณ "นกแป้ง"และเจ้าหน้าที่ทุกๆคน ที่คอยช่วยกันผู้หวังดี และคำอธิบายตลอดเวลาที่เกิดเหตุ
ขอบคุณหัวหน้าทัวร์ชื่อ "กบ" ที่แสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกทัวร์อย่างเต็มที่
ประสบการณ์ครั้งนี้มันทำให้ผมรู้ซึ้งถึงคำว่า อาชีพบริการนั้นไม่ง่ายเลย
สุดท้ายขอบคุณภรรยาผม ที่ทำให้เกิดทริปเที่ยวเวียดนาม จนทำให้เรามาเจอเหตุการณ์ประทับใจนี้