สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 26
คือยังงี้ หากกฎหมายต้องการให้นายกฯสนองพระบรมราชโองการ กฎหมายจะบอกไว้
คือหมายถึงรับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์
เช่น การแต่งตั้งนายกฯ ประธานสภาผู้แทนฯก็รับสนองฯ
การแต่งตั้ง ครม. ก็ให้นายกฯรับสนองฯ
แต่ พ.ร.บ.สงฆ์ การแต่งตั้งสังฆราชนี่ ไม่มีบอกไว้ว่าให้นายกฯรับสนอง
แค่ทูลเกล้าฯเท่านั้น หากมีการรับสนองก็แค่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ
คำว่า ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถร ผู้ตรวจการตีความแกล้งผิด
โดยบอกว่า ให้นายกรัฐมนตรี คือประธาน โดยความเห็นชอบของมหาเถร คือส่วนขายประธาน
ผิด
ประโยคนี้ เป็นประโยคคำสั่ง ไม่มีประธานของประโยค
คำว่า ให้ คือกริยาสั่ง (กระทำ) คำว่า นายกรัฐมนตรี คือกรรม (โดนกระทำ)
คำว่า โดยความเห็นชอบ คือคำขยายกรรมของประโยค
จึงหมายถึง ให้นายกฯทำตามมหาเถร ไม่ใช่มหาเถรทำตามนายกฯ
คือหมายถึงรับผิดชอบแทนพระมหากษัตริย์
เช่น การแต่งตั้งนายกฯ ประธานสภาผู้แทนฯก็รับสนองฯ
การแต่งตั้ง ครม. ก็ให้นายกฯรับสนองฯ
แต่ พ.ร.บ.สงฆ์ การแต่งตั้งสังฆราชนี่ ไม่มีบอกไว้ว่าให้นายกฯรับสนอง
แค่ทูลเกล้าฯเท่านั้น หากมีการรับสนองก็แค่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ
คำว่า ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถร ผู้ตรวจการตีความแกล้งผิด
โดยบอกว่า ให้นายกรัฐมนตรี คือประธาน โดยความเห็นชอบของมหาเถร คือส่วนขายประธาน
ผิด
ประโยคนี้ เป็นประโยคคำสั่ง ไม่มีประธานของประโยค
คำว่า ให้ คือกริยาสั่ง (กระทำ) คำว่า นายกรัฐมนตรี คือกรรม (โดนกระทำ)
คำว่า โดยความเห็นชอบ คือคำขยายกรรมของประโยค
จึงหมายถึง ให้นายกฯทำตามมหาเถร ไม่ใช่มหาเถรทำตามนายกฯ
แสดงความคิดเห็น
ก็จะไม่ให้บ้านเมืองเลอะเทอะได้อย่างไรล่ะครับ ก็ขนาดผู้ตรวจการแผ่นดินยังเลอะเทอะได้ขนาดนี้
ว่านายไพบูลย์ นิติตะวัน ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินให้ตีความ พ.ร.บ.สงฆ์ มาตรา 7
ว่าอำนาจการเสนอชื่อพระสังฆราช เป็นอำนาจของใคร ระหว่างนายกฯ กับ มหาเถรสมาคม
ซึ่งเรื่องนี้ มหาเถรสมาคม ได้มีสติเสนอชื่อสมเด็จช่วง ต่อนายกฯลุงตู่เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ เรียบร้อยแล้ว
แต่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เห็นว่าน่าจะเป็นอำนาจการเสนอชื่อของนายกฯ ไม่ใช่มหาเถรสมาคม
จึงได้ยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตีความ
และวันนี้ หวยก็ออกตามธง ผู้ตรวจการแผ่นดินก็ตีความว่า การที่มหาเถรสมาคมเป็นผู้เสนอชื่อนั้น ผิดขั้นตอน
เพราะขั้นตอนที่ถูกต้องคือ ให้นายกฯเสนอชื่อ แล้วส่งมหาเถรสมาคมให้ความเห็นชอบ
เห็นชอบแล้ว ส่งกลับมาหานายกฯอีกครั้ง เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ
เฮ้อออ... เลอะเทอะกันจริง ๆ
พ.ร.บ.สงฆ์ มาตรา 7 บัญญัติไว้ว่า
ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนา เป็นสมเด็จพระสังฆราช
นี่แหละครับที่ผู้ตรวจการแผ่นดินตีความว่า เป็นอำนาจนายกฯที่จะเสนอชื่อผู้เป็นสังฆราชองค์ใหม่
ไม่ใช่มหาเถรเป็นผู้เสนอชื่อ
ขี้เกียจถกแย้งเรื่องข้อกฎหมาย เรื่องการตีความกฎหมาย เบื่อ
ก็อย่างขนาดมาตรา 68 รธน.50 ที่บัญญัติชัด ๆ ว่าต้องยื่นเรื่องผ่านอัยการสูงสุด
ยังตีความกันหน้าตาเฉยว่าไม่ต้องผ่านอัยการสูงสุดก็ได้ ยื่นโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญเลยก็ได้
เขาก็ทำกันมาแล้ว ทำกันแบบผิดตัวบทรัฐธรรมนูญกันอย่างหน้าตาเฉยมาแล้ว
แต่มีประเด็นอยากถามผู้ตรวจการแผ่นดินว่า
การตีความอย่างนี้ แปลว่า หมายความว่า การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ก่อน ๆ ก็ผิดขั้นตอนใช่ไหม ?
ประเทศไทยมีสังฆราชที่ปลอม ๆ มาตั้งหลายรูปใช่ไหม ?
ผู้ตรวจการแผ่นดินตอบได้ไหมครับ ?
บ้านเมืองมันก็เลอะเทอะจนเละเทะเพราะอย่างนี้แหละครับ
พวกเดียวกันนี่แหละ ยื่นเรื่องกันไปชงเรื่องกันมา
ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ แล้วแต่จะตีความไป เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
จะโค่นล้มพรรคคู่แข่ง จะทำลายล้างทางการเมือง
จะให้เลือกตั้งเป็นโมฆะ จะให้ใครโดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง
จะนั่นจะนี่ ไอ้นี่ก็ยื่นต่อองค์กรนี้ ไอ้นั่นก็ยื่นเรื่องต่อองค์กรนั้น
แล้วก็ชี้ออกมาตามแผนการสมรู้ร่วมคิด
แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะบอกว่า นายกฯเป็นผู้เสนอ หรือมหาเถรสมาคมเสนอ
ก็จะเป็นใครไหนอื่นไม่ได้ นอกจากสมเด็จช่วง
เพราะกฎหมายล็อคเอาไว้แล้วว่า ต้องเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์
ซึ่งก็คือสมเด็จช่วง
กฎหมายทำกันมา ประเพณีทำกันมา แนวปฏิบัติทำกันมาตั้งแต่มี พ.ร.บ.สงฆ์ 2505 จนถึงปีนี้ 2559
ผ่านสังฆราชมาห้ารูป มาถึงวันนี้ กลายเป็นสังฆราชผิดขั้นตอนไปหมด เพราะผู้ตรวจการแผ่นดินตีความ
เฮ้อออ... ประเทศตู
อยากเลิกหล่อบ่ะ