ดิฉันมาโพสเพราะแค่อยากระบายชีวิตมนุษย์ลูกจ้างเท่านั้นค่ะ ไม่ได้ต้องการจะโปรโมทหรือทำร้ายผู้อื่น....
เริ่มต้นด้วยดิฉันเป็นเด็กจบป.ตรีใหม่ๆ แน่นอนว่าไม่มีประสบการณ์ บริษัทส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยรับเข้าทำงานหลอกค่ะ และเนื่องด้วยที่ดิฉันไม่ได้อยู่บ้านจึงต้องหางานทำด่วนๆเลย แล้วโชค(ดีหรือร้ายก็ไม่รู้)ก็เข้าข้างค่ะ พอดีว่าเพื่อนของพี่สาวเขาโพสเฟสบุ๊คว่าต้องการหาคนช่วยขายสลัด พี่สาวจึงมาบอกดิฉัน ดิฉันดีใจเป็นอย่างมากที่ได้งานทำ จึงรีบติดต่อกลับไป คุยกันเข้าใจคือ ร้านสลัดเป็นแบบฟู้ดทรัค หน้าที่ของดิฉันคือช่วยขายด้านล่าง ให้ชิมน้ำสลัด(ที่พี่เจ้าของร้านเขาทำเอง) ส่วนสลัดเป็นกล่อง สามารถเลือกTopping ได้(หน้าที่นี้เป็นของพี่เจ้าของร้านเป็นคนตักให้ลูกค้าค่ะ)...
ตอนแรกที่ตกลงกันคือทำงานวันจันทร์-วันเสาร์ 16.00-21.00 น. ค่าจ้างรายวัน 200/วัน พร้อมสลัดทานกลับบ้านอีกหนึ่งกล่อง ดิฉันเลยตกลงไปช่วยขาย
ช่วงแรกที่ขายสนุกค่ะ พี่เจ้าของร้านใจดีมากๆ อิฉันจึงชวนแฟนไปช่วยขายซึ่งไปช่วยฟรีนะคะ เพราะว่าพี่เจ้าของร้านเขาใจดีจริงๆ และดูเป็นนายจ้างที่ดี เช่น พี่เขาจะเลี้ยงข้าวตอนเย็น(แต่ดิฉันกับแฟนก็จ่ายเองนะคะ คือพี่เขาพยายามจะจ่ายเงินให้ แต่เกรงใจค่ะ), เลี้ยงน้ำ(เราซื้อมาเผื่อกันเสมอ เวลาพี่เขาไปซื้อน้ำ เขาก็จะซื้อเผื่อดิฉันกับแฟน และเวลาที่ดิฉันกับแฟนไปซื้อน้ำ ก็จะไปซื้อมาเผื่อพี่เขาค่ะ), เมื่อเลิกงานพี่เขาก็จะให้สลัดดิฉันกับแฟนกลับมาทานค่ะ มันอาจะดูเป็นอะไรที่ธรรมดามาก แต่ดิฉันคิดว่าพี่เขาดีกับเราจริงๆ และเนื่องด้วยแฟนเรียนอยู่ปี4แล้ว ไม่ค่อยมีเรียน ไม่อยากให้อยู่ว่าง จึงชวนมาช่วยดิฉันเฉยๆ บางวันขายได้เยอะ พี่เขาก็จะให้ค่าแรงเพิ่มค่ะ หรืออาจจะให้ค่าแรงแฟนของดิฉันด้วย จากนั้นไม่นาน การขายสลัดก็เริ่มซบเซาค่ะ พี่เขาเลยให้ดิฉันขึ้นมาตักสลัด และให้แฟนของดิฉันเป็นคนแนะนำน้ำสลัดให้ลูกค้า ส่วนพี่เขาจะทำDelivery คือขี่รถมอไซต์(ของดิฉัน)ไปส่งของ และให้ดิฉันกับแฟนเฝ้าร้านและขายของแทนค่ะ โดยให้ค่าน้ำมันรถวันละ 50 บาท และบางครั้งถ้าพี่เขาไปนานก็จะให้ค่าเฝ้าร้าน(ซึ่งตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าให้ทำไม แต่ให้ก็เอาค่ะ) และจากใจจริงๆคือ ดิฉันไม่อยากให้เอารถของดิฉันไปใช้ค่ะ จะว่าดิฉันใจแคบก็ได้ แต่เราไม่รู้ว่าคนที่เอารถไปใช้ เขาจะถนอมรถเราแค่ไหน ขี่ไปถึงไหน ค่าน้ำมัน+ค่าเครื่องที่ต้องนำไปเช็คทุกเดือนก็เกินค่าน้ำมันที่ให้แล้วค่ะ แล้วรถคันนั้นดิฉันซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงดิฉันเองค่ะ แต่ก็พูดไม่ได้เพราะพี่เขาบอกว่ามีแต่รถยนต์ที่เอามาขายของ และไม่มีมอไซต์เลย หลังจากนั้นพี่เขาก็เริ่มาขายของช้า บ้างก็บอกให้มาเร็วหน่อย(ซึ่งบอกกระทันหัน) บ้างก็มาบอกว่าไม่ขาย(ซึ่งก็มาบอกกระทันหันเช่นกัน เช่น ขายของ4โมง มาบอกตอนบ่ายโมง) และจากนั้น ก็เริ่มไม่ให้ค่าเฝ้าร้านค่ะ คืออันนี้ไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือ จะออกไปไหนก็ไปค่ะ เช่นเวลาแฟนพี่เขามาจากที่ทำงานก็พากันไปกินข้าว บ้างก็บอกว่าไปซื้อของ ซึ่งหายไปเป็นชม.ๆ ค่ะ(บางวันดิฉันไปทำงานคนเดียวนะคะ แต่ก็หายกันไปค่ะ ดิฉันก็ต้องขายคนเดียวทั้งตักสลัดและให้ลูกค้าชิมน้ำสลัด)พอบอกพี่เขาว่าขายของไม่ทัน พี่เขาก็บอกประมาณว่า ที่ต้องออกไปซื้อของแล้วทิ้งให้ดิฉันอยู่ร้านคนเดียวนั้น เพราะเชตของมาคนเดียวและทำน้ำสลัดทั้งวันเลยไม่มีเวลาไปซื้องของ เลยต้องไปซื้อตอนที่มาเปิดร้านค่ะ
ต่อมาไม่นาน ก็มีเทศกิจมาตักเตือนเรื่องที่ขายค่ะ เพราะเราขายของกันอยู่ข้างถนนใหญ่(ซึ่งมันผิดกฎหมายจริงๆอะแหละ พี่เจ้าของร้านเขาไปศึกษามาแล้ว) และบวกกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใกล้สิ้นปี จึงไม่ค่อยมีลูกค้าค่ะ พี่เจ้าของร้านจึงตกลงว่าจะหาที่ขายใหม่ ซึ่งถัดจากที่ขายเก่าไปประมาณหนึ่ง แต่อยู่ในซอย และจะมาขายในตืนเดือน ของเดือนมกราคมของปีที่กำลังจะมาถึง ซึ่งต้องปิดไปประมาณ 2 อาทิตย์ ในช่วงเวลาที่ปิดไปนั้น พเขาบอกว่าจะทำการปรับปรุงสถานที่ใหม่ให้เปิดทำการขายได้ และทำเมนูใหม่เพิ่มเติมค่ะ ซึ่งดิฉันก็โอเค.....
ซึ่งเวลาที่ปิดไป ดิฉันก็อยากหางานทำประจำนะคะ แต่ติดด้วยที่พี่เขา(ส่วนมาก)จะดีกับเรา และกลัวว่า ถ้าเปิดร้านใหม่จะไม่มีคนช่วยขายค่ะ แลกกับค่าแรงวันละ200บาท ก็พอจ่ายค่าหอที่อยู่ และมีสลัดให้กิน ก็พอที่จะประทังชีวิตไป จึงตัดสินใจแค่สมัครงาน แต่ไม่ไปสัมภาษณ์งาน ระหว่างที่กำลังปรับปรุงร้านใหม่อยู่ จนเวลาล่วงเลยไปตามที่ตกลงกันไว้คือ 2 อาทิตย์ ดิฉันจึงสอบถามเรื่องร้านใหม่ก็บอกว่า ยังไม่เรียบร้อย เรื่องบ้านเลขที่ ที่เอาไว้ขอน้ำขอไฟบ้าง โต้ะบ้าง ของใช้บ้าง เมนูอาหารบ้าง ฯลฯ ขอเลื่อนเวลาเปิดไปอีกประมาณ 3 วัน พอ3วันผ่านมา ก็สอบถามอีก ก็ตอบกลับมาเหมือนเดิมและยังบอกอีกว่า ไม่มีกำหนดเปิด เพราะทำอยู่คนเดียว จนเวลาล่วงเลยจากที่ตกลงกันไว้ 2 อาทิตย์ เป็น 3 อาทิตย์ จากเงินเก็บที่ดิฉันพอมีอยู่บ้าง ก็เริ่มร่อยหรอจนเกือบหมด ดิฉันจึงโพสลงเฟสบุ๊คของตนเองด้วยความโมโห พี่เขาก็เข้ามาอ่านนะคะ พอ1-2 วันต่อมาก็มาบอกว่า ให้มาที่บ้าน มาช่วยทาแลคเกอร์โต๊ะ และช่วยลองคิดเมนูอาหารใหม่ด้วย ซึ่งขี่รถไปไกลพอสมควรค่ะ นัดกันไปตอนเที่ยงๆ ไอเราก็ไปนะคะ และคุยเรื่องการทำงานว่าถ้าร้านเปิดใหม่ จะเปิดเป็น2เวลาคือ 09.00-13.00 และ 16.00-21.00 คนที่มาทำงานก็ต้องมาตั้งแต่08.00-22.00 น. ซึ่งก่อนหน้านั้นก็คุยเรื่องนี้กันแล้ว แล้วดิฉันก็บอกไปแล้วว่าไม่สะดวก ถ้าให้มาทำงานตั้งแต่08.00 เพราะมันเช้าและกลัวมาไม่ตรงเวลา อาจจะมีการไม่พอใจ ขอไปทำบ่ายโมงได้ไหม พี่เขาก็บอกว่า ขอปรึกษาแฟนและพี่สาวแฟนก่อน(ที่พี่เขาบอกว่าจะมาช่วยทำครัว) และเรื่องก็เงียบหายไป จนวันที่ไปทดลองทำเมนูใหม่อะค่ะ กลับบอกว่าให้ดิฉันมาทำงาน8โมง ซึ่งดิฉันก้บอกไปอีกรอบว่าไม่สะดวก.
สุดท้ายวันนั้นก็ไม่ได้ค่าแรงอะไรนะค่ะ ให้ค่าน้ำมันที่ฝากซื้อของและมาที่นั่น 80 บาท ตอนที่ลองทำเมนูและคิดราคา อิฉันก็เสนอแนะเต็มที่ แต่ก็มีข้อโต้แย้งตลอด และหนึ่งข้อที่ดิฉันเสนอไป แล้วทำให้รู้ว่าไม่ควรจะเสนออะไรอีก คือ การทำเมนูใหม่ทำแล้วก็ควรถ่ายรูปเพื่อไปติดที่ร้านใหม่ เพราะลูกค้าจะนึกภาพไม่ออกค่ะ แต่พี่เขากลับตอบว่า "ต้องใช้การอธิบายไปก่อนอะครับน้อง เพราะแค่นี้ก็ค่าใช้จ่ายเยอะมากแล้ว...."
จากนั้น 2-3 วัน พี่เขาก้พิมมาทางไลน์ บอกว่าให้มาเริ่มงานเวลา 16.00-21.00 เหมือนตอนที่ขายก่อนหน้านี้ และมีหน้าที่ขายและเก็บเงินเท่านั้น ของก็ไม่ต้องช่วยเก็บ และไม่ต้องมาจัดร้าน ที่ร้านใหม่จะหุงข้าวและทำกับข้าวให้กินฟรีค่ะ ค่าแรงเท่าเดิม และในส่วนของแฟนดิฉันไม่ขอจ้างแล้ว เพราะต้องจ้างแม่ครัวมาเพิ่มอีกหนึ่งคน และเนื่องด้วยแฟนของดิฉันติดธุระ มาช่วยบ้างไม่มาบ้าง... ดิฉันก็บอกแฟนแล้ว แต่แฟนของดิฉันก็อาสาจะมาช่วยดิฉันฟรี! เพราะกลัวดิฉันเหนื่อย
อ้อ! แล้วเหตุผลที่จ้างแม่ครัวอีกคนหนึ่งคือ เพราะหลังจากที่พี่เขาซื้อของตอนเช้าเสร็จ จะกลับไปทำน้ำสลัดที่บ้าน(ซึ่งไกลจากร้านที่ขายมากพอสมควร) และจะกลับมาที่ร้านอีกทีช่วงเย็นๆ(เพื่อ!?) ส่วนเรื่องDeliveryก็ขอหยุดไปก่อน
ตกลงจากที่ปิดร้านไป จนเปิดร้านใหม่ คือประมาณ1เดือนเต็มค่ะ.....
วันที่มาทำงานวันแรกๆ แฟนของดิฉันติดธุระอยู่ต่างจังหวัง จึงมาช่วยไม่ได้ แต่ที่ร้านก็เต็มไปด้วยการช่วยเหลือกัน ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง เวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ น้ำสลัดเริ่มหมด ถึงเวลาต้องไปทำน้ำสลัดที่บ้าน ดิฉันก็เลยเสนอว่า ให้เอามาทำที่นี่ จะขี่รถกลับไปกลับมาทำไม พี่เขาก็รับฟังนะคะ....
ร้านที่เปิดใหม่ ลูกค้าก็ยังไม่ค่อยรู้จัก ดิฉันจึงได้นั่งคุยกับแม่ครัวที่ร้าน ซึ่งมันว่างมากและไปไหนไม่ได้ เวลาก็นานรวมๆ14ชม. ได้ค่าแรง500.-/วัน และบางวันก็ไม่มีข้าวให้กินค่ะ....
จากนั้นอะไรๆก็เริ่มเลวร้ายลง จากที่ไม่มีข้าวให้กินบางวัน ก็ไม่มีให้กินเกือบทุกวัน มีอยู่วันหนึ่งพี่เขาออกไปข้างนอกกับแฟนนานเป็นชม..ๆเหมือนเดิม(โชคดีที่แฟนของดิฉันกลับมาช่วยแล้วค่ะ) วันนั้นเป็นวันที่มีลูกค้าน้อยมาก พอถึงเวลาเก็บร้านนับเงิน พี่เขากลับพูดขึ้นมาว่า "ทำไมเงินได้แค่นี้ พี่เห็นว่ามีลูกค้าเยอะอยู่นะ" คือมีลูกค้าค่ะ แต่เขามานั่งทานและนั่งนานพอสมควร และพี่เขาก็ถามอีกวา ที่เชคว่าขายได้กี่กล่อง ก็ได้จำนวนเยอะแต่ทำไมเงินน้อย ดิฉันก็เเจ้งว่า รวมกับที่ให้สลัดดิฉันกับแฟนกลับไปกินคนละกล่อง และของพี่สาวแฟนพี่เจ้าของร้านอีก 4 กล่อง พี่เขาจึงบอกว่า ต่อจากนี้ให้นับกล่องขายวันละ20กล่อง.- พอเช้าวันต่อมา พอดีว่าย่าของแฟนไม่สบายค่ะ ดิฉันและแฟนจึงต้องไปเยี่ยมแบบกระทันหันที่ต่างงจังหวัด ซึ่งเดินทางเป็นเวลา3ชม. ตอนแรกดิฉันคิดว่ากลับมาทันขายของ4โมงแน่นอน แต่พอเอาเข้าจริงเวลาบ่ายโมงก็ยังอยู่ที่รพ. อยู่เลยค่ะ ดิฉันจึงแจ้งไปทางพี่เจ้าของร้านตอนนั้นเลย ว่าไปต่างจังหวัง เพราะย่าของแฟนไม่สบาย กลับไปขายของไม่ทัน(แต่ประโยคสุดท้ายนี้ ส่งไปไม่ถึงเพราะสัญญาณไม่ค่อยมี และที่รพ.ยุ่งๆอยู่ด้วยไม่ได้สนใจอะไร) พอมาดูอีกทีคือตอนกลับจากต่างจังหวัดแล้วค่ะ แฟนของดิฉันบอกว่า พี่เจ้าของร้านโพสด่าลูกจ้างลงเฟสบุ๊คของตนเอง ขึ้นๆกูๆในตอนเช้า แต่พอเข้าไปดูในไลน์ที่แจ้งพี่เขาไป พี่เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมานะคะ ขึ้นแค่ว่า"อ่านแล้ว"
พอกลับมาถึงบ้านแฟน ก็จัดของกลับมาที่บ้านของดิฉัน พอถึงบ้านดิฉันก็เย็นมากแล้วประมาณ1ทุ่ม พ่อของดิฉันก็ยังไม่ได้ทานข้าว เลยไปซื้อข้าวที่ร้านประจำค่ะ พี่ที่ร้านขายข้าวก็ถามว่าไม่ทำงานหรอ ดิฉันก็ตอบไปตามตรงค่ะ ว่าไปธุระต่างจังหวัด และกลับมาไม่ทัน แล้วก็ซื้อข้าวกลับไปให้พ่อทานตามปกติ แต่พอตอนกลับจากบ้านของดิฉัน. ดิฉันกับแฟนก็แวะกินข้าวที่ร้านนม และเชคดินตามประสา พอกลับมาถึงหอ พี่เจ้าของร้านสลัดกลับบอกว่า ไม่ต้องมาทำงานแล้ว ตอนนั้นดิฉันทั้งงง ทั้งโกรธมาก เลยโทรมาถามและเคลียร์กับพี่เจ้าของร้าน สรุปคือแม่ครัวที่เพิ่งรับเข้าทำงานไม่มาทำงานและไม่มีการโทรแจ้งใดๆในตอนเช้า จึงโมโหโพสเฟสบุ๊คแบบนั้นไป และดิฉัน(ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรเลย)ไลน์ไปขอลาหยุด เลยโมโหเข้าไปอีก แต่สรุปแล้วก็คือให้กลับไปทำงาน โดยพรุ่งนี้เช้าให้มาคุยกันที่ร้าน
พอเช้าวันรุ่งขึ้น ดิฉันไปทำงานที่ร้านตามปกติ พี่เขาก็มานั่งปรับทรรศนคติกัน ได้ใจความว่า พี่เขาไม่ค่อยพอใจตั้งแต่ดิฉันปฏิเสธที่จะไม่ไปทำงานตั้งแต่8โมงเช้าแล้ว แต่เห็นว่าทำงานดี จึงให้ทำงานต่อได้ ส่วนของแฟนดิฉันจะไม่ขอจ้างตามที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ แต่ถ้ามาช่วยจะ"ขอบใจมาก ถือว่ามีน้ำใจ"

ซึ่งอันนี้ดิฉันก็เข้าใจค่ะ แต่ที่แฟนมาช่วยดิฉัน เพราะดิฉันทำงานคนเดียวและแฟนของดิฉันก็ว่าง) เรื่องสลัดไม่ให้เอากลับไปทานแต่ให้ทานได้ที่ร้าน เรื่องการแต่งกาย ให้ใส่ให้มิดชิดและมีผ้ากันเปื้อน เรื่องการทำงานคือมาทำงาน16.00-21.00 ไม่ต้องเก็บร้านก็ได้(ซึ่งดิฉันก็ช่วยเก็บ เพราะมันเป็นส่วนที่ดิฉันขาย) และเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานซึ่งเป็นผลพลอยได้มาจากที่แม่ครัวหายไปค่ะ และอยู่ดีดีดิฉันก็ลางานโดยไม่บอกก่อนล่วงหน้าด้วย(ญาติผู้ใหญ่ป่วยนี่รู้ล่วงหน้าได้หรอคะ) ซึ่งก็ถึงเวลาที่ดิฉันพูดบ้าง ดิฉันก็บอกว่าที่ดิฉันไม่สะดวกมาทำงานเช้า ก็บอกเหตุผลไปแล้ว เรื่องที่แฟนมาช่วยขาย ดิฉันก็บอกว่าแจ้งแล้ว แต่แฟนจะมาช่วยดิฉันในเวลาที่ว่าง แล้วก็เรื่องเมนูอาหารให้อธิบายลูกค้า ลูกค้านึกไม่ออกค่ะ ช่วยทำเมนูใหม่และปริ้นรูปออกมาแปะดีกว่า พี่เขาก็ตอบกลับมาว่า"จะถ่ายรูปเมนูนั้นๆ เมื่อลูกค้าสั่ง" และดิฉันยังช่วยคิดเรื่องพวกโปรโมชั่นเชคอินและการโพสเฟสบุ๊ค การปิดร้านก็ควรบอกลูกค้า การแจกนามบัตร แต่ทุกเรื่องก็โดนสวนกลับมาหมดเลยค่ะ โดยเหตุผลคือพี่เขาเรียนนิเทศป.ตรีมาทางด้านสื่อ และยังเรียนป.โทด้านสื่อมาทางด้านสื่ออีกเช่นกัน จึงคิดได้ว่าไม่ควรพูด หรือแย้ง หรือเสนอแนะอะไร
ต่อมาอิฉันก็ทำงานไปเรื่อยๆค่ะ แต่แฟนของดิฉันเขาติดเรียนเลยไม่ได้มาช่วย ช่วยอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ขายดีนะคะ แต่พี่เจ้าของร้านไม่อยู่ค่ะ แม่ครัวก็เหลือคนเดียว(หลังจากที่เกิดเรื่อง พี่เจ้าของร้านก็ไล่แม่ครัวคนนั้นออกไปเลยค่ะ) ............. มีต่อๆๆๆๆๆ....
ชีวิตมนุษย์ลูกจ้าง
เริ่มต้นด้วยดิฉันเป็นเด็กจบป.ตรีใหม่ๆ แน่นอนว่าไม่มีประสบการณ์ บริษัทส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยรับเข้าทำงานหลอกค่ะ และเนื่องด้วยที่ดิฉันไม่ได้อยู่บ้านจึงต้องหางานทำด่วนๆเลย แล้วโชค(ดีหรือร้ายก็ไม่รู้)ก็เข้าข้างค่ะ พอดีว่าเพื่อนของพี่สาวเขาโพสเฟสบุ๊คว่าต้องการหาคนช่วยขายสลัด พี่สาวจึงมาบอกดิฉัน ดิฉันดีใจเป็นอย่างมากที่ได้งานทำ จึงรีบติดต่อกลับไป คุยกันเข้าใจคือ ร้านสลัดเป็นแบบฟู้ดทรัค หน้าที่ของดิฉันคือช่วยขายด้านล่าง ให้ชิมน้ำสลัด(ที่พี่เจ้าของร้านเขาทำเอง) ส่วนสลัดเป็นกล่อง สามารถเลือกTopping ได้(หน้าที่นี้เป็นของพี่เจ้าของร้านเป็นคนตักให้ลูกค้าค่ะ)...
ตอนแรกที่ตกลงกันคือทำงานวันจันทร์-วันเสาร์ 16.00-21.00 น. ค่าจ้างรายวัน 200/วัน พร้อมสลัดทานกลับบ้านอีกหนึ่งกล่อง ดิฉันเลยตกลงไปช่วยขาย
ช่วงแรกที่ขายสนุกค่ะ พี่เจ้าของร้านใจดีมากๆ อิฉันจึงชวนแฟนไปช่วยขายซึ่งไปช่วยฟรีนะคะ เพราะว่าพี่เจ้าของร้านเขาใจดีจริงๆ และดูเป็นนายจ้างที่ดี เช่น พี่เขาจะเลี้ยงข้าวตอนเย็น(แต่ดิฉันกับแฟนก็จ่ายเองนะคะ คือพี่เขาพยายามจะจ่ายเงินให้ แต่เกรงใจค่ะ), เลี้ยงน้ำ(เราซื้อมาเผื่อกันเสมอ เวลาพี่เขาไปซื้อน้ำ เขาก็จะซื้อเผื่อดิฉันกับแฟน และเวลาที่ดิฉันกับแฟนไปซื้อน้ำ ก็จะไปซื้อมาเผื่อพี่เขาค่ะ), เมื่อเลิกงานพี่เขาก็จะให้สลัดดิฉันกับแฟนกลับมาทานค่ะ มันอาจะดูเป็นอะไรที่ธรรมดามาก แต่ดิฉันคิดว่าพี่เขาดีกับเราจริงๆ และเนื่องด้วยแฟนเรียนอยู่ปี4แล้ว ไม่ค่อยมีเรียน ไม่อยากให้อยู่ว่าง จึงชวนมาช่วยดิฉันเฉยๆ บางวันขายได้เยอะ พี่เขาก็จะให้ค่าแรงเพิ่มค่ะ หรืออาจจะให้ค่าแรงแฟนของดิฉันด้วย จากนั้นไม่นาน การขายสลัดก็เริ่มซบเซาค่ะ พี่เขาเลยให้ดิฉันขึ้นมาตักสลัด และให้แฟนของดิฉันเป็นคนแนะนำน้ำสลัดให้ลูกค้า ส่วนพี่เขาจะทำDelivery คือขี่รถมอไซต์(ของดิฉัน)ไปส่งของ และให้ดิฉันกับแฟนเฝ้าร้านและขายของแทนค่ะ โดยให้ค่าน้ำมันรถวันละ 50 บาท และบางครั้งถ้าพี่เขาไปนานก็จะให้ค่าเฝ้าร้าน(ซึ่งตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าให้ทำไม แต่ให้ก็เอาค่ะ) และจากใจจริงๆคือ ดิฉันไม่อยากให้เอารถของดิฉันไปใช้ค่ะ จะว่าดิฉันใจแคบก็ได้ แต่เราไม่รู้ว่าคนที่เอารถไปใช้ เขาจะถนอมรถเราแค่ไหน ขี่ไปถึงไหน ค่าน้ำมัน+ค่าเครื่องที่ต้องนำไปเช็คทุกเดือนก็เกินค่าน้ำมันที่ให้แล้วค่ะ แล้วรถคันนั้นดิฉันซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงดิฉันเองค่ะ แต่ก็พูดไม่ได้เพราะพี่เขาบอกว่ามีแต่รถยนต์ที่เอามาขายของ และไม่มีมอไซต์เลย หลังจากนั้นพี่เขาก็เริ่มาขายของช้า บ้างก็บอกให้มาเร็วหน่อย(ซึ่งบอกกระทันหัน) บ้างก็มาบอกว่าไม่ขาย(ซึ่งก็มาบอกกระทันหันเช่นกัน เช่น ขายของ4โมง มาบอกตอนบ่ายโมง) และจากนั้น ก็เริ่มไม่ให้ค่าเฝ้าร้านค่ะ คืออันนี้ไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือ จะออกไปไหนก็ไปค่ะ เช่นเวลาแฟนพี่เขามาจากที่ทำงานก็พากันไปกินข้าว บ้างก็บอกว่าไปซื้อของ ซึ่งหายไปเป็นชม.ๆ ค่ะ(บางวันดิฉันไปทำงานคนเดียวนะคะ แต่ก็หายกันไปค่ะ ดิฉันก็ต้องขายคนเดียวทั้งตักสลัดและให้ลูกค้าชิมน้ำสลัด)พอบอกพี่เขาว่าขายของไม่ทัน พี่เขาก็บอกประมาณว่า ที่ต้องออกไปซื้อของแล้วทิ้งให้ดิฉันอยู่ร้านคนเดียวนั้น เพราะเชตของมาคนเดียวและทำน้ำสลัดทั้งวันเลยไม่มีเวลาไปซื้องของ เลยต้องไปซื้อตอนที่มาเปิดร้านค่ะ
ต่อมาไม่นาน ก็มีเทศกิจมาตักเตือนเรื่องที่ขายค่ะ เพราะเราขายของกันอยู่ข้างถนนใหญ่(ซึ่งมันผิดกฎหมายจริงๆอะแหละ พี่เจ้าของร้านเขาไปศึกษามาแล้ว) และบวกกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใกล้สิ้นปี จึงไม่ค่อยมีลูกค้าค่ะ พี่เจ้าของร้านจึงตกลงว่าจะหาที่ขายใหม่ ซึ่งถัดจากที่ขายเก่าไปประมาณหนึ่ง แต่อยู่ในซอย และจะมาขายในตืนเดือน ของเดือนมกราคมของปีที่กำลังจะมาถึง ซึ่งต้องปิดไปประมาณ 2 อาทิตย์ ในช่วงเวลาที่ปิดไปนั้น พเขาบอกว่าจะทำการปรับปรุงสถานที่ใหม่ให้เปิดทำการขายได้ และทำเมนูใหม่เพิ่มเติมค่ะ ซึ่งดิฉันก็โอเค.....
ซึ่งเวลาที่ปิดไป ดิฉันก็อยากหางานทำประจำนะคะ แต่ติดด้วยที่พี่เขา(ส่วนมาก)จะดีกับเรา และกลัวว่า ถ้าเปิดร้านใหม่จะไม่มีคนช่วยขายค่ะ แลกกับค่าแรงวันละ200บาท ก็พอจ่ายค่าหอที่อยู่ และมีสลัดให้กิน ก็พอที่จะประทังชีวิตไป จึงตัดสินใจแค่สมัครงาน แต่ไม่ไปสัมภาษณ์งาน ระหว่างที่กำลังปรับปรุงร้านใหม่อยู่ จนเวลาล่วงเลยไปตามที่ตกลงกันไว้คือ 2 อาทิตย์ ดิฉันจึงสอบถามเรื่องร้านใหม่ก็บอกว่า ยังไม่เรียบร้อย เรื่องบ้านเลขที่ ที่เอาไว้ขอน้ำขอไฟบ้าง โต้ะบ้าง ของใช้บ้าง เมนูอาหารบ้าง ฯลฯ ขอเลื่อนเวลาเปิดไปอีกประมาณ 3 วัน พอ3วันผ่านมา ก็สอบถามอีก ก็ตอบกลับมาเหมือนเดิมและยังบอกอีกว่า ไม่มีกำหนดเปิด เพราะทำอยู่คนเดียว จนเวลาล่วงเลยจากที่ตกลงกันไว้ 2 อาทิตย์ เป็น 3 อาทิตย์ จากเงินเก็บที่ดิฉันพอมีอยู่บ้าง ก็เริ่มร่อยหรอจนเกือบหมด ดิฉันจึงโพสลงเฟสบุ๊คของตนเองด้วยความโมโห พี่เขาก็เข้ามาอ่านนะคะ พอ1-2 วันต่อมาก็มาบอกว่า ให้มาที่บ้าน มาช่วยทาแลคเกอร์โต๊ะ และช่วยลองคิดเมนูอาหารใหม่ด้วย ซึ่งขี่รถไปไกลพอสมควรค่ะ นัดกันไปตอนเที่ยงๆ ไอเราก็ไปนะคะ และคุยเรื่องการทำงานว่าถ้าร้านเปิดใหม่ จะเปิดเป็น2เวลาคือ 09.00-13.00 และ 16.00-21.00 คนที่มาทำงานก็ต้องมาตั้งแต่08.00-22.00 น. ซึ่งก่อนหน้านั้นก็คุยเรื่องนี้กันแล้ว แล้วดิฉันก็บอกไปแล้วว่าไม่สะดวก ถ้าให้มาทำงานตั้งแต่08.00 เพราะมันเช้าและกลัวมาไม่ตรงเวลา อาจจะมีการไม่พอใจ ขอไปทำบ่ายโมงได้ไหม พี่เขาก็บอกว่า ขอปรึกษาแฟนและพี่สาวแฟนก่อน(ที่พี่เขาบอกว่าจะมาช่วยทำครัว) และเรื่องก็เงียบหายไป จนวันที่ไปทดลองทำเมนูใหม่อะค่ะ กลับบอกว่าให้ดิฉันมาทำงาน8โมง ซึ่งดิฉันก้บอกไปอีกรอบว่าไม่สะดวก.
สุดท้ายวันนั้นก็ไม่ได้ค่าแรงอะไรนะค่ะ ให้ค่าน้ำมันที่ฝากซื้อของและมาที่นั่น 80 บาท ตอนที่ลองทำเมนูและคิดราคา อิฉันก็เสนอแนะเต็มที่ แต่ก็มีข้อโต้แย้งตลอด และหนึ่งข้อที่ดิฉันเสนอไป แล้วทำให้รู้ว่าไม่ควรจะเสนออะไรอีก คือ การทำเมนูใหม่ทำแล้วก็ควรถ่ายรูปเพื่อไปติดที่ร้านใหม่ เพราะลูกค้าจะนึกภาพไม่ออกค่ะ แต่พี่เขากลับตอบว่า "ต้องใช้การอธิบายไปก่อนอะครับน้อง เพราะแค่นี้ก็ค่าใช้จ่ายเยอะมากแล้ว...."
จากนั้น 2-3 วัน พี่เขาก้พิมมาทางไลน์ บอกว่าให้มาเริ่มงานเวลา 16.00-21.00 เหมือนตอนที่ขายก่อนหน้านี้ และมีหน้าที่ขายและเก็บเงินเท่านั้น ของก็ไม่ต้องช่วยเก็บ และไม่ต้องมาจัดร้าน ที่ร้านใหม่จะหุงข้าวและทำกับข้าวให้กินฟรีค่ะ ค่าแรงเท่าเดิม และในส่วนของแฟนดิฉันไม่ขอจ้างแล้ว เพราะต้องจ้างแม่ครัวมาเพิ่มอีกหนึ่งคน และเนื่องด้วยแฟนของดิฉันติดธุระ มาช่วยบ้างไม่มาบ้าง... ดิฉันก็บอกแฟนแล้ว แต่แฟนของดิฉันก็อาสาจะมาช่วยดิฉันฟรี! เพราะกลัวดิฉันเหนื่อย
อ้อ! แล้วเหตุผลที่จ้างแม่ครัวอีกคนหนึ่งคือ เพราะหลังจากที่พี่เขาซื้อของตอนเช้าเสร็จ จะกลับไปทำน้ำสลัดที่บ้าน(ซึ่งไกลจากร้านที่ขายมากพอสมควร) และจะกลับมาที่ร้านอีกทีช่วงเย็นๆ(เพื่อ!?) ส่วนเรื่องDeliveryก็ขอหยุดไปก่อน
ตกลงจากที่ปิดร้านไป จนเปิดร้านใหม่ คือประมาณ1เดือนเต็มค่ะ.....
วันที่มาทำงานวันแรกๆ แฟนของดิฉันติดธุระอยู่ต่างจังหวัง จึงมาช่วยไม่ได้ แต่ที่ร้านก็เต็มไปด้วยการช่วยเหลือกัน ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง เวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ น้ำสลัดเริ่มหมด ถึงเวลาต้องไปทำน้ำสลัดที่บ้าน ดิฉันก็เลยเสนอว่า ให้เอามาทำที่นี่ จะขี่รถกลับไปกลับมาทำไม พี่เขาก็รับฟังนะคะ....
ร้านที่เปิดใหม่ ลูกค้าก็ยังไม่ค่อยรู้จัก ดิฉันจึงได้นั่งคุยกับแม่ครัวที่ร้าน ซึ่งมันว่างมากและไปไหนไม่ได้ เวลาก็นานรวมๆ14ชม. ได้ค่าแรง500.-/วัน และบางวันก็ไม่มีข้าวให้กินค่ะ....
จากนั้นอะไรๆก็เริ่มเลวร้ายลง จากที่ไม่มีข้าวให้กินบางวัน ก็ไม่มีให้กินเกือบทุกวัน มีอยู่วันหนึ่งพี่เขาออกไปข้างนอกกับแฟนนานเป็นชม..ๆเหมือนเดิม(โชคดีที่แฟนของดิฉันกลับมาช่วยแล้วค่ะ) วันนั้นเป็นวันที่มีลูกค้าน้อยมาก พอถึงเวลาเก็บร้านนับเงิน พี่เขากลับพูดขึ้นมาว่า "ทำไมเงินได้แค่นี้ พี่เห็นว่ามีลูกค้าเยอะอยู่นะ" คือมีลูกค้าค่ะ แต่เขามานั่งทานและนั่งนานพอสมควร และพี่เขาก็ถามอีกวา ที่เชคว่าขายได้กี่กล่อง ก็ได้จำนวนเยอะแต่ทำไมเงินน้อย ดิฉันก็เเจ้งว่า รวมกับที่ให้สลัดดิฉันกับแฟนกลับไปกินคนละกล่อง และของพี่สาวแฟนพี่เจ้าของร้านอีก 4 กล่อง พี่เขาจึงบอกว่า ต่อจากนี้ให้นับกล่องขายวันละ20กล่อง.- พอเช้าวันต่อมา พอดีว่าย่าของแฟนไม่สบายค่ะ ดิฉันและแฟนจึงต้องไปเยี่ยมแบบกระทันหันที่ต่างงจังหวัด ซึ่งเดินทางเป็นเวลา3ชม. ตอนแรกดิฉันคิดว่ากลับมาทันขายของ4โมงแน่นอน แต่พอเอาเข้าจริงเวลาบ่ายโมงก็ยังอยู่ที่รพ. อยู่เลยค่ะ ดิฉันจึงแจ้งไปทางพี่เจ้าของร้านตอนนั้นเลย ว่าไปต่างจังหวัง เพราะย่าของแฟนไม่สบาย กลับไปขายของไม่ทัน(แต่ประโยคสุดท้ายนี้ ส่งไปไม่ถึงเพราะสัญญาณไม่ค่อยมี และที่รพ.ยุ่งๆอยู่ด้วยไม่ได้สนใจอะไร) พอมาดูอีกทีคือตอนกลับจากต่างจังหวัดแล้วค่ะ แฟนของดิฉันบอกว่า พี่เจ้าของร้านโพสด่าลูกจ้างลงเฟสบุ๊คของตนเอง ขึ้นๆกูๆในตอนเช้า แต่พอเข้าไปดูในไลน์ที่แจ้งพี่เขาไป พี่เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมานะคะ ขึ้นแค่ว่า"อ่านแล้ว"
พอกลับมาถึงบ้านแฟน ก็จัดของกลับมาที่บ้านของดิฉัน พอถึงบ้านดิฉันก็เย็นมากแล้วประมาณ1ทุ่ม พ่อของดิฉันก็ยังไม่ได้ทานข้าว เลยไปซื้อข้าวที่ร้านประจำค่ะ พี่ที่ร้านขายข้าวก็ถามว่าไม่ทำงานหรอ ดิฉันก็ตอบไปตามตรงค่ะ ว่าไปธุระต่างจังหวัด และกลับมาไม่ทัน แล้วก็ซื้อข้าวกลับไปให้พ่อทานตามปกติ แต่พอตอนกลับจากบ้านของดิฉัน. ดิฉันกับแฟนก็แวะกินข้าวที่ร้านนม และเชคดินตามประสา พอกลับมาถึงหอ พี่เจ้าของร้านสลัดกลับบอกว่า ไม่ต้องมาทำงานแล้ว ตอนนั้นดิฉันทั้งงง ทั้งโกรธมาก เลยโทรมาถามและเคลียร์กับพี่เจ้าของร้าน สรุปคือแม่ครัวที่เพิ่งรับเข้าทำงานไม่มาทำงานและไม่มีการโทรแจ้งใดๆในตอนเช้า จึงโมโหโพสเฟสบุ๊คแบบนั้นไป และดิฉัน(ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรเลย)ไลน์ไปขอลาหยุด เลยโมโหเข้าไปอีก แต่สรุปแล้วก็คือให้กลับไปทำงาน โดยพรุ่งนี้เช้าให้มาคุยกันที่ร้าน
พอเช้าวันรุ่งขึ้น ดิฉันไปทำงานที่ร้านตามปกติ พี่เขาก็มานั่งปรับทรรศนคติกัน ได้ใจความว่า พี่เขาไม่ค่อยพอใจตั้งแต่ดิฉันปฏิเสธที่จะไม่ไปทำงานตั้งแต่8โมงเช้าแล้ว แต่เห็นว่าทำงานดี จึงให้ทำงานต่อได้ ส่วนของแฟนดิฉันจะไม่ขอจ้างตามที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ แต่ถ้ามาช่วยจะ"ขอบใจมาก ถือว่ามีน้ำใจ"
ต่อมาอิฉันก็ทำงานไปเรื่อยๆค่ะ แต่แฟนของดิฉันเขาติดเรียนเลยไม่ได้มาช่วย ช่วยอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ขายดีนะคะ แต่พี่เจ้าของร้านไม่อยู่ค่ะ แม่ครัวก็เหลือคนเดียว(หลังจากที่เกิดเรื่อง พี่เจ้าของร้านก็ไล่แม่ครัวคนนั้นออกไปเลยค่ะ) ............. มีต่อๆๆๆๆๆ....