ตะวันออกกลาง: การสร้างความชอบธรรมทางการเมืองด้วยสงคราม






Fri, 2015-04-03 19:51

                         สงครามเต็มรูปแบบในเยเมนที่เริ่มขึ้นเมื่อซาอุดิอาระเบียและชาติพันธมิตรกลุ่มสภาความร่วมมือแห่งอ่าว (GCC) และประเทศมุสลิมบางประเทศได้เริ่มถล่มทางอากาศต่อเยเมนในวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา  จะไม่ใช่เป็นสงครามครั้งสุดท้ายระหว่างเยเมนและซาอุดิอาระเบีย      และถ้าประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางยังคงไม่มีรัฐบาลที่มีความชอบธรรมทางการเมือง (อ่านว่าประชาธิปไตย)   เราสามารถคาดการณ์ได้อย่างมั่นใจว่าสงครามในโลกอาหรับจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง   ทั้งในอนาคตอันใกล้และไกล (โปรดดูบทความเรื่อง “การเดินทางครั้งใหม่ของโลกอาหรับ"  ที่ได้คาดการณ์เรื่องดังกล่าวไว้ก่อนหน้านี้  http://www.prachatai.com/journal/2011/04/34124)   ก่อนที่จะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างระบอบการเมืองที่ชอบธรรมกับการเกิดสันติภาพ   จำเป็นต้องกล่าวถึงประวัติศาสตร์ศาสตร์บางช่วงบางตอนซักเล็กน้อยเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นต่อสถานการณ์ปัจจุบันในเยเมน



เมื่อกองกำลังปฏิวัตินำโดย อับดุลเลาะห์อัซซัลลาล (Abdullah al-Sallalเสียชีวิต ค.ศ.1994) ทำการโค่นล้มกษัตริย์ อิหม่าม มูฮัมหมัด อัลบัดร (Muhammad Al-Badrเสียชีวิต ค.ศ.1996)  เพื่อสถาปนาระบบสาธารณรัฐขึ้นในเยเมน ในปี ค.ศ.1962     ซาอุดิอาระเบียซึ่งปกครองด้วยระบอบกษัตริย์เช่นเดียวกันกลัวจะเป็นรายต่อไปที่ถูกกระแสของการปฏิวัติพัดลงสู่ถังขยะของประวัติศาสตร์  ได้ส่งกองกำลังเข้าร่วมกับอิหม่าม มูฮัมหมัด อัลบัดรจำนวน 40,000 นาย บุกเข้าเยเมนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางตอนเหนือที่มีพรมแดนติดกันกว่า 1,800 กม. ด้วยการช่วยเหลือของอังกฤษและอิหร่านเพื่อฟื้นฟูระบอบกษัตริย์      กล่าวสำหรับอับดุลเลาะห์อัซซัลลาล นั้นมีกองกำลังจำนวน 70,000 นายหนุนหลังซึ่งส่งตรงมาจากผู้นำอียิปต์กามาล อับดุลนัสเซอร์ (Gamal Abdel Nasser เสียชีวิต ค.ศ.1970) ศัตรูหมายเลขหนึ่งของราชวงศ์ซาอู๊ด (House of Saud) และเป็นผู้จุดประกาย “การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์” ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1952    และต่อมาเขาเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมชมชอบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกอาหรับสมัยใหม่      

สงครามตัวแทนระหว่างซาอุดิอาระเบียและอียิปต์ในแผ่นดินเยเมนซึ่งกินเวลาเกือบทศวรรษ ได้เริ่มสงบลงประมาณปี ค.ศ.1970 โดยที่ทหารอียิปต์เสียชีวิตถึง15,000 นาย ขณะที่ชาวเยเมนเสียชีวิต มากกว่า 100,000 คน    สงครามได้สร้างความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสให้แก่เยเมน ประเทศที่มีเมืองท่าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการค้าขายที่ร่ำรวย ให้เป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในตะวันออกกลางในปัจจุบัน    แม้ผลของสงครามจะทำให้ซาอุดิอาระเบียมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นในเยเมนเนื่องจากอียิปต์อ่อนแอจากการพ่ายแพ้ในสงครามหกวันระหว่างอาหรับกับอิสราเอลในปี ค.ศ.1967    กระนั้นก็ตามสงครามในครั้งนั้นก็มิอาจทำให้ระบอบสาธารณรัฐอ่อนแอลง  กลับสร้าง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเยเมนใต้ (People’s Democratic Republic of South Yemen: PDRSY) ซึ่งนิยมมาร์กซิสม์ให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น




กงล้อประวัติศาสตร์หมุนกลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้งในวันนี้ หากแต่สลับสับเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตร เมื่ออียิปต์นำโดยนายพล อับเดลฟัตตะฮอัลซีซี่ (Abdel Fattah el-Sisi) ผู้โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของนาย มูรซี (Mohamed Morsi)   กลายเป็นผู้สนับสนุนซาอุดิอาระเบียอย่างแข็งขันในสงครามโค่นกลุ่มฮูซี่ (Houthi) ชนเผ่าทางตอนเหนือนับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮสายไซดียะฮ[1]  ซึ่งควบคุมเยเมนเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด   โดยมีอดีตมิตรผู้เคยให้การช่วยเหลือซาอุดิอาระเบียอย่างอิหร่านกลายเป็นศัตรูผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มฮูซี่อยู่เบื้องหลัง

แม้ซาอุดิอาระเบียจะอ้างว่าการปฏิบัติการทางทหารต่อเพื่อนบ้านในครั้งนี้เป็นไปเพื่อคืนความชอบธรรมให้กับรัฐบาลที่ถูกโค่นโดยกลุ่มฮูซี่   แต่เป็นที่รู้กันว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของซาอุดิอาระเบีย คือการสกัดอิทธิพลของอิหร่านที่กำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆจากเหตุการณ์สงครามในอิรัก ซีเรีย และเลบานอน      ซาอุดิอาระเบียมองว่าเยเมนที่เป็นมิตรกับอิหร่านเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของตน   นอกจากนั้นการสูญเสียการนำของซาอุดิอาระเบียในภูมิภาคก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ซาอุดิอาระเบียตัดสินใจแสดงบทแข็งกร้าว ทั้งๆที่ได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ว่านักรบเดนตายจากภูเขาที่แห้งแล้งของเยเมนมิใช่อูฐเชื่องๆในทะเลทรายที่จะต้อนเอาได้ง่ายๆ



เหตุการณ์การสลับจับขั้วชี้ให้เห็นว่า ความแตกต่างด้านศาสนาและนิกายทางศาสนามิใช่ประเด็นที่ทำให้เกิดสงคราม   ซาอุดิอาระเบีย (อิสลาม) ไม่รู้สึกว่าอิสราเอล (ยิว) เป็นภัยคุกคามต่อตนเอง    ขณะที่ซุนหนี่กับซุนหนี่ (อียิปต์กับซาอุดิอาระเบีย) ซุนหนี่กับชีอะฮ (ซาอุดิอาระเบียกับอิหร่าน) พร้อมจะรบกันได้ตลอดเวลาถ้ารัฐไม่ว่าจะนับถือนิกายอะไร มีความรู้สึกว่าถูกคุกคาม   ไม่ว่าภัยคุกคามนั้นจะเป็นจริงหรือจินตาการขึ้นมาด้วยเหตุผลใดก็ตาม



คำถามที่สำคัญก็คือ  ทำไมซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน และอียิปต์ ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นผู้เล่นสำคัญในตะวันออกกลาง  จึงมีความรู้สึกว่าเพื่อนบ้านเป็นภัยคุกคามต่อตนเอง?     และในทางกลับกันทำไม “เพื่อนบ้าน” จึงต้องพยายามขยายอิทธิพลของตนเองในเบื้องแรก?   ทำไมรัฐอาหรับจึงอ่อนไหวต่อภัยคุกคาม (ทั้งที่เป็นจริงและสร้างกันขึ้นมา)?    ทำไมภัยคุกคามระหว่างกันจึงเกิดขึ้นและมักระเบิดเป็นสงครามในกลุ่มประเทศในโลกอาหรับ?    และทำไมภูมิภาคในตะวันออกกลางจึงไม่ว่างเว้นจากภาวะสงครามตลอดศตวรรษที่ผ่านมา แม้หลังได้รับเอกราชจากเจ้าอาณานิคมแล้วก็ตาม?

แน่นอนว่าการเกิดขึ้นมาของอิสราเอลและการค้นพบบ่อน้ำมันทำให้ภูมิภาคนี้ลุกเป็นไฟได้ง่ายๆ แต่ทำไมเกิดสงครามระหว่างประเทศอาหรับ(มุสลิม)ด้วยกันเอง?     คำอธิบายที่มักพบบ่อยก็คือความขัดแย้งและสงครามในตะวันออกกลางเป็นมรดกที่จักรวรรดินิยมอังกฤษและฝรั่งเศสได้ทิ้งไว้  ก็ไม่น่าจะหนักแน่นพอเนื่องจากภูมิภาคอื่นๆก็เคยตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสมาก่อนเช่นเดียวกัน  

ก่อนที่จะตอบคำถามข้างบน ข้อเท็จจริงที่มิอาจปฏิเสธได้คือ   รัฐอาหรับมุสลิมในตะวันออกกลางล้วนเป็นรัฐเผด็จการอำนาจนิยม เป็นการปกครองโดยคนๆเดียวหรือกลุ่มคนที่ใช้ความเป็นชนเผ่า (tribalism) เป็นฐานสร้างความภักดีทางการเมือง โดยใช้อำนาจเด็ดขาดกดทับผู้คนและสังคมเอาไว้ด้วยการใช้ความรุนแรง (รวมทั้งการ “ซื้อ” ความสะดวกสบายแก่ประชาชนด้วยเศษเงินจากน้ำมัน)   ระบอบการเมืองและรัฐบาลของประเทศเหล่านี้มิได้เป็นผลอันเกิดจากการยินยอมพร้อมใจกันของประชาชน    ลักษณะดังกล่าวทำให้การดำรงอยู่ของรัฐเหล่านี้ขาดความชอบธรรม (illegitimacy) ส่งผลให้กลุ่มบุคคลที่กุมอำนาจรัฐอยู่มีความรู้สึกอ่อนไหว เนื่องจากอาจถูกโค่นล้มได้ตลอดเวลาทั้งจากประชาชนผู้ถูกกดทับและจากอำนาจภายนอกซึ่งเป็นเผด็จการอำนาจนิยมเช่นเดียวกัน การที่จะต้องสร้างศัตรูภายนอกอยู่ตลอดเวลาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการคงอยู่ของตนเอง ก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐเผด็จการเหล่านี้ใช้สงครามเป็นเครื่องมือ



ในทางตรงกันสาเหตุที่อำนาจจากภายนอกต้องการเข้าไปมีอิทธิพลในประเทศเพื่อนบ้าน ก็เพราะต้องหารัฐลูกหาบ (client state) เพื่อเป็นเครื่องมือมิให้ตนเองซึ่งขาดความชอบธรรมถูกโค่นล้มเช่นกัน    นอกจากนั้นการตัดสินใจเข้าสู่สงครามของรัฐเหล่านี้ล้วนเป็นการตัดสินใจโดยกลุ่มคนผู้กุมอำนาจจำนวนน้อยที่อ่อนไหวต่อการสูญเสียอำนาจ มิได้เป็นการตัดสินใจที่วางอยู่บนรากฐานและสะท้อนความต้องการของประชาชนในวงกว้าง   นี่ไม่ต้องพูดถึงว่ากระบวนการตัดสินใจไม่ได้รับการถกเถียง ตรวจสอบ หรือถ่วงดุลจากรัฐสภาที่มาจากประชาชนผู้มีแต่จะสูญเสียและได้รับผลโดยตรงจากภาวะสงคราม        

เมื่อเป็นการตัดสินใจที่ขาดความชอบธรรม  เทววิทยาอิสลามจึงถูกสร้างขึ้นเพื่ออธิบายและสร้างความชอบธรรมต่อการกระทำหรือนโยบายของรัฐเหล่านี้  ด้วยเหตุนี้เราจึงพบว่าในสังคมมุสลิม สงครามในตะวันออกกลางที่ประเทศมุสลิมกระทำต่อกันจะถูกอธิบายและได้รับการถกเถียงในเชิงศาสนาว่าถูกต้องตามหลักการศาสนาหรือไม่ ข้อความจากคัมภีร์อัลกรุอ่านและคำพูดของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) จะถูกยกขึ้นมาโต้เถียงกันเพื่อสนับสนุนท่าทีต่อสงครามของฝ่ายตัวเองทำให้คำถามที่เป็นหัวใจสำคัญ หรือคำถามเชิงโครงสร้าง ดังเช่นที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นไม่ได้รับความสนใจ ความพินาศจากสงคราม การล่มสลายของสังคม ชีวิตและคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ไม่มีที่ทางในการถกเถียง กระทั่งมิได้นำมาพิจารนาด้วยซ้ำ



ก็ต่อเมื่อรัฐอาหรับมุสลิมในภูมิภาคตะวันออกกลางมีระบอบการเมืองและรัฐบาลที่มีความชอบธรรมซึ่งสะท้อนเจตจำนงของประชาชนเท่านั้น  รัฐเหล่านี้จึงจะมีความมั่นคงภายใน และได้รับการเคารพจากสายตาของชุมชนระหว่างประเทศซึ่งเป็นการประกันความมั่นคงจากภายนอก ความอ่อนไหวต่อการคุกคามซึ่งมักนำไปสู่สงครามจะยุติลง ประเทศในภูมิภูมิภาคตะวันออกกลางจึงจะอยู่ด้วยกันด้วยความเคารพในเอกราชของกันและกัน การใช้ชีวิตอย่างปกติสุขของความเป็นมนุษย์จึงจะดำเนินไปได้



[1] มาจากการที่พวกเขานับถือตาม ZaydibnʻAlīซึ่งเป็นหลานของ HusaynibnʻAlīซึ่งเป็นหลานของท่านศาสดามูฮัมหมัด ซ.ล.)



มูฮัมหมัดอิลยาส หญ้าปรัง
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

http://prachatai.org/journal/2015/04/58703
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่