การใช้กัญชาในทางการแพทย์

ประวัติกัญชาในฐานะยาแพทย์แผนตะวันตกเริ่มในปี ค.ศ.1839 เมื่อมีการตีพิมพ์ของ Shaughnessy แพทย์อังกฤษในกัลกัตตา รายงานว่ากัญชามีฤทธิ์แก้ปวด กันชัก และคลายกล้ามเนื้อ รายงานของเขาสร้างความสนใจอย่างมาก และมีรายงานอีกประมาณ 100 ฉบับในแพทย์แผนตะวันตก ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1840 จนจบศตวรรษนั้น ในศตวรรษที่ 19 กัญชามีการใช้ในทางการแพทย์ในโลกตะวันตก เพื่อบำบัดโรคและความไม่สบาย หลายอย่าง เช่น อาการไอ อ่อนล้า โรคข้อ หอบหืด สั่นเพ้อ ปวดหัวไมเกรน และปวดประจำเดือน แม้การใช้จะลดลงเมื่อมีการสังเคราะห์ยากล่อมประสาท และยาแก้ปวดอื่น กัญชาก็อยู่ในตำรับยาสหรัฐนานจนถึงปี ค.ศ.1941 กฎหมายเก็บภาษีกัญชาทำให้กัญชาเลิกใช้ใน ทางการแพทย์ ์และนับแต่นั้น แพทย์ก็ไม่ใส่ใจในกัญชา
ประโยชน์ของกัญชาในทางการแพทย์ที่มากที่สุด คือ ความปลอดภัยของมัน อัตราปริมาณยาที่ทำให้ตาย ต่อปริมาณ ที่ออกฤทธิ์ในสัตว์สูงเกือบสองหมื่นเท่า กัญชาปริมาณมากถูกป้อนให้สุนัขโดยไม่ทำให้ตาย และไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อ ถึงการตายด้วยกัญชาในมนุษย์ กัญชายังมีประโยชน์ ที่ไม่รบกวนการทำงานปกติ ของร่างกายหรือทำลายอวัยวะร่างกาย เมื่อใช้ในปริมาณเพื่อการบำบัด กัญชาทำให้ติดหรือทนยาเพียงเล็กน้อย ไม่เคยมีหลักฐานว่าการใช้กัญชาทางการแพทย์ ทำให้ติดเสพ เหมือนเป็นยาเมา

กัญชาดิบมีข้อด้อยที่ไม่ค่อยแน่นอนในความแรงและไม่ละลายน้ำ จึงเป็นการยากที่กัญชา จะดูดซึมเข้ากระแสเลือดทางระบบกระเพาะลำไส้ อีกปัญหาหนึ่งคือ กัญชามีส่วนผสมหลายอย่าง ซึ่งอาจมีโทษเช่น ทำให้เมามากเกิน ส่วนผสมหนึ่งคือ dronabinol เป็นกัญชาสังเคราะห์ กฎหมาย อนุญาตให้ใช้เพื่อบำบัดอาการคลื่นไส้อาเจียนในการบำบัดยามะเร็งและในผู้ป่วยเอดส์ที่น้ำหนักลด การสูบให้ผลเร็วและแน่นอนกว่าในการดูดซึมกัญชาเข้ากระแสเลือด ผู้ป่วยที่รับยาบำบัดมะเร็งอาจคลื่นไส้ทำให้กินยายาก แต่ผู้ป่วยหลายคนเกลียดการสูบหรือสูบไม่เป็น
กัญชากับโรคทางระบบประสาท
ร้อยละ 20 ของผู้ป่วยลมชักไม่อาจบรรเทาได้ด้วยยาต้านชัก ทั่วไป กัญชาพบว่าเป็นทางเลือกหนึ่งอย่างน้อยก็มีรายงานผู้ป่วยรายหนึ่งที่สูบกัญชาร่วมกับยากันชัก ตามมาตรฐานคือ ฟีโนบาร์บิทาล และไดฟีนิลไฮแดนโทอิน ซึ่งเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการควบคุม การชักในชายหนุ่มที่เป็นลมชัก กัญชาลดการกระตุกและสั่นของกล้ามเนื้อในคนที่เป็นอัมพาตสมอง หรือมัลติเปิล สเกอโรซิซ สารจากกัญชาที่ดูเป็นประโยชน์ต่อลมชักคือ cannabidiol ในการศึกษา งานหนึ่ง สารนี้ได้เพิ่มเข้ากับยากันชักทำให้มีผลดีในผู้ป่วยเจ็ดรายที่ชักแบบ grand mal มีสามราย ดีขึ้นมาก ผู้ป่วยแปดรายที่ได้ placebo มีรายเดียวที่ดีขึ้น
มีรายงานการใช้กัญชาเพื่อบรรเทาหอบหืด
ยาแก้หอบหืดทุกตัวมีข้อเสียคือมีข้อจำกัด ทั้งประสิทธิภาพและผลข้างเคียง เนื่องจากกัญชาขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม กัญชาได้รับการทดสอบเป็นยาแก้หอบหืด การสูบกัญชาอาจไม่ใช่วิธีที่ดีในการบำบัดหอบหืด เนื่องจาก การระคายเคืองเป็นระยะเวลานานของทางเดินหายใจจากน้ำมันดินและสารอื่นในควันกัญชา จึงมี รายงานการค้นหาการบริหารยาเข้าร่างกายที่ดีกว่าเดิม กัญชาในรูปละอองสเปรย์มีการค้นคว้าอย่างมาก นิยมใช้สาร cannabinol และ cannabidol แทน THC มาก การค้นพบที่น่าสนใจอีกอย่าง คือการวิจัยพบว่า cannabinoid มีผลต่อหลอดลมในกลไกที่แตกต่างจากยาแก้หอบหืด
การใช้กัญชาทางการแพทย์อีกด้าน คือ การรักษาตาต้อหิน ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับสองที่ทำให้ คนตาบอดในสหรัฐ คนอเมริกาเกือบล้านที่ป่วยด้วยต้อหินที่รักษาได้ด้วยกัญชา กัญชาทำให้ความดัน ภายในลูกนัยน์ตาลดลงได้ดีหลายชั่วโมงในคนปกติและในคนที่ความดันลูกนัยน์ตาสูงจากต้อหิน การให้กัญชาทางปากหรือทางหลอดเลือดดำให้ผลเหมือนกัน ซึ่งขึ้นกับชนิดอนุพันธ์กัญชามากกว่า จะเกิดจากฤทธิ์กล่อมประสาทของกัญชา กัญชาไม่ได้รักษาโรคขาด แต่ช่วยยับยั้งการบอดไม่ให้เป็นมากขึ้น เมื่อยาทั่วไปไม่อาจช่วยได้ และการผ่าตัดเป็นเรื่องเสี่ยงเกิน ยังรอผลการศึกษากันอยู่ว่า การใช้กัญชาเป็นยาทาหรือยาหยอดตาจะได้ประโยชน์หรือไม่ ในกรณีนี้ ยาหยอดตากัญชายังไม่พบว่ามีประสิทธิภาพ และในปี ค.ศ.1981 สถาบันตาแห่งชาติ ประกาศว่า จะไม่อนุมัติการวิจัยในมนุษย์โดยใช้ยาหยอดตาเหล่านี้ การศึกษายังต่อไปโดยใช้อนุพันธ์กัญชาสังเคราะห์และกัญชาธรรมชาติอื่นๆ การสูบกัญชาเป็นวิธีดีกว่าในการปรับปริมาณ กัญชาเมื่อเทียบกับการกิน และคนไข้ส่วนใหญ่ก็ชอบวิธีนี้มากกว่า โชคไม่ดี ผู้ป่วยที่อายุมากหลายคน ไม่ชอบฤทธิ์ทางจิตของกัญชา
อนุพันธ์กัญชามีประโยชน์หลายอย่างในการบำบัดมะเร็ง อาจใช้เป็นสารกระตุ้นความ อยากอาหาร กัญชาจะช่วยชะลอน้ำหนักลดในผู้ป่วยมะเร็ง กัญชายับยั้งการเติบโตของเซลมะเร็งในสัตว์ทดลอง แต่ผลยังไม่เป็นที่สรุป และอนุพันธ์กัญชาอีกชนิดคือ cannabidiol ดูจะทำให้มะเร็งโตเร็วขึ้น บางทีกัญชาเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่นอาจเป็นประโยชน์ในการป้องกันการโตของมะเร็ง แต่สิ่งที่กัญชาช่วยได้แน่ในการบำบัดมะเร็งคือการป้องกันการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยที่รับเคมีบำบัด เกือบครึ่งของผู้ป่วยที่รับยาต้านมะเร็งต้องทุกข์จากการคลื่นไส้อาเจียนอย่างแรง ประมาณร้อยละ 25 ถึง 30 ของผู้ป่วยเหล่านี้ ยาแก้อาเจียนทั่วไปใช้ไม่ได้ผล อาการคลื่นไส้อาเจียนไม่เพียงแต่ ไม่น่าพอใจแต่ยังรบกวนประสิทธิภาพการบำบัดรักษาด้วย การอาเจียนอาจทำให้เกิดการฉีกขาด ของหลอดอาหารและซี่โครงหัก ทำให้ไม่ได้รับอาหารเพียงพอ และสูญเสียน้ำ ยาแก้อาเจียนส่วนใหญ่ที่ใช้ในเคมีบำบัดคือ โพรคลอเพราซีส (Compazine) และออนแดน เซทรอน (Zofran) และกรานิเซทรอน (Kytril) คำแนะนำว่ากัญชาอาจช่วยเรื่องนี้ได้กล่าวมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 70 เมื่อผู้ป่วยหนุ่มบางรายที่รับเคมีบำบัดมะเร็งพบว่า การสูบกัญชาซึ่งผิดกฎหมายจะลด อาการคลื่นไส้อาเจียนของเขาได้ ในการศึกษาผู้ป่วย 56 รายที่ไม่ได้รับยาแก้อาเจียน ร้อยละ 78 ไม่มีอาการนี้เมื่อสูบกัญชา กัญชาทางการแพทย์เพื่อบำบัดอาการคลื่นไส้และน้ำหนักลดมีการนำมาใช้กับผู้ป่วยเอดส์ อาการคลื่นไส้เป็นอาการของโรคนี้และผลข้างเคียงจากยาบางตัว โดยเฉพาะ AZT สำหรับผู้ป่วยเอดส์ สิ่งที่รบกวนและคุกคามมากที่สุดคือ การผอมแห้ง กัญชาจะชะลอการสูญเสียน้ำหนักในผู้ป่วยส่วนใหญ่ และช่วยให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ในบางราย ถ้าหากคุณสนใจข้อมูลเพิ่มเติม ผมได้แนบลิงค์ไว้ให้
http://www.ganjathai.com/2016/02/blog-post.html
ข้อสรุปจากรายงานปี ค.ศ.1982 คือ กัญชาดูได้ผลในบางเรื่อง แม้ปริมาณที่จะช่วยให้ได้ฤทธิ์ที่ต้องการมักใกล้เคียงกับปริมาณ ที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบบ่อยและยอมรับไม่ได้ สิ่งที่น่าสนใจ … คือ กัญชาดูเป็นประโยชน์ ทางกลไกที่แตกต่างจากยาอื่นๆ ที่มีอยู่ สิ่งนี้จะเพิ่มโอกาสให้แก่ผู้ป่วยที่ไม่ได้ประโยชน์จากการบำบัด ทั่วไป ให้ได้รับการบำบัดด้วยกัญชา … เป็นไปได้ที่จะลดอาการข้างเคียงโดยการสังเคราะห์โมเลกุล เพื่อให้ได้ฤทธิ์ที่ต้องการมากกว่าฤทธิ์ที่ไม่ต้องการ การวิจัยในเรื่องนี้ควรเป็นเรื่องเร่งด่วน มีการแนะนำให้วิจัยต่อไปโดยเฉพาะการบำบัดอาการคลื่นไส้อาเจียนในเคมีบำบัด หอบหืด ต้อหิน และชักกระตุก ตามกฎหมายรัฐบาลกลางสหรัฐ กัญชาเป็นสารเสพติดประเภทที่หนึ่ง คือ มีความเสี่ยงสูง ในการใช้ในทางที่ผิด ไม่มีประโยชน์ที่ยอมรับในทางการแพทย์ และไม่มีความปลอดภัยในการใช้ภายใต้ การดูแลของแพทย์ กัญชาไม่ควรจ่ายด้วยใบสั่งธรรมดา และควรใช้เฉพาะในงานวิจัย
ที่มา : ตำราการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด หน้า 349-352
Facebook :
https://www.facebook.com/ganjathai/
website:
http://www.ganjathai.com/2016/02/blog-post_16.html
การใช้กัญชาในทางการแพทย์
ประวัติกัญชาในฐานะยาแพทย์แผนตะวันตกเริ่มในปี ค.ศ.1839 เมื่อมีการตีพิมพ์ของ Shaughnessy แพทย์อังกฤษในกัลกัตตา รายงานว่ากัญชามีฤทธิ์แก้ปวด กันชัก และคลายกล้ามเนื้อ รายงานของเขาสร้างความสนใจอย่างมาก และมีรายงานอีกประมาณ 100 ฉบับในแพทย์แผนตะวันตก ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1840 จนจบศตวรรษนั้น ในศตวรรษที่ 19 กัญชามีการใช้ในทางการแพทย์ในโลกตะวันตก เพื่อบำบัดโรคและความไม่สบาย หลายอย่าง เช่น อาการไอ อ่อนล้า โรคข้อ หอบหืด สั่นเพ้อ ปวดหัวไมเกรน และปวดประจำเดือน แม้การใช้จะลดลงเมื่อมีการสังเคราะห์ยากล่อมประสาท และยาแก้ปวดอื่น กัญชาก็อยู่ในตำรับยาสหรัฐนานจนถึงปี ค.ศ.1941 กฎหมายเก็บภาษีกัญชาทำให้กัญชาเลิกใช้ใน ทางการแพทย์ ์และนับแต่นั้น แพทย์ก็ไม่ใส่ใจในกัญชา
ประโยชน์ของกัญชาในทางการแพทย์ที่มากที่สุด คือ ความปลอดภัยของมัน อัตราปริมาณยาที่ทำให้ตาย ต่อปริมาณ ที่ออกฤทธิ์ในสัตว์สูงเกือบสองหมื่นเท่า กัญชาปริมาณมากถูกป้อนให้สุนัขโดยไม่ทำให้ตาย และไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อ ถึงการตายด้วยกัญชาในมนุษย์ กัญชายังมีประโยชน์ ที่ไม่รบกวนการทำงานปกติ ของร่างกายหรือทำลายอวัยวะร่างกาย เมื่อใช้ในปริมาณเพื่อการบำบัด กัญชาทำให้ติดหรือทนยาเพียงเล็กน้อย ไม่เคยมีหลักฐานว่าการใช้กัญชาทางการแพทย์ ทำให้ติดเสพ เหมือนเป็นยาเมา
กัญชาดิบมีข้อด้อยที่ไม่ค่อยแน่นอนในความแรงและไม่ละลายน้ำ จึงเป็นการยากที่กัญชา จะดูดซึมเข้ากระแสเลือดทางระบบกระเพาะลำไส้ อีกปัญหาหนึ่งคือ กัญชามีส่วนผสมหลายอย่าง ซึ่งอาจมีโทษเช่น ทำให้เมามากเกิน ส่วนผสมหนึ่งคือ dronabinol เป็นกัญชาสังเคราะห์ กฎหมาย อนุญาตให้ใช้เพื่อบำบัดอาการคลื่นไส้อาเจียนในการบำบัดยามะเร็งและในผู้ป่วยเอดส์ที่น้ำหนักลด การสูบให้ผลเร็วและแน่นอนกว่าในการดูดซึมกัญชาเข้ากระแสเลือด ผู้ป่วยที่รับยาบำบัดมะเร็งอาจคลื่นไส้ทำให้กินยายาก แต่ผู้ป่วยหลายคนเกลียดการสูบหรือสูบไม่เป็น
กัญชากับโรคทางระบบประสาท
ร้อยละ 20 ของผู้ป่วยลมชักไม่อาจบรรเทาได้ด้วยยาต้านชัก ทั่วไป กัญชาพบว่าเป็นทางเลือกหนึ่งอย่างน้อยก็มีรายงานผู้ป่วยรายหนึ่งที่สูบกัญชาร่วมกับยากันชัก ตามมาตรฐานคือ ฟีโนบาร์บิทาล และไดฟีนิลไฮแดนโทอิน ซึ่งเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการควบคุม การชักในชายหนุ่มที่เป็นลมชัก กัญชาลดการกระตุกและสั่นของกล้ามเนื้อในคนที่เป็นอัมพาตสมอง หรือมัลติเปิล สเกอโรซิซ สารจากกัญชาที่ดูเป็นประโยชน์ต่อลมชักคือ cannabidiol ในการศึกษา งานหนึ่ง สารนี้ได้เพิ่มเข้ากับยากันชักทำให้มีผลดีในผู้ป่วยเจ็ดรายที่ชักแบบ grand mal มีสามราย ดีขึ้นมาก ผู้ป่วยแปดรายที่ได้ placebo มีรายเดียวที่ดีขึ้น
มีรายงานการใช้กัญชาเพื่อบรรเทาหอบหืด
ยาแก้หอบหืดทุกตัวมีข้อเสียคือมีข้อจำกัด ทั้งประสิทธิภาพและผลข้างเคียง เนื่องจากกัญชาขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม กัญชาได้รับการทดสอบเป็นยาแก้หอบหืด การสูบกัญชาอาจไม่ใช่วิธีที่ดีในการบำบัดหอบหืด เนื่องจาก การระคายเคืองเป็นระยะเวลานานของทางเดินหายใจจากน้ำมันดินและสารอื่นในควันกัญชา จึงมี รายงานการค้นหาการบริหารยาเข้าร่างกายที่ดีกว่าเดิม กัญชาในรูปละอองสเปรย์มีการค้นคว้าอย่างมาก นิยมใช้สาร cannabinol และ cannabidol แทน THC มาก การค้นพบที่น่าสนใจอีกอย่าง คือการวิจัยพบว่า cannabinoid มีผลต่อหลอดลมในกลไกที่แตกต่างจากยาแก้หอบหืด
การใช้กัญชาทางการแพทย์อีกด้าน คือ การรักษาตาต้อหิน ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับสองที่ทำให้ คนตาบอดในสหรัฐ คนอเมริกาเกือบล้านที่ป่วยด้วยต้อหินที่รักษาได้ด้วยกัญชา กัญชาทำให้ความดัน ภายในลูกนัยน์ตาลดลงได้ดีหลายชั่วโมงในคนปกติและในคนที่ความดันลูกนัยน์ตาสูงจากต้อหิน การให้กัญชาทางปากหรือทางหลอดเลือดดำให้ผลเหมือนกัน ซึ่งขึ้นกับชนิดอนุพันธ์กัญชามากกว่า จะเกิดจากฤทธิ์กล่อมประสาทของกัญชา กัญชาไม่ได้รักษาโรคขาด แต่ช่วยยับยั้งการบอดไม่ให้เป็นมากขึ้น เมื่อยาทั่วไปไม่อาจช่วยได้ และการผ่าตัดเป็นเรื่องเสี่ยงเกิน ยังรอผลการศึกษากันอยู่ว่า การใช้กัญชาเป็นยาทาหรือยาหยอดตาจะได้ประโยชน์หรือไม่ ในกรณีนี้ ยาหยอดตากัญชายังไม่พบว่ามีประสิทธิภาพ และในปี ค.ศ.1981 สถาบันตาแห่งชาติ ประกาศว่า จะไม่อนุมัติการวิจัยในมนุษย์โดยใช้ยาหยอดตาเหล่านี้ การศึกษายังต่อไปโดยใช้อนุพันธ์กัญชาสังเคราะห์และกัญชาธรรมชาติอื่นๆ การสูบกัญชาเป็นวิธีดีกว่าในการปรับปริมาณ กัญชาเมื่อเทียบกับการกิน และคนไข้ส่วนใหญ่ก็ชอบวิธีนี้มากกว่า โชคไม่ดี ผู้ป่วยที่อายุมากหลายคน ไม่ชอบฤทธิ์ทางจิตของกัญชา
อนุพันธ์กัญชามีประโยชน์หลายอย่างในการบำบัดมะเร็ง อาจใช้เป็นสารกระตุ้นความ อยากอาหาร กัญชาจะช่วยชะลอน้ำหนักลดในผู้ป่วยมะเร็ง กัญชายับยั้งการเติบโตของเซลมะเร็งในสัตว์ทดลอง แต่ผลยังไม่เป็นที่สรุป และอนุพันธ์กัญชาอีกชนิดคือ cannabidiol ดูจะทำให้มะเร็งโตเร็วขึ้น บางทีกัญชาเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่นอาจเป็นประโยชน์ในการป้องกันการโตของมะเร็ง แต่สิ่งที่กัญชาช่วยได้แน่ในการบำบัดมะเร็งคือการป้องกันการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยที่รับเคมีบำบัด เกือบครึ่งของผู้ป่วยที่รับยาต้านมะเร็งต้องทุกข์จากการคลื่นไส้อาเจียนอย่างแรง ประมาณร้อยละ 25 ถึง 30 ของผู้ป่วยเหล่านี้ ยาแก้อาเจียนทั่วไปใช้ไม่ได้ผล อาการคลื่นไส้อาเจียนไม่เพียงแต่ ไม่น่าพอใจแต่ยังรบกวนประสิทธิภาพการบำบัดรักษาด้วย การอาเจียนอาจทำให้เกิดการฉีกขาด ของหลอดอาหารและซี่โครงหัก ทำให้ไม่ได้รับอาหารเพียงพอ และสูญเสียน้ำ ยาแก้อาเจียนส่วนใหญ่ที่ใช้ในเคมีบำบัดคือ โพรคลอเพราซีส (Compazine) และออนแดน เซทรอน (Zofran) และกรานิเซทรอน (Kytril) คำแนะนำว่ากัญชาอาจช่วยเรื่องนี้ได้กล่าวมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 70 เมื่อผู้ป่วยหนุ่มบางรายที่รับเคมีบำบัดมะเร็งพบว่า การสูบกัญชาซึ่งผิดกฎหมายจะลด อาการคลื่นไส้อาเจียนของเขาได้ ในการศึกษาผู้ป่วย 56 รายที่ไม่ได้รับยาแก้อาเจียน ร้อยละ 78 ไม่มีอาการนี้เมื่อสูบกัญชา กัญชาทางการแพทย์เพื่อบำบัดอาการคลื่นไส้และน้ำหนักลดมีการนำมาใช้กับผู้ป่วยเอดส์ อาการคลื่นไส้เป็นอาการของโรคนี้และผลข้างเคียงจากยาบางตัว โดยเฉพาะ AZT สำหรับผู้ป่วยเอดส์ สิ่งที่รบกวนและคุกคามมากที่สุดคือ การผอมแห้ง กัญชาจะชะลอการสูญเสียน้ำหนักในผู้ป่วยส่วนใหญ่ และช่วยให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ในบางราย ถ้าหากคุณสนใจข้อมูลเพิ่มเติม ผมได้แนบลิงค์ไว้ให้ http://www.ganjathai.com/2016/02/blog-post.html
ข้อสรุปจากรายงานปี ค.ศ.1982 คือ กัญชาดูได้ผลในบางเรื่อง แม้ปริมาณที่จะช่วยให้ได้ฤทธิ์ที่ต้องการมักใกล้เคียงกับปริมาณ ที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบบ่อยและยอมรับไม่ได้ สิ่งที่น่าสนใจ … คือ กัญชาดูเป็นประโยชน์ ทางกลไกที่แตกต่างจากยาอื่นๆ ที่มีอยู่ สิ่งนี้จะเพิ่มโอกาสให้แก่ผู้ป่วยที่ไม่ได้ประโยชน์จากการบำบัด ทั่วไป ให้ได้รับการบำบัดด้วยกัญชา … เป็นไปได้ที่จะลดอาการข้างเคียงโดยการสังเคราะห์โมเลกุล เพื่อให้ได้ฤทธิ์ที่ต้องการมากกว่าฤทธิ์ที่ไม่ต้องการ การวิจัยในเรื่องนี้ควรเป็นเรื่องเร่งด่วน มีการแนะนำให้วิจัยต่อไปโดยเฉพาะการบำบัดอาการคลื่นไส้อาเจียนในเคมีบำบัด หอบหืด ต้อหิน และชักกระตุก ตามกฎหมายรัฐบาลกลางสหรัฐ กัญชาเป็นสารเสพติดประเภทที่หนึ่ง คือ มีความเสี่ยงสูง ในการใช้ในทางที่ผิด ไม่มีประโยชน์ที่ยอมรับในทางการแพทย์ และไม่มีความปลอดภัยในการใช้ภายใต้ การดูแลของแพทย์ กัญชาไม่ควรจ่ายด้วยใบสั่งธรรมดา และควรใช้เฉพาะในงานวิจัย
ที่มา : ตำราการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด หน้า 349-352
Facebook : https://www.facebook.com/ganjathai/
website: http://www.ganjathai.com/2016/02/blog-post_16.html