เรื่องเล่าของครอบครัวผมครับ

สวัสดีครับ วันนี้จะมาเล่าเรื่องจากความคิดที่ผมมีให้เพื่อนๆฟัง เป็นเรื่องครอบครัวที่ไม่เคยจะเล่าให้ใครฟังเลยครับ

ผมเป็นคน ตจว. ภาคใต้ สุราษฏร์ครับ ครอบครัวในสมัยก่อนยากจนมากเรียกได้ว่า อดเลยก็ว่าได้ ที่บ้านอยู่ในอำเภอพระแสง สมัยก่อนกันดานมากมีป่าล้อมรอบ บ้านมีที่ดินเป็นสิบไร่ ก็ได้แต่ปลูกยางพาราไว้นิดหน่อย กับทำสวนเก็บผักเก็บหญ้าทานตามประสาคนบ้านนอกครับ ไม่ได้พิเศษอะไรตามเรื่อง แม่มีพี่น้อง 5 คน แม่เป็นคนที่ 3 ส่วนพ่อมาพบแม่เพราะพ่อได้เดินทางมาไกลจาก ร้อยเอ็ดเพื่อมาหางานทำร่อนเร่มาถึง ภาคใต้ครับและได้มาพบแม่

คร้ันในปี 2528 พ่อแม่ผมได้แต่งงานกัน ด้วยคำสบประหม่าของชาวบ้านถึงความยากจนระหว่างคนพเนจรด้วยปัญหาครอบครัวแบบคุณพ่อ และคุณแม่ที่ค่อนข้างจะลำบากอยู่แล้วทำให้ต้องเข้าตัวจังหวัดเข้าเมืองเพื่อมาหางานทำ มาสร้างครอบครัวใหม่ ในสมัยก่อน พ่อเริ่มจากทุนเล็กๆ 700 บาทซื้อรถซาเล้งเก่า โครงเหล็กพอให้หามถังไอศครีม ไปขายตามบ้านตามดง แต่ก็ไม่ทำให้เรารวย จนวันหนึ่งพ่อได้คิดขึ้นว่าการเป็นนายตัวเองย่อมดีกว่าเป็นทาสเขาอยู่แล้วจึงได้ติดต่อท่านหนึ่ง ซึ่งทำอุปกรณ์การปั่นไอศครีมกะทิขาย และก็เป็นผลดีเพราะเถ้าแก่ได้ให้สูตรลับการทำไอศครีม พ่อได้จดและจำมาเพื่อมาทำขายจนกระทั่ง มีลูกค้าติดใจและเริ่มมี ขาเร่มาติดต่อขอซื้อส่งไปจำหน่ายต่อ ช่วยนั้นพ่อเริ่มมีเงินจึงได้เก็บเงินไว้เรื่อยๆ จนกระทั้งผ่านไปเกือบ 2 ปี คู่แข่งเพิ่มมากขึ้นทำให้พ่อต้องตัดใจที่จะทำต่อ จึงได้ลดภาระตนเองลงจากการที่ต้องออกเร่ขายเป็นขายส่งให้กับพ่อค้าครับ และสุดท้าย ช่วงนั้นข้าวของราคาแพง กะทิมีราคาสูงแต่พ่อยังยึดมั่นในราคาประหยัด และรสชาดทำให้ คนดีไม่มีที่ยืนขาดทุนเรื่อยมาจนต้องหยุดกิจการแบบทางการลง รับทำส่งเฉพาะงานเทศกาลที่เขาสั่ง เช่นวันเด็ก วันสำคัญต่างๆ หรือตามที่บริษัทสั่ง

หลังจากนั้นในปี 2530 พ่อได้ไปเจอเพื่อนเก่าซึ่งขายเป็ดพะโล้อยู่ในตัวเมืองคุณลุงได้ชักชวนคุณพ่อผมทำเป็นพะโล้สูตรเด็ดขาย ในช่วงนั้นขายดีมาก (เพราะคนตามบ้านๆไม่เคยชิมรสชาดแบบต้นตำหรับ หากอยากทานต้องไปในเมือง) พ่อเร่ขายตามบ้านหมดทุกวันตอนนั้นแม่ก็เลิกทำสวนเพราะต้องออกมาช่วยพ่อทุกวันๆและได้เพิ่มรายได้ด้วยการไม่ขอส่วนแบ่งการทำสวน (การทำสวนต้องแบ่งกับพี่น้องถึง4 คนซึ่งไม่เพียงพอ) เราเช่าบ้านอยู่ใน ต.ท่าข้าม อาศัยอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่ง

ปี2532 คุณแม่ได้ให้กำเนิดผม ซึ่งตอนนั้นถามว่าผมก็ไม่รู้ครับยังจำความไม่ได้ แม่บอกว่าพ่อดีใจมากไปออก ทีวีสี 14 นิ้วในราคา 2 หมื่นบาทมาเพื่อให้ผมดูให้ผมฟังเพลง ทั้งที่จริงแล้วผมแทบจะไม่รู้เลย แหะๆ

ช่วงนั้นเป็นช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู พ่อและแม่มีเงินเก็บ 3แสนกว่าบาทโดยประมาณ แม่ก็เก็บไว้เพื่อจะออกรถ ซื้อบ้านเพิ่มระดับความสบายจากคนยากจนคนนึงให้มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่แล้วก็เหมือนเป็นเวรกรรมเงินที่เก็บไว้ก็ต้องหมดไป เมื่อแม่เป็นฝีในปอด ต้องตัดปอดทิ้งไปหนึ่งข้างและในเวลาอีกไม่นานพ่อประสบอุบัติเหตุรักษาตัวเป็นเวลานาน ด้วยเงินที่มาจากหยาดเหงือต้องหมดไปด้วยหยาดเลือดที่ต้องระงับ เพื่อชีวิตหัวหน้าครอบครัว เราก็ใช้เงินจนหมด ดังนั้นในปีนั้นเมื่อพ่อหายดีเราจึงย้ายบ้านไปอีกทีนึ่งไปเช่าบ้านราคาถูกอยู่อย่าง ค่อนข้างอัตคัต หาเช้ากินค่ำผมเริ่มเข้าโรงเรียน

ตั้งแต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมโตแล้วกลับมาคิดแล้วประทับใจมาก

พ่อแม่พาผมเข้าโรงเรียนเอกชน เพราะกลัวผมน้อยหน้าคนอื่น กลัวลูกจะมีปมด้อยเหมือนตนเอง ตอนเด็กๆแม่บอกว่าชุดนักเรียนมีชุดเดียววันไหนใช้เตารีดใหม่ ก็ต้องทนใส่ เพื่อให้ได้เรียน ดังนั้นแม่ก็สำรองชุดให้ผมถึง 4 ชุด พละ 1 ชุด ใช้กระเป๋าจาค๊อป ถามว่าเด็กๆรู้ไหมราคาเท่าไหร่ ตอบได้เลยว่าไม่ รู้แค่ว่าโดนเพื่อนเอาคัตเตอร์กรีด แม่ดุไปหลายวันเลย

ช่วงนั้นเศรษฐกิจไม่ดีจึงได้ย้ายที่เรียนมาเรียนโรงเรียนวัด ซึ่งข้อดีเยอะมาก ตั้งแต่เรียนฟรี สมุดหนังสือ ได้รับพระราชทานมาจากน้ำพระราชหฤทัย ผมจึงได้เริ่มเรียนที่ที่ใครๆก็มองเราว่า "เด็กโรงเรียนวัด" จนจบ ป.6

ม.ต้นผมก็เริ่มเรียนที่โรงเรียนขนาดใหญ่ประจำอำเภอ ผมเก่งภาษามากและพัฒนาไวกว่าคนอื่น ช่วงนั้นพ่อกับแม่ก็ขายของตามปกติ แต่เปลี่ยนแนวขายครับ มาเป็นขายผลไม้สด ผลไม้ดอง คนใต้เรียกว่า (ขายส้ม, ขายส้มดอง) ประมาณนั้น แม่เข็นขายไปตามบ้านและไปสิ้นสุดที่โรงเรียนผม และรับผมกลับบ้าน ตอนนั้นผมอายมากที่มีแม่ขายของแบบนี้เคยคิดว่าทำไมแม่ไม่มีรถกระบะมารับเหมือนเพื่อนๆ ด้วยความซื่อก็ถามไป แม่ก็ตอบว่า "ไว้รวยนะลูกแม่จะซื้อรถให้ ให้หนูขับเองเลย ตอนนี้หนูทนไปก่อนนะ อย่าอายไปเลย เราลำบากมาก่อนนะ" ผมก็คิดมาเสมอว่าทำไงให้แม่รวยได้มารับผม จนวันนึงผมมาฟังเรื่องราวของท่านพุทธทาส และฟังเรื่องราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวิดีทัศน์ของโรงเรียน ทำให้ผมเข้าใจความลำบาก ความกลัว และความอายต่างๆที่มาเกาะกินใจผม จากที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่า จะกินข้าวจานคนหรือจานแมว รสชาดก็เหมือนกัน ขัดกันที่มันไม่สวยไม่หรู แต่อร่อยนะ
กับการทรงงานของพระเจ้าอยู่หัวที่ เป็นภาพกำลังนั่งยองๆทานข้าวกับชาวบ้าน ผมจึงคิดได้เสมอว่า เราก็ไม่ต้องอาย เขาใหญ่โตมีอำนาจ มีบารมี แถมมีเงินมากแต่เขาไม่อายที่จะนั่งพื่น ท่านยังคงมีความสุขกว่าเราเสียอีก ตั้งแต่วันนั้นผมลองเปิดใจด้วยการไปช่วยแม่วันหยุด เดินไปเป็นเพื่อนขายของทุกวัน จนเพื่อนคนนึงเขาเป็นลูก ผอ.โรงเรียนไกล้ๆมาแซวว่า "ลูกไอ้ขายส้มดอง" ตอนนั้นคนเยอะมากน้ำตาจะไหล เพราะเขาไม่ได้ดูถูกเรา เขาดูถูกครอบครัวเราผมหันไปมองแม่ แม่บอกว่า ไม่เป็นไรลูกเขาพูดถูกเราขายจริงๆ แต่เรามีข้าวกินนะ เราไม่ได้ไปขอเขา สบายมากอย่าไปคิดอะไร อนาคตเราต้องสบาย

สิ้นคำพูดแม่ผมสบายใจและยังคงไปช่วยแม่ในวันหยุดจนแม่เก็บเงินก้อนหนึ่งได้และส่งผมเรียน ไปจนเข้าม.ปลาย ช่วงนั้นแม่ผมก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องเด็กๆ เรื่องความลำบากในอดีตต่างๆนาๆให้ผมคิดเสมอ ผมก็ฟังแม่เล่าเรื่องความฝันสูงสุดของแม่คือ มีบ้านสักหลังที่มีชื่อเราใครก็เอาไปไม่ได้ ให้ลูกๆอยู่ได้อย่างสบาย ผมจึงได้แต่คิดเสมอว่า ถ้าแม่ยังคงมีลูกแบบผมและน้องสาวอีกคนที่เรียนสูงแบบนี้ จนวันตายคงยากที่จะได้เห็นบ้านแบบนั้น

ตอนจบม.ปลายแม่มีเพื่อนมาเสนอขายบ้าน เราอยากได้มากแต่ติดที่ เงิน เงินและก็เงิน ผมทำได้แค่ดูแม่ขอร้องให้เพื่อนรอสักอาทิตย์จะไปหยิบยืมเพื่อนมาดาวน์แต่จนแล้วจนเล่า ก็หาไม่ได้เพราะเพื่อนที่มีรอบข้างก็ยากจน และก็หลุดลอยไป ตอนนั้นผมเรียนที่มหาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งผมเรียนอยู่ปีหนึ่ง ผมทำทุกอย่างเพื่อให้มีเงินใช้ ตอนเช้าไปเรียน ตอนบ่ายเลิกเรียนก็ไปเสริฟอาหารบ้าง ได้เงินมาจำนวนหนึ่งก็เก็บก็ใช้ จนวันนึงเพื่อนชักชวนไปทำงานที่เคเอฟซี ผมเป็นคนขยันจึงทำงานได้เยอะกว่าพาร์ทไทม์คนอื่นและอีกอย่างไกล้บ้าน ช่วงนั้นทำงานไปแค่ 10 กว่าวันเงินเดือนออก 4000 บาท แต่ขอบอกไว้ก่อนตอนทำงานพ่อแม่มารับทุกเย็น ทำกับข้าวรอด้วย กลัวเราจะเหนื่อย น้องสาวก็นั่งเล่นเกมส์กด รอเราทุกวัน พอถึงบ้านเราก็จะมีเรื่องที่ทำงานมาเล่า ไม่ว่าจะเรื่องเขาด่า เขาชมเราเล่าหมด พ่อกับแม่จะคอยช่วยเคลียให้ว่า ถ้าเขาด่าแบบนั้นเราควรทำไง อ่อนน้อมยังไง ขอโทษยังไง คือชีวิตดีดี อะครับแต่ไม่มีกิน 55555  แต่ก็เข้าเรื่องครับ เงินออก 4000 กว่าบาท พ่อแม่มารับที่ห้าง ผมก็ทำเป็นเดินพาแม่ไปดูข้าวสาร พาไปดูอาหารน่าทาน ดูเครื่องใช้ไฟฟ้า จากนั้นเปิดกระเป๋าออกมาให้พ่อกับแม่ดู พ่อยิ้มแก้มปริเลยครับ แม่ยิ้มแบบดีใจมาก มันคือเงินก้อนแรก จากแรงของเราที่พ่อแม่ต่างกลัวเกรงว่าเราจะเป็นเหมือนสภาพแวดล้อมของเด็กแถวบ้าน แต่นั่นไม่ใช่ผม ผมหยิบให้แม่ไป แม่ก็บอกแค่ว่าเดือนแรก ไม่ใช่ก่อนหรอ เก่งแล้วหัดดีนะเรา มีเงินใช้กับเขาก็เป็น แฮะๆ โคตรดีใจ พาพ่อไปซื้อแจคเก็ดใหม่ 1 ตัวให้เลือกเลย พ่อก็ไปเลือกตัว 199 เลยเผลอแกล้งเอามือไปตีมือเบาๆทีนึงและบอกว่า "รวยแล้วเอาดีๆที่ใส่นุ่มๆอุ่นๆสิ หนาวซื้อไปทำไมเดี๋ยวตีเลย " มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆ

ผ่านไปปีกว่าผมได้เริ่มงานใหม่ที่แมคโดนัล ตอนนั้นผมก็กู้ กยศ. เพราะค่าเทอมแพงมหาศาลและผมก็ได้เงินจากการทำแมคโดนัล เดือนละ 8000 กว่าบาท แต่ผมไม่บอกพ่อกับแม่ว่าได้ขนาดนี้ผมบอกไป 3 - 4พัน เพราะจะได้เก็บเป็นก้อนเผื่อ ความฝันจะได้เป้นจริงมาบ้าง ผ่านไปเกือบ จะจบปริญญาตรีผมเก็บเงินได้ 5 หมื่นบาทแม่โทรหาผม ถามเหมือนท่องสคริปเลยครับ ทุกวันวันละ 5-6สาย ลูกทำไร กินอะไรยัง กินกับอะไรสดใหม่สะอาดใหม่ แล้วนอนบ้างใหม เรียนเหนื่อยไหม นี่แม่รออยู่นะ

ผมได้ยินทุกวันจนจำได้และตอบไม่ซ้ำกันทุกวันเพื่อทำให้คำถามของคนที่มีความรู้แค่ป.3 ได้รู้ว่าเราให้ความสำคัญแค่ไหน ที่จะสรรหาคำใหม่ๆและความรู้สักเดิมยังคงอยู่ ผมไม่เคยเบื่อ แม้บางวันเขาอารมไม่ดีเขาก็โทรมาเสียงดุเราก็แซวบ้างบางทีคุณพ่อคุณแม่โดนแซวก็วางไปแล้วโทรมาคุยใหม่หัวเราะกันทุกวัน

จนผมจบป.ตรีผม ได้ทำงานแบงค์ สีเขียวและย้ายงานมาทำที่ เทคนิคแห่งหนึ่ง เงินเดือน 18000 บาทครับผมก็ลองหาวิธีสานฝันให้พ่อแม่ได้มีความสุข จนมาเจอเพื่อนที่จบมาจากบริหารธุรกิจชื่อดังเขาช่วยวางแผนชีวิตผม โดยเริ่มจากให้ผมมั่นคงในการทำงาน และรักษาประวัติในการทำงานไม่สายไม่ลาบ่อยเพื่อให้สถาบันได้ให้ความยั่งยืนมั่นใจแก่เราจากนั้นให้เรา ซื้อบ้านด้วยการผ่อนจากธนาคาร โดยการรอให้เราทำงานครบ  1 ปีแล้วค่อยลองหาที่ใช่ ผมก็มองมาเป็นปี จนกระทั่งเจอบ้านหลังหนึ่ง ตอนนั้นพ่อกับแม่ก็ไม่เคยหวังว่าเราจะต้องซื้อให้ และวันนั้นก็มาถึงผมได้เคารพที่ทำงาน เคารพวินัยตนเอง ทำให้ผมมีประวัติต่างๆเรียกง่ายๆว่า ชั้นดี ผมมีบัตรเครดิต 1 ใบบัตรผ่อนสินค้า 2 ใบผมใช้อย่างระมัดระวังเพราะผมคิดไว้เสมอวันหนึ่งผมต้อง เปิดร้านค้าให้พ่อแม่ได้ขายของไม่ต้องไปลำบาก บัตรพวกนี้อาจจะเป็นประโยชน์ และเมื่อวันนั้นมาถึงผมได้พาพ่อแม่มาดูบ้าน และถามว่า อยากได้ไหมเนี่ย เค้าก็บอกว่าอยากได้สิจะเอาเงินมาจากไหนอะลูก ลูกเอาไปใช้กินอยู่เถอะแม่ยังอยู่ได้ (ผมไม่เคยบอกเงินเดือนแม่) พ่อก็ว่าสิ้นเปลืองพ่อก็อยู่ได้ เดี๋ยวพอลูกกลับมาอยู่บ้านพ่อว่าค่อยว่าอีกที ตอนนั้นผมหยิบเล่มโฉนด และก็เอกสารการผ่อนซื้อของผมมาให้ดูและบอกว่า  ถ้าไม่เอาไม่รู้จะไปขายใครนะแม่ซื้อเขามาแล้ว

ตอนนั้นสองเฒ่าสองแก่ พ่อแม่ที่ซื่อสัตย์ทั้งความรักและให้ความสุขสบายกับผมมาตลอดก็ยิ้มแล้วบอกว่า ไม่เห็นบอกก่อนว่าจะเอาหลังนี้ พ่อก็ยิ้มแล้วเดินไปห้องนอนห้องหนึ่งแล้วบอกว่า ห้องนี้โล่งเนอะเรานอนห้องนี้ก็ได้ แม่ก็เลยเดินไปในครัวและแซวผม แหมรวยนะซื้อบ้านไม่บอกกู จะเคาะหัวซะดีไหม แล้วจากที่เราห่างไกลพ่อแม่มานานหน้าตาเค้าหมองๆ เหมือนเหนื่อยมาทั้งชีวิต เพิ่งเห็นวันนี้เขาอารมณ์ดีเบิกบานมาก ประมาณว่าเรามาสานความสุข ความฝันให้เขา เขาบอกเลยว่าไม่ต้องการอะไร นอกจากไม่อยากให้ลูกเป็นหนี้ แต่ผมตอบได้ผมยอมนะครับ ผมมีเวลาใช้หนี้อีกนาน ตอนนี้ผมขอให้พ่อแม่มีความสุขมากที่สุดนานที่สุด โดยไม่สนใจลำบาก ผมได้วางแผนไว้หมดแล้ว ทำให้ผมรู้ว่าการวางแผนชีวิตมันดีแค่ไหน ผมใช้บัตรผ่อนสินค้า ซื้อตู้แช่ เปิดร้านให้แม่ ใช้บัตรกดเงินสด ช่วงปลอดดอกในการลงทุนเปิดร้าน จนพ่อแม่ผมไม่ต้อไปขับรถหรือเร่ขายเหนื่อยอีก แต่ตอนผ่อนบัตรนี่ก็ไม่ได้ลำบากผมก็ทำตามคำแนะนำ จนผ่อนหมดในเวลารวดเร็วและทำให้ผมรู้อีกอย่างว่า บัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินหรือแม้แต่การผ่อน ถ้าเรามีวินัย และใช้ให้เป็นมันคือประโยชน์จริงๆ

สุดท้ายนี้พ่อแม่ลำบากมาทั้งชีวิต ต้นทุนครอบครัวลำบากจึงไม่มีทรัพย์สินดีๆ พ่อแม่ก็อายุมาก คงอยู่กับเราไม่นานการที่จะทำให้ท่านมีความสุขก่อนที่ท่านจะไม่มีโอกาส ควรอย่างยิ่ง ทำอะไรได้ทำไปครับ อย่าได้อายหรือย่อท้อ เพราะวันนึงหากท่านไม่อยู่แล้ว ทรัพย์สมบัติที่ทำให้เขาสะบาย ให้เขามีความสุขก็ได้เราเต็มๆ ไม่ได้ใครเลย รักท่านเหมือนที่ท่านรักและไม่เคยเปลี่ยนแปลงกับเราเลยนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่