สวัสดีค่ะ
2 ปีที่แล้ว ไหมลี่ตัดสินใจออกเดินทางท่องเที่ยวตามหัวใจเรียกร้อง หลังจากที่คิดอยู่นานว่าอยากเดินทาง ท่องเที่ยว เจออะไรใหม่ๆ แต่ทางบ้านเองก็เป็นห่วงมาก เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนที่บ้านก็ไม่ค่อยไปท่องเที่ยวเท่าไหร่ค่ะ เลยกลายเป็นอารมณ์เก็บกดนิดนึง แฮะๆ ><
ไม่รู้เหมือนกัน สำหรับเสียงเล็กๆ ดังในหัวใจ กระซิบว่า “ถ้าไม่ไปตอนนี้ จะไปตอนไหน” “แล้วจะรู้หรอ ว่าเป็นยังไง“
มันคุ้มเหลือเกินกับสิ่งที่เกิดขึ้น กับสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไป แม้ว่าตอนแรกจะมี “ความกลัว” เกิดขึ้นในจิตใจมากมาย แต่มาถึงตอนนี้ “ดีใจมากค่ะ” ดีใจที่เราตัดสินใจออกเดินทางเมื่อเรายังมีแรงและหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยพลัง
สองปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่เที่ยวซะส่วนใหญ่ ปีแรกนี่เที่ยวไปเรียน ป.โท ไป พอจบ ป.โท มาก็ทำงานแป็บนึง แล้วก็ไปอยู่ซิดนีย์เกือบปีเลย!! เก็บเงินไปยังไง เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าคุณสามารถยอมทำทุกอย่างเพื่อได้ไปเที่ยว คุณก็เป็นพวกเดียวกันนะ อิอิ
เกาหลีใต้, สิงคโปร์, กัมพูชา และออสเตรเลีย
ไหมลี่เก็บเงินตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 3 เก็บเดือนละ 2,000 รวมสองปี คิดๆ 2 * 12 * 2,000 จบป.ตรีมาก็มีเงินเก็บ = 48,000 บาท
ทริปแรกทัวร์เกาหลี ประมาณหมื่นห้า ทริปสอง สิงคโปร์ จองผ่านแอร์เอเชียโก Airasia Go ประมาณสี่ ห้าพันนี่แหละ จองข้ามปี ทริปนี่ก็หมดไปเจ็ดพัน
ถามว่าไปเที่ยวยังไง คือไหมลี่เน้นเที่ยว เน้นดูสถานที่ ถ่ายรูป ศึกษาผู้คน เรางบน้อยค่ะ ช็อปปิ้ง นอนดี กินดี อย่ดี นี่เอาไว้ก่อน ประหยัดสุดๆจริงๆค่ะ ไปสิงคโปร์นี่เข้าแต่เซเว่นและเอามาม่าถ้วยไปนะคะ 5555
เกาหลีกับสิงค์โปร์ นี่ไปช่วงที่เรียนโท คือจบตรีปุ๊บ ต่อโทเลย ทำงานไปเรียนไป ระหว่างนี้ก็เก็บเงินต่อ เป็นทุนการท่องเที่ยว ><
ทริปกัมพูชานี่ฟรี ไปกับบริษัท ช่วงที่ทำงานจบปริญญาโทใหม่ๆ บริษัทที่ทำงานเป็นบริษัททัวร์ คริๆ
จนคิดหนักช่วงที่ต้องมี 150,000 บาท เพื่อยื่นวีซ่า Work and Holiday Australia ช่วงที่เรียนปริญญาโทก็ขยันหาเงินมาก และเก็บมาเรื่อยๆ จนยื่นวีซ่าได้ไปออสเตรเลีย
สรุป 1 ปีแรก ไปสามทริป, 1 ปีหลังอยู่ออสเตรเลีย
จริงๆแล้วการเดินทางคนเดียวมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรนะ แต่มันจะมีช่วง “ความเหงา” ที่เข้ามารบกวนหัวใจ ฮ่าๆ การอยู่คนเดียวที่ต่างประเทศ ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น
ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน อยากทำอะไรก็ทำ อยากบ้าก็บ้า
มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของช่วงชีวิตดลยหละ ลองคิดดูนะ ถ้าเราไปต่างประเทศตอนอายุ 22 กับตอนอายุ 32 มันจะต่างกันมั๊ย? ถ้าเรารอให้เราโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ ความคิดความอ่านเราคงจะไม่เหมือนกับตอนนี้แล้ว ถึงตอนนั้นเราคงจะมีภาระมากมาย คงจะมาทำอะไรที่ บ้าๆบอๆ แบบนี้ก็ แปลกๆ แต่ยังไงไหมลี่ก็ยังไม่หยุดเที่ยวหรอก อิอิ
มันคุ้มค่ามาก เดินทางโดยที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะเจอเหตุการณ์อะไร จะเจอใคร แต่ที่สำคัญ คือ
“มันเปิดโลกทัศน์”
ทำให้เราเห็นสิ่งที่น่าสนใจมากมาย เจอคนเก่งๆ เจอไอเดีย ยิ่งไหมลี่จบด้านธุรกิจมานะ เห็นอะไรก็เป็นเงิน เป็นทอง ร้านนี้เมืองไทยน่าเปิดนะ สินค้านี้คนไทยน่าจะทำนะ หรือคนไทยน่าจะลองส่งออกนะ โอ๊ย..เยอะ
เราไปเมืองนอกทำตามความฝัน ไม่มีอะไรที่เติมเต็มความฝันของเราได้หรอก ถ้าเราไม่ทำมัน สุดท้ายก็ต้องทำมันอยู่ดี มันค้างคาในใจอะคะ ไหมลี่ไปเมืองนอกเพราะมันคือความฝัน เมื่อไหมลี่ทำมันสำเร็จ มันเหมือนกับเราก็จะมีความฝันต่อไป ต่อไปเรื่อยๆ และสิ่งนั้นก็คือ อยากกลับมาพัฒนาประเทศ ความคิดนี้มันหวนขึ้นเมื่อช่วงที่ทำงานอยู่ต่างประเทศและมันคือความฝันสูงสุด เราได้มาต่างประเทศแล้ว แล้วไงต่อ มาเที่ยว กลับไทย แค่นี้หรอ??? ทำให้ค้นพบว่า สิ่งที่ไหมลี่อยากทำต่อนั่นคือการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ ไอเดีย ที่เกิดขึ้น ออกไปสู่คนอื่นให้ได้มากที่สุด เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเพจของตัวเอง MailySamonwan
ไหมลี่ มี FB page
สร้างเงินล้านจากการไปเมืองนอก by Maily
เพจนี้ ตั้งใจจะแชร์ประสบการณ์และไอเดียสร้างเงินล้านจากการไปเมืองนอก แอบทำเพจนี้หลังเลิกงานประจำในแต่ละวัน หวังว่าจะเป็นเรื่องราวดีๆ แก่ทุกคนนะคะ
วันนี้ขออนุญาตนำรูปของการเที่ยวและใช้ชีวิตที่ต่างประเทศตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มาแชร์กัน
มาเริ่มกันด้วยรูปทำงานที่ต่างประเทศ
1.) เราเป็นผู้รับผิดชอบในทุกการตัดสินใจของเรา
ไล่จากซ้าย พนักงานขายซูชิ, พนักงานร้านไอศครีม, Kitchen Hand ร้านญี่ปุ่น, พนักงานเสิร์ฟร้านอาหารไทย

งานอื่นๆ ที่เคยทำได้แก่ พนักงาน Data Entry, สอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ, สอนภาษาอังกฤษ
ทำงานไป เที่ยวไป แล้วแต่ช่วง บางเดือนก็ทำงานหนัก บางเดือนก็เน้นเที่ยว แต่ยังไงก็ตาม ไหมลี่จะแบ่งบัญชีเงินเก็บไว้อย่างน้อยต้องได้ 1,000 ดอลลาร์ออสเตรเลียต่อเดือน (สองหมื่นหกพันบาทไทย)
ทำงานที่ต่างประเทศ มีทั้งเรื่องดีและเรื่องแย่ ทำงานเสิร์ฟวันแรกนี่ อยากกลับบ้านเลย โดนเจ้านายบ่น ด่า เหนื่อย ปวดขา หิว เจอคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน แต่ถ้าคุณผ่านมันมาได้ คุณจะภูมิใจกับมันมาก
2 ปี 4 ประเทศ เมื่อผู้หญิงตัวเล็กๆ ตัดสินใจ แบกเป้ลุยเดี่ยว เที่ยวพร้อมทำงาน !
สวัสดีค่ะ
2 ปีที่แล้ว ไหมลี่ตัดสินใจออกเดินทางท่องเที่ยวตามหัวใจเรียกร้อง หลังจากที่คิดอยู่นานว่าอยากเดินทาง ท่องเที่ยว เจออะไรใหม่ๆ แต่ทางบ้านเองก็เป็นห่วงมาก เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนที่บ้านก็ไม่ค่อยไปท่องเที่ยวเท่าไหร่ค่ะ เลยกลายเป็นอารมณ์เก็บกดนิดนึง แฮะๆ ><
ไม่รู้เหมือนกัน สำหรับเสียงเล็กๆ ดังในหัวใจ กระซิบว่า “ถ้าไม่ไปตอนนี้ จะไปตอนไหน” “แล้วจะรู้หรอ ว่าเป็นยังไง“
มันคุ้มเหลือเกินกับสิ่งที่เกิดขึ้น กับสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไป แม้ว่าตอนแรกจะมี “ความกลัว” เกิดขึ้นในจิตใจมากมาย แต่มาถึงตอนนี้ “ดีใจมากค่ะ” ดีใจที่เราตัดสินใจออกเดินทางเมื่อเรายังมีแรงและหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยพลัง
สองปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่เที่ยวซะส่วนใหญ่ ปีแรกนี่เที่ยวไปเรียน ป.โท ไป พอจบ ป.โท มาก็ทำงานแป็บนึง แล้วก็ไปอยู่ซิดนีย์เกือบปีเลย!! เก็บเงินไปยังไง เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าคุณสามารถยอมทำทุกอย่างเพื่อได้ไปเที่ยว คุณก็เป็นพวกเดียวกันนะ อิอิ
เกาหลีใต้, สิงคโปร์, กัมพูชา และออสเตรเลีย
ไหมลี่เก็บเงินตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปี 3 เก็บเดือนละ 2,000 รวมสองปี คิดๆ 2 * 12 * 2,000 จบป.ตรีมาก็มีเงินเก็บ = 48,000 บาท
ทริปแรกทัวร์เกาหลี ประมาณหมื่นห้า ทริปสอง สิงคโปร์ จองผ่านแอร์เอเชียโก Airasia Go ประมาณสี่ ห้าพันนี่แหละ จองข้ามปี ทริปนี่ก็หมดไปเจ็ดพัน
ถามว่าไปเที่ยวยังไง คือไหมลี่เน้นเที่ยว เน้นดูสถานที่ ถ่ายรูป ศึกษาผู้คน เรางบน้อยค่ะ ช็อปปิ้ง นอนดี กินดี อย่ดี นี่เอาไว้ก่อน ประหยัดสุดๆจริงๆค่ะ ไปสิงคโปร์นี่เข้าแต่เซเว่นและเอามาม่าถ้วยไปนะคะ 5555
เกาหลีกับสิงค์โปร์ นี่ไปช่วงที่เรียนโท คือจบตรีปุ๊บ ต่อโทเลย ทำงานไปเรียนไป ระหว่างนี้ก็เก็บเงินต่อ เป็นทุนการท่องเที่ยว ><
ทริปกัมพูชานี่ฟรี ไปกับบริษัท ช่วงที่ทำงานจบปริญญาโทใหม่ๆ บริษัทที่ทำงานเป็นบริษัททัวร์ คริๆ
จนคิดหนักช่วงที่ต้องมี 150,000 บาท เพื่อยื่นวีซ่า Work and Holiday Australia ช่วงที่เรียนปริญญาโทก็ขยันหาเงินมาก และเก็บมาเรื่อยๆ จนยื่นวีซ่าได้ไปออสเตรเลีย
สรุป 1 ปีแรก ไปสามทริป, 1 ปีหลังอยู่ออสเตรเลีย
จริงๆแล้วการเดินทางคนเดียวมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรนะ แต่มันจะมีช่วง “ความเหงา” ที่เข้ามารบกวนหัวใจ ฮ่าๆ การอยู่คนเดียวที่ต่างประเทศ ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น
ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน อยากทำอะไรก็ทำ อยากบ้าก็บ้า
มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของช่วงชีวิตดลยหละ ลองคิดดูนะ ถ้าเราไปต่างประเทศตอนอายุ 22 กับตอนอายุ 32 มันจะต่างกันมั๊ย? ถ้าเรารอให้เราโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ ความคิดความอ่านเราคงจะไม่เหมือนกับตอนนี้แล้ว ถึงตอนนั้นเราคงจะมีภาระมากมาย คงจะมาทำอะไรที่ บ้าๆบอๆ แบบนี้ก็ แปลกๆ แต่ยังไงไหมลี่ก็ยังไม่หยุดเที่ยวหรอก อิอิ
มันคุ้มค่ามาก เดินทางโดยที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะเจอเหตุการณ์อะไร จะเจอใคร แต่ที่สำคัญ คือ
“มันเปิดโลกทัศน์”
ทำให้เราเห็นสิ่งที่น่าสนใจมากมาย เจอคนเก่งๆ เจอไอเดีย ยิ่งไหมลี่จบด้านธุรกิจมานะ เห็นอะไรก็เป็นเงิน เป็นทอง ร้านนี้เมืองไทยน่าเปิดนะ สินค้านี้คนไทยน่าจะทำนะ หรือคนไทยน่าจะลองส่งออกนะ โอ๊ย..เยอะ
เราไปเมืองนอกทำตามความฝัน ไม่มีอะไรที่เติมเต็มความฝันของเราได้หรอก ถ้าเราไม่ทำมัน สุดท้ายก็ต้องทำมันอยู่ดี มันค้างคาในใจอะคะ ไหมลี่ไปเมืองนอกเพราะมันคือความฝัน เมื่อไหมลี่ทำมันสำเร็จ มันเหมือนกับเราก็จะมีความฝันต่อไป ต่อไปเรื่อยๆ และสิ่งนั้นก็คือ อยากกลับมาพัฒนาประเทศ ความคิดนี้มันหวนขึ้นเมื่อช่วงที่ทำงานอยู่ต่างประเทศและมันคือความฝันสูงสุด เราได้มาต่างประเทศแล้ว แล้วไงต่อ มาเที่ยว กลับไทย แค่นี้หรอ??? ทำให้ค้นพบว่า สิ่งที่ไหมลี่อยากทำต่อนั่นคือการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ ไอเดีย ที่เกิดขึ้น ออกไปสู่คนอื่นให้ได้มากที่สุด เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเพจของตัวเอง MailySamonwan
ไหมลี่ มี FB page
สร้างเงินล้านจากการไปเมืองนอก by Maily
เพจนี้ ตั้งใจจะแชร์ประสบการณ์และไอเดียสร้างเงินล้านจากการไปเมืองนอก แอบทำเพจนี้หลังเลิกงานประจำในแต่ละวัน หวังว่าจะเป็นเรื่องราวดีๆ แก่ทุกคนนะคะ
วันนี้ขออนุญาตนำรูปของการเที่ยวและใช้ชีวิตที่ต่างประเทศตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มาแชร์กัน
มาเริ่มกันด้วยรูปทำงานที่ต่างประเทศ
1.) เราเป็นผู้รับผิดชอบในทุกการตัดสินใจของเรา
ไล่จากซ้าย พนักงานขายซูชิ, พนักงานร้านไอศครีม, Kitchen Hand ร้านญี่ปุ่น, พนักงานเสิร์ฟร้านอาหารไทย
ทำงานไป เที่ยวไป แล้วแต่ช่วง บางเดือนก็ทำงานหนัก บางเดือนก็เน้นเที่ยว แต่ยังไงก็ตาม ไหมลี่จะแบ่งบัญชีเงินเก็บไว้อย่างน้อยต้องได้ 1,000 ดอลลาร์ออสเตรเลียต่อเดือน (สองหมื่นหกพันบาทไทย)
ทำงานที่ต่างประเทศ มีทั้งเรื่องดีและเรื่องแย่ ทำงานเสิร์ฟวันแรกนี่ อยากกลับบ้านเลย โดนเจ้านายบ่น ด่า เหนื่อย ปวดขา หิว เจอคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน แต่ถ้าคุณผ่านมันมาได้ คุณจะภูมิใจกับมันมาก