แจสเหงื่อตกปลดล็อก4จี ทีม'พิชญ์'ไม่ปฏิเสธทาบ'เทมาเสก'ร่วมทุน
ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
"โสรัชย์" เผยแบงก์กรุงเทพมีความตั้งใจพร้อมเป็นแหล่งเงินกู้ให้ "แจส โมบาย" แต่ขอเงื่อนไขเดียว "จัสมิน" ต้องเพิ่มทุน หลังตัวเลขประมูล 4 จีจากที่ประเมิน 5 หมื่นล้าน พุ่งเป็น 7.5 หมื่นล้าน มั่นใจหาพันธมิตรร่วมทุนได้ทัน สร้างความเชื่อมั่นปลดล็อกทุกอย่าง แบงก์รับห่วงจุดคุ้มทุน-หลักประกัน การสร้างรายได้จากฐานลูกค้าเทียบระยะเวลาสัมปทาน พร้อมจับตาโฉมหน้าพันธมิตรร่วมทุนจริงไหมก่อนตัดสินใจ
ถูกกระแสข่าวรุมเร้าอย่างหนักว่า บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด ผู้ชนะประมูลคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ จาก กสทช.(คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) เพื่อให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 4 จี ซึ่งเป็น 1 ใน 2 รายที่เสนอราคาสุดท้าย ที่ราคา 75,654 ล้านบาทนั้นปรากฏว่าวงเงินค่าคลื่นที่สูงเกินความเป็นจริงทำให้ ธนาคารกรุงเทพไม่ยอมรับค้ำประกันเงินกู้ จนส่งผลให้ราคาหุ้นของ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ แจส บริษัทแม่ของ "แจส โมบาย" ร่วงลงอย่างหนักปิดตลาดที่ 2.92 บาท (ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2559) จากราคาสูงสุดเมื่อปลายปี 2558 ที่ 9.25 บาท
ยอมรับธ.กรุงเทพให้เพิ่มทุน
นายโสรัชย์ อัศวะประภา กรรมการ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (บมจ.) และเป็นหนึ่งในดรีมทีมเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพมีความตั้งใจที่จะสนับสนุนเงินกู้จำนวน 7.5 หมื่นล้านบาทให้กับ แจส โมบาย แต่ขอเงื่อนไขเพิ่มเติม คือให้ จัสมิน เพิ่มทุน เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการประเมินตัวเลขประมูลคร่าวๆไว้ที่ 5 หมื่นล้านบาท แต่ปรากฏว่าวันประมูลจริงราคาสุดท้ายอยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านบาท
"เจ้าของ (หมายถึง:พิชญ์ โพธารามิก) ไม่ต้องการ dilute (ลดสัดส่วนหุ้น) เพราะเขาลงแรง ลงทุนทุกอย่าง และคนเป็นเจ้าของก็อยากถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเขาก็ต้องมั่นใจ และเขาก็ผ่านอะไรมาเยอะเจอวิกฤติราคาหุ้นจาก 20 สตางค์ก็ยังสู้มาได้"
ปัจจุบัน จัสมิน มีทุนจดทะเบียน 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ แจส โมบาย (ถือหุ้นใหญ่โดยจัสมิน) มีทุนจดทะเบียน 5 พันล้านบาท
ค่างวดไม่ใช่ปัญหา
ขณะที่การชำระค่าใบอนุญาตในแต่ละงวดสำหรับ แจส โมบาย ไม่ใช่ปัญหา เพราะงวดที่หนึ่งจ่ายให้ กสทช. จำนวน 8.04 พันล้านบาท, งวดที่ 2 และ 3 ประมาณงวดละ 4 พันล้านบาท แต่ธนาคารกรุงเทพกังวลในงวดสุดท้ายเพราะต้องชำระเงินประมูลคลื่นความถี่ส่วนที่เหลือทั้งหมดจำนวน 5 หมื่นล้านบาท
ดังนั้นถ้า แจส โมบาย ได้พันธมิตรเข้ามาร่วมทุนผลลัพธ์ที่ตามมา คือ ภาพลักษณ์ของ แจส โมบาย จะเกิดความเชื่อมั่นกับนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ เมื่อเกิดความเชื่อมั่นทางธุรกิจทางธนาคารกรุงเทพ ก็น่าจะสนับสนุนหรือค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท
มั่นใจได้พันธมิตรทันเวลา
นายโสรัชย์ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เชื่อว่าภายในเร็วๆ นี้ แจส โมบาย น่าจะได้พันธมิตรเข้ามาลงทุนแต่ไม่ขอเปิดเผยเป็นกลุ่มทุนรายใด เพราะหลังจาก แจส โมบาย ชนะประมูลทำให้บริษัทต่างชาติอยากมาร่วมทุน ซึ่งขณะนี้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องแผนธุรกิจแล้วหากมีทีมต่างชาติเข้ามาเชื่อว่าทุกอย่างก็จบ
"ผมคิดว่าทุกอย่างน่าจะทันก่อนวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระในงวดแรก เพราะว่าคนที่มาร่วมลงทุนมีประสบการณ์ลงทุนทางด้านเทเลคอมมาเป็น 10 ปี เพียงแต่เขาต้องสอบถามข้อมูลด้านการตลาดของประเทศไทย หากเข้าจะมาลงทุนถ้าถือหุ้นต่ำกว่า 25% เข้าก็ไม่อยากมาร่วมลงทุน สัดส่วนน่าจะอยู่ที่ 49-51% หรือ 60-40% ส่วนเรื่อง เทมาเสก โฮลดิ้งส์ จะเข้ามาร่วมลงทุนนั้นผมได้ยินเพียงแค่ข่าวลือ แต่วงในระดับเจ้าของเขาจะคุยกันหรือเปล่าผมไม่ทราบ"
ตั้งใจ 100% ทำมือถือ
นายโสรัชย์ กล่าวต่ออีกว่า แจส โมบาย มีความประสงค์ทำธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีความเชื่อมั่นจะเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายที่ 4 แม้จะประมูลราคาคลื่นความถี่ 7.5 หมื่นล้านบาท บริษัทเชื่อว่าทำได้เพราะศักยภาพตลาดประเทศไทยยังมีอีกมาก
"ช่วงที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มสื่อสารปรับตัวขึ้น แต่พอมีรายที่ 4 เข้ามาหุ้นก็ปรับตัวลดลงแต่ถึงลดลงนักลงทุนก็ยังมีกำไร เรามีความตั้งใจเต็มที่ 100% มีความพร้อมทุกอย่าง 100% ส่วนเรื่องที่เราเก็บป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์เพราะว่าเราไม่อยากออกตัวแรง เท่าที่สอบถามทุกคนอยากได้รายที่ 4"
ไม่เชื่อยึดใบอนุญาต 3BB
นอกจากนี้นายโสรัชย์ ยังกล่าวอีกว่า กรณีที่มีข่าวว่าหาก แจส โมบาย ไม่จ่ายค่าใบอนุญาตจะทำการยึดใบอนุญาตบมจ. ทริปเปิ้ลทีบรอดแบนด์ ซึ่งให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงภายใต้แบรนด์ "3BB" ว่าต้องมีการเจรจาระหว่างกัน แต่คิดว่าความเสียหายไม่น่าจะถึงขั้นรุนแรงขนาดนั้น
แบงก์จับตาพันธมิตรจริง"แจส"
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ ตั้งข้อสังเกตว่าการลงทุน 4 จีที่จะเกิดขึ้น แม้จะเป็นเทรนด์ของตลาด แต่โอกาสไม่ได้เป็นของทุกค่าย เพราะเค้กมีอยู่ก้อนเดียว ดังนั้นค่ายที่จะอยู่รอดได้ต้องแย่งส่วนแบ่งให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีเครือข่ายและสามารถพัฒนาการให้บริการในราคาถูกและมีคุณภาพดีจึงจะสามารถจูงใจให้ลูกค้าย้ายค่ายมาใช้บริการ แต่สำหรับแจสซึ่งเป็นหน้าใหม่ยังไม่มีฐานลูกค้าเลย และยังต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ตั้งแต่ติดตั้งเครือข่าย ไปจนถึงการพัฒนาระบบต่างๆ
ที่สำคัญแผนการทำตลาดเพื่อแย่งชิงแชร์แจสจะทำอย่างไร เพราะหากให้น้ำหนักว่าบริการต้องดีและถูก เหล่านี้จะเป็นปัจจัยทำให้รายได้ของแจสต่ำลงไปอีก ซึ่งธนาคารยึดหลักเกณฑ์การปล่อยกู้สินเชื่อโครงการ (Project Finance) จะต้องพิจารณารายละเอียดของแผนธุรกิจอย่างรอบคอบว่าโครงการมีความเป็นไปได้หรือไม่ เช่นเดียวกับธนาคารที่จะปล่อยกู้ร่วม (Syndicate Loan) ต่างก็รอดูความชัดเจนว่าพันธมิตรของแจส ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรเกาหลี หรือแอลจี ตามกระแสข่าวล่าสุด จะตัดสินใจเข้ามาร่วมลงทุนจริงหรือไม่
ตั้งเงื่อนก่อนอนุมัติให้กู้
ด้านแหล่งข่าวธนาคารพาณิชย์อีกราย กล่าวว่าเป็นที่ทราบกันในวงกว้างว่า ผู้ประกอบการทั้ง 2 ราย (แจส โมบาย และทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น) อยู่ระหว่างยื่นขอวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และธนาคารเองก็อยู่ในช่วงการพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการและความเสี่ยงของธุรกิจ เนื่องจากต้องใช้วงเงินสินเชื่อสูงมาก ดังนั้นการอำนวยสินเชื่อจำเป็นต้องหาผู้ร่วมปล่อยกู้
"ยอมรับว่าทั้ง 2 รายเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ แต่หลักการพิจารณาก่อนจะอนุมัติวงเงิน แบงก์ให้น้ำหนักเกี่ยวกับระยะเวลาของจุดคุ้มทุน เมื่อเทียบกับระยะเวลาสัมปทานที่ได้รับ อีกทั้งผู้ประกอบการต้องแสดงหลักประกันที่เชื่อได้ว่าจะช่วยลดความเสี่ยง หรือสร้างความเชื่อมั่นให้แบงก์เจ้าหนี้ได้ รวมทั้งพิสูจน์ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ เช่น การหาลูกค้า รายได้เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย ถึงจุดคุ้มทุนก่อนระยะเวลาสัมปทานหรือไม่ ที่สำคัญ ผู้ประกอบการมีเกณฑ์คำนวณอย่างไร เช่น มูลค่าประมูลกว่า 7 หมื่นล้านบาท และยังต้องหาวงเงินลงทุนต่อรายอีกกว่า 7 หมื่นล้านบาท"
พุ่งความเป็นไปได้ขยายฐาน4จี
แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวย้ำว่า ธนาคารพาณิชย์ต้องการจะเห็นว่าธุรกิจมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร เพราะกสทช.กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตต้องขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมประชากร 50% ใน 4 ปีแรก จากนั้นภายในปีที่ 8 ต้องครอบคลุมได้ถึง 80% ขณะที่การเปลี่ยนผู้บริโภคให้มาใช้บริการ ที่เห็นเวลานี้ก็ยังขลุกขลัก จึงต้องให้แน่ใจว่าผู้ประกอบการมีช่องทางธุรกิจอื่นใดบ้าง เพราะถ้ายังทำรูปแบบเดิม ส่วนแบ่งทางการตลาดก็ไม่น่าจะใหญ่พอที่จะทำกำไรได้
ก่อนหน้านี้นายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 4-5 แห่ง ออกหนังสือค้ำประกันหรือแบงก์การันตีให้กับกลุ่มทรู สำหรับการจ่ายค่าใบอนุญาต 4 จี คลื่น 900 MHz งวดแรก โดย SCB เป็นลีดนำในการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มทรู
หายห่วงแหล่งเงินปล่อยกู้"ทรู"
เช่นเดียวกับนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางกลุ่มทรูได้ยื่นคำขอสินเชื่อและให้ธนาคารออกแบงก์การันตี ซึ่งธนาคารอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดของแผน เพราะโดยหลักการธนาคารออมสิน จะระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อรายใหญ่อยู่แล้ว ยกเว้นโครงการตามนโยบายของรัฐ โดยเกณฑ์ปล่อยกู้กลุ่มลูกค้ารายใหญ่(Single Lending Limit) ต้องไม่เกิน 25% ของเงินกองทุน จากปัจจุบันที่ธนาคารมีเงินกองทุน 1.4 แสนล้านบาท (วงเงินปล่อยกู้รายใหญ่ได้ 3.5 หมื่นล้านบาท) ดังนั้นถ้าจะปล่อยกู้ให้จริงก็ได้หลายหมื่นล้านบาท
แต่เนื่องจากหลักการปล่อยสินเชื่อของธนาคารออมสิน กำหนดเพดานปล่อยกู้รายใหญ่ไว้ไม่เกินสัดส่วน 10% ของพอร์ตสินเชื่อรวม ส่วนพอร์ตใหญ่ 90% เป็นสินเชื่อรายย่อย แต่เวลานี้ได้ปล่อยสินเชื่อรายย่อยไปแล้วเป็นสัดส่วนถึง 95% จึงเหลือวงเงินปล่อยกู้รายใหญ่ได้ไม่มากหรือเพียง 5%
ธปท.ยันไม่มีขอปล่อยกู้เกิน
ขณะที่นายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่มีธนาคารพาณิชย์รายใดทำหนังสือเข้ามาที่ ธปท. เพื่อขออนุญาตปล่อยกู้ลูกค้ารายใหญ่ในวงเงินที่เกินเกณฑ์ธปท. กำหนด (เกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่ หรือ Single Lending Limit) ทั้งนี้คาดว่าคงต้องรอให้ผู้ขอกู้และธนาคารผู้ปล่อยกู้ได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยก่อนว่าจะมีการปล่อยกู้ในวงเงินเท่าไรอย่างไร ก่อนที่จะมาหารือกับ ธปท. แต่ยืนยันว่าปัจจุบันยังไม่มีผู้มายื่นขออนุญาต
"ประเด็นเรื่องใบอนุญาต 4จี ธปท.ให้ความสนใจและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยจะต้องดูว่าในลำดับต่อไปผู้ประกอบการจะมีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใด และจะมีความสามารถในการจูงใจให้ลูกค้ามาใช้บริการของตนเองอย่างไร อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผู้ประกอบการที่ประมูลใบอนุญาตทั้ง 2 รายก็น่าจะมีแผนธุรกิจที่จะดำเนินการอย่างชัดเจนอยู่แล้วในระดับหนึ่ง"
ไม่ห่วงหนี้ทีวีดิจิตอลแค่ 0.2%
นายรณดล ยังกล่าวถึงกรณี "ทีวีดิจิตอล" ที่ธนาคารพาณิชย์ออกแบงก์การันตีไปแล้วนั้นว่า เมื่อเทียบกับฐานะทางการเงิน หรือเงินกันสำรองของธนาคารพาณิชย์แล้วนั้น ไม่น่าจะเป็นประเด็นที่ต้องเป็นห่วงนัก เพราะเป็นสัดส่วนที่น้อยมากสำหรับการปล่อยกู้ให้กับทีวีดิจิตอลทั้ง 17 ช่อง อีกทั้งปัจจุบัน ก็ใช่ว่าทุกรายจะมีปัญหา
"กรณีดังกล่าวเป็นเพียงสัดส่วน 0.2% ของสินเชื่อทั้งระบบ และมองว่ากับแบงก์พาณิชย์เองก็ไม่น่าจะมีประเด็นอะไรที่น่าห่วง หรือไม่ได้มีนัยสำคัญต่อระบบสถาบันการเงิน แม้ว่าจะเอาเงินทั้งก้อนมารวมกันก็ยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ด้านเงินสำรองของแบงก์เองก็มีอยู่เพียงพอ และเกินกว่าการปล่อยกู้ให้กับทีวีดิจิตอลทั้งหมด ส่วนประเด็นการชำระเงินในงวดที่ 3 ก็ขึ้นอยู่ว่ามีการตกลงกันอย่างไร และกสทช. จะมีทางออกอย่างไรให้กับผู้ประกอบการหรือไม่
16 ก.พ.ได้ข้อสรุป"ไทยทีวี"
ส่วนข้อถามถึงความคืบหน้ากรณีไทยทีวีและโลก้านั้น นายวีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ สายลูกค้าธุรกิจรายกลาง บมจ.ธนาคารกรุงเทพกล่าวว่า ต้องรอฟังมติบอร์ดกสทช.ที่จะมีการประชุมหาข้อสรุปในวันที่ 16 กุมภาพันธ์นี้ โดยยืนยันว่าไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ธนาคารกรุงเทพในฐานะเจ้าหนี้ก็จะต้องปฏิบัติตาม
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
'แจส' เหงื่อตกปลดล็อก 4จี ทีม 'พิชญ์' ไม่ปฏิเสธทาบ 'เทมาเสก' ร่วมทุน
แจสเหงื่อตกปลดล็อก4จี ทีม'พิชญ์'ไม่ปฏิเสธทาบ'เทมาเสก'ร่วมทุน
ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
"โสรัชย์" เผยแบงก์กรุงเทพมีความตั้งใจพร้อมเป็นแหล่งเงินกู้ให้ "แจส โมบาย" แต่ขอเงื่อนไขเดียว "จัสมิน" ต้องเพิ่มทุน หลังตัวเลขประมูล 4 จีจากที่ประเมิน 5 หมื่นล้าน พุ่งเป็น 7.5 หมื่นล้าน มั่นใจหาพันธมิตรร่วมทุนได้ทัน สร้างความเชื่อมั่นปลดล็อกทุกอย่าง แบงก์รับห่วงจุดคุ้มทุน-หลักประกัน การสร้างรายได้จากฐานลูกค้าเทียบระยะเวลาสัมปทาน พร้อมจับตาโฉมหน้าพันธมิตรร่วมทุนจริงไหมก่อนตัดสินใจ
ถูกกระแสข่าวรุมเร้าอย่างหนักว่า บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด ผู้ชนะประมูลคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ จาก กสทช.(คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) เพื่อให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 4 จี ซึ่งเป็น 1 ใน 2 รายที่เสนอราคาสุดท้าย ที่ราคา 75,654 ล้านบาทนั้นปรากฏว่าวงเงินค่าคลื่นที่สูงเกินความเป็นจริงทำให้ ธนาคารกรุงเทพไม่ยอมรับค้ำประกันเงินกู้ จนส่งผลให้ราคาหุ้นของ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ แจส บริษัทแม่ของ "แจส โมบาย" ร่วงลงอย่างหนักปิดตลาดที่ 2.92 บาท (ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2559) จากราคาสูงสุดเมื่อปลายปี 2558 ที่ 9.25 บาท
ยอมรับธ.กรุงเทพให้เพิ่มทุน
นายโสรัชย์ อัศวะประภา กรรมการ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (บมจ.) และเป็นหนึ่งในดรีมทีมเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพมีความตั้งใจที่จะสนับสนุนเงินกู้จำนวน 7.5 หมื่นล้านบาทให้กับ แจส โมบาย แต่ขอเงื่อนไขเพิ่มเติม คือให้ จัสมิน เพิ่มทุน เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการประเมินตัวเลขประมูลคร่าวๆไว้ที่ 5 หมื่นล้านบาท แต่ปรากฏว่าวันประมูลจริงราคาสุดท้ายอยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านบาท
"เจ้าของ (หมายถึง:พิชญ์ โพธารามิก) ไม่ต้องการ dilute (ลดสัดส่วนหุ้น) เพราะเขาลงแรง ลงทุนทุกอย่าง และคนเป็นเจ้าของก็อยากถือหุ้นใหญ่ ซึ่งเขาก็ต้องมั่นใจ และเขาก็ผ่านอะไรมาเยอะเจอวิกฤติราคาหุ้นจาก 20 สตางค์ก็ยังสู้มาได้"
ปัจจุบัน จัสมิน มีทุนจดทะเบียน 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ แจส โมบาย (ถือหุ้นใหญ่โดยจัสมิน) มีทุนจดทะเบียน 5 พันล้านบาท
ค่างวดไม่ใช่ปัญหา
ขณะที่การชำระค่าใบอนุญาตในแต่ละงวดสำหรับ แจส โมบาย ไม่ใช่ปัญหา เพราะงวดที่หนึ่งจ่ายให้ กสทช. จำนวน 8.04 พันล้านบาท, งวดที่ 2 และ 3 ประมาณงวดละ 4 พันล้านบาท แต่ธนาคารกรุงเทพกังวลในงวดสุดท้ายเพราะต้องชำระเงินประมูลคลื่นความถี่ส่วนที่เหลือทั้งหมดจำนวน 5 หมื่นล้านบาท
ดังนั้นถ้า แจส โมบาย ได้พันธมิตรเข้ามาร่วมทุนผลลัพธ์ที่ตามมา คือ ภาพลักษณ์ของ แจส โมบาย จะเกิดความเชื่อมั่นกับนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ เมื่อเกิดความเชื่อมั่นทางธุรกิจทางธนาคารกรุงเทพ ก็น่าจะสนับสนุนหรือค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท
มั่นใจได้พันธมิตรทันเวลา
นายโสรัชย์ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เชื่อว่าภายในเร็วๆ นี้ แจส โมบาย น่าจะได้พันธมิตรเข้ามาลงทุนแต่ไม่ขอเปิดเผยเป็นกลุ่มทุนรายใด เพราะหลังจาก แจส โมบาย ชนะประมูลทำให้บริษัทต่างชาติอยากมาร่วมทุน ซึ่งขณะนี้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องแผนธุรกิจแล้วหากมีทีมต่างชาติเข้ามาเชื่อว่าทุกอย่างก็จบ
"ผมคิดว่าทุกอย่างน่าจะทันก่อนวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระในงวดแรก เพราะว่าคนที่มาร่วมลงทุนมีประสบการณ์ลงทุนทางด้านเทเลคอมมาเป็น 10 ปี เพียงแต่เขาต้องสอบถามข้อมูลด้านการตลาดของประเทศไทย หากเข้าจะมาลงทุนถ้าถือหุ้นต่ำกว่า 25% เข้าก็ไม่อยากมาร่วมลงทุน สัดส่วนน่าจะอยู่ที่ 49-51% หรือ 60-40% ส่วนเรื่อง เทมาเสก โฮลดิ้งส์ จะเข้ามาร่วมลงทุนนั้นผมได้ยินเพียงแค่ข่าวลือ แต่วงในระดับเจ้าของเขาจะคุยกันหรือเปล่าผมไม่ทราบ"
ตั้งใจ 100% ทำมือถือ
นายโสรัชย์ กล่าวต่ออีกว่า แจส โมบาย มีความประสงค์ทำธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีความเชื่อมั่นจะเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายที่ 4 แม้จะประมูลราคาคลื่นความถี่ 7.5 หมื่นล้านบาท บริษัทเชื่อว่าทำได้เพราะศักยภาพตลาดประเทศไทยยังมีอีกมาก
"ช่วงที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มสื่อสารปรับตัวขึ้น แต่พอมีรายที่ 4 เข้ามาหุ้นก็ปรับตัวลดลงแต่ถึงลดลงนักลงทุนก็ยังมีกำไร เรามีความตั้งใจเต็มที่ 100% มีความพร้อมทุกอย่าง 100% ส่วนเรื่องที่เราเก็บป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์เพราะว่าเราไม่อยากออกตัวแรง เท่าที่สอบถามทุกคนอยากได้รายที่ 4"
ไม่เชื่อยึดใบอนุญาต 3BB
นอกจากนี้นายโสรัชย์ ยังกล่าวอีกว่า กรณีที่มีข่าวว่าหาก แจส โมบาย ไม่จ่ายค่าใบอนุญาตจะทำการยึดใบอนุญาตบมจ. ทริปเปิ้ลทีบรอดแบนด์ ซึ่งให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงภายใต้แบรนด์ "3BB" ว่าต้องมีการเจรจาระหว่างกัน แต่คิดว่าความเสียหายไม่น่าจะถึงขั้นรุนแรงขนาดนั้น
แบงก์จับตาพันธมิตรจริง"แจส"
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ ตั้งข้อสังเกตว่าการลงทุน 4 จีที่จะเกิดขึ้น แม้จะเป็นเทรนด์ของตลาด แต่โอกาสไม่ได้เป็นของทุกค่าย เพราะเค้กมีอยู่ก้อนเดียว ดังนั้นค่ายที่จะอยู่รอดได้ต้องแย่งส่วนแบ่งให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีเครือข่ายและสามารถพัฒนาการให้บริการในราคาถูกและมีคุณภาพดีจึงจะสามารถจูงใจให้ลูกค้าย้ายค่ายมาใช้บริการ แต่สำหรับแจสซึ่งเป็นหน้าใหม่ยังไม่มีฐานลูกค้าเลย และยังต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ตั้งแต่ติดตั้งเครือข่าย ไปจนถึงการพัฒนาระบบต่างๆ
ที่สำคัญแผนการทำตลาดเพื่อแย่งชิงแชร์แจสจะทำอย่างไร เพราะหากให้น้ำหนักว่าบริการต้องดีและถูก เหล่านี้จะเป็นปัจจัยทำให้รายได้ของแจสต่ำลงไปอีก ซึ่งธนาคารยึดหลักเกณฑ์การปล่อยกู้สินเชื่อโครงการ (Project Finance) จะต้องพิจารณารายละเอียดของแผนธุรกิจอย่างรอบคอบว่าโครงการมีความเป็นไปได้หรือไม่ เช่นเดียวกับธนาคารที่จะปล่อยกู้ร่วม (Syndicate Loan) ต่างก็รอดูความชัดเจนว่าพันธมิตรของแจส ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรเกาหลี หรือแอลจี ตามกระแสข่าวล่าสุด จะตัดสินใจเข้ามาร่วมลงทุนจริงหรือไม่
ตั้งเงื่อนก่อนอนุมัติให้กู้
ด้านแหล่งข่าวธนาคารพาณิชย์อีกราย กล่าวว่าเป็นที่ทราบกันในวงกว้างว่า ผู้ประกอบการทั้ง 2 ราย (แจส โมบาย และทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น) อยู่ระหว่างยื่นขอวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และธนาคารเองก็อยู่ในช่วงการพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการและความเสี่ยงของธุรกิจ เนื่องจากต้องใช้วงเงินสินเชื่อสูงมาก ดังนั้นการอำนวยสินเชื่อจำเป็นต้องหาผู้ร่วมปล่อยกู้
"ยอมรับว่าทั้ง 2 รายเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ แต่หลักการพิจารณาก่อนจะอนุมัติวงเงิน แบงก์ให้น้ำหนักเกี่ยวกับระยะเวลาของจุดคุ้มทุน เมื่อเทียบกับระยะเวลาสัมปทานที่ได้รับ อีกทั้งผู้ประกอบการต้องแสดงหลักประกันที่เชื่อได้ว่าจะช่วยลดความเสี่ยง หรือสร้างความเชื่อมั่นให้แบงก์เจ้าหนี้ได้ รวมทั้งพิสูจน์ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ เช่น การหาลูกค้า รายได้เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย ถึงจุดคุ้มทุนก่อนระยะเวลาสัมปทานหรือไม่ ที่สำคัญ ผู้ประกอบการมีเกณฑ์คำนวณอย่างไร เช่น มูลค่าประมูลกว่า 7 หมื่นล้านบาท และยังต้องหาวงเงินลงทุนต่อรายอีกกว่า 7 หมื่นล้านบาท"
พุ่งความเป็นไปได้ขยายฐาน4จี
แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวย้ำว่า ธนาคารพาณิชย์ต้องการจะเห็นว่าธุรกิจมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร เพราะกสทช.กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตต้องขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมประชากร 50% ใน 4 ปีแรก จากนั้นภายในปีที่ 8 ต้องครอบคลุมได้ถึง 80% ขณะที่การเปลี่ยนผู้บริโภคให้มาใช้บริการ ที่เห็นเวลานี้ก็ยังขลุกขลัก จึงต้องให้แน่ใจว่าผู้ประกอบการมีช่องทางธุรกิจอื่นใดบ้าง เพราะถ้ายังทำรูปแบบเดิม ส่วนแบ่งทางการตลาดก็ไม่น่าจะใหญ่พอที่จะทำกำไรได้
ก่อนหน้านี้นายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 4-5 แห่ง ออกหนังสือค้ำประกันหรือแบงก์การันตีให้กับกลุ่มทรู สำหรับการจ่ายค่าใบอนุญาต 4 จี คลื่น 900 MHz งวดแรก โดย SCB เป็นลีดนำในการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มทรู
หายห่วงแหล่งเงินปล่อยกู้"ทรู"
เช่นเดียวกับนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางกลุ่มทรูได้ยื่นคำขอสินเชื่อและให้ธนาคารออกแบงก์การันตี ซึ่งธนาคารอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดของแผน เพราะโดยหลักการธนาคารออมสิน จะระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อรายใหญ่อยู่แล้ว ยกเว้นโครงการตามนโยบายของรัฐ โดยเกณฑ์ปล่อยกู้กลุ่มลูกค้ารายใหญ่(Single Lending Limit) ต้องไม่เกิน 25% ของเงินกองทุน จากปัจจุบันที่ธนาคารมีเงินกองทุน 1.4 แสนล้านบาท (วงเงินปล่อยกู้รายใหญ่ได้ 3.5 หมื่นล้านบาท) ดังนั้นถ้าจะปล่อยกู้ให้จริงก็ได้หลายหมื่นล้านบาท
แต่เนื่องจากหลักการปล่อยสินเชื่อของธนาคารออมสิน กำหนดเพดานปล่อยกู้รายใหญ่ไว้ไม่เกินสัดส่วน 10% ของพอร์ตสินเชื่อรวม ส่วนพอร์ตใหญ่ 90% เป็นสินเชื่อรายย่อย แต่เวลานี้ได้ปล่อยสินเชื่อรายย่อยไปแล้วเป็นสัดส่วนถึง 95% จึงเหลือวงเงินปล่อยกู้รายใหญ่ได้ไม่มากหรือเพียง 5%
ธปท.ยันไม่มีขอปล่อยกู้เกิน
ขณะที่นายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่มีธนาคารพาณิชย์รายใดทำหนังสือเข้ามาที่ ธปท. เพื่อขออนุญาตปล่อยกู้ลูกค้ารายใหญ่ในวงเงินที่เกินเกณฑ์ธปท. กำหนด (เกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่ หรือ Single Lending Limit) ทั้งนี้คาดว่าคงต้องรอให้ผู้ขอกู้และธนาคารผู้ปล่อยกู้ได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยก่อนว่าจะมีการปล่อยกู้ในวงเงินเท่าไรอย่างไร ก่อนที่จะมาหารือกับ ธปท. แต่ยืนยันว่าปัจจุบันยังไม่มีผู้มายื่นขออนุญาต
"ประเด็นเรื่องใบอนุญาต 4จี ธปท.ให้ความสนใจและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยจะต้องดูว่าในลำดับต่อไปผู้ประกอบการจะมีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใด และจะมีความสามารถในการจูงใจให้ลูกค้ามาใช้บริการของตนเองอย่างไร อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผู้ประกอบการที่ประมูลใบอนุญาตทั้ง 2 รายก็น่าจะมีแผนธุรกิจที่จะดำเนินการอย่างชัดเจนอยู่แล้วในระดับหนึ่ง"
ไม่ห่วงหนี้ทีวีดิจิตอลแค่ 0.2%
นายรณดล ยังกล่าวถึงกรณี "ทีวีดิจิตอล" ที่ธนาคารพาณิชย์ออกแบงก์การันตีไปแล้วนั้นว่า เมื่อเทียบกับฐานะทางการเงิน หรือเงินกันสำรองของธนาคารพาณิชย์แล้วนั้น ไม่น่าจะเป็นประเด็นที่ต้องเป็นห่วงนัก เพราะเป็นสัดส่วนที่น้อยมากสำหรับการปล่อยกู้ให้กับทีวีดิจิตอลทั้ง 17 ช่อง อีกทั้งปัจจุบัน ก็ใช่ว่าทุกรายจะมีปัญหา
"กรณีดังกล่าวเป็นเพียงสัดส่วน 0.2% ของสินเชื่อทั้งระบบ และมองว่ากับแบงก์พาณิชย์เองก็ไม่น่าจะมีประเด็นอะไรที่น่าห่วง หรือไม่ได้มีนัยสำคัญต่อระบบสถาบันการเงิน แม้ว่าจะเอาเงินทั้งก้อนมารวมกันก็ยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ด้านเงินสำรองของแบงก์เองก็มีอยู่เพียงพอ และเกินกว่าการปล่อยกู้ให้กับทีวีดิจิตอลทั้งหมด ส่วนประเด็นการชำระเงินในงวดที่ 3 ก็ขึ้นอยู่ว่ามีการตกลงกันอย่างไร และกสทช. จะมีทางออกอย่างไรให้กับผู้ประกอบการหรือไม่
16 ก.พ.ได้ข้อสรุป"ไทยทีวี"
ส่วนข้อถามถึงความคืบหน้ากรณีไทยทีวีและโลก้านั้น นายวีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ สายลูกค้าธุรกิจรายกลาง บมจ.ธนาคารกรุงเทพกล่าวว่า ต้องรอฟังมติบอร์ดกสทช.ที่จะมีการประชุมหาข้อสรุปในวันที่ 16 กุมภาพันธ์นี้ โดยยืนยันว่าไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ธนาคารกรุงเทพในฐานะเจ้าหนี้ก็จะต้องปฏิบัติตาม
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559