จากเด็ฏไทยทั่วไปไม่รู้อนาคต กลายเป็นบินได้สูงกว่าที่พ่อแม่คิด

เกริ่นสั้นๆนะครับ หลายคนอาจพอคุ้นกับกระทู้เก่าๆที่ตั้งมาบ้าง ผมเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว ชนชั้นกลางทำงานเก็บเงินทั่วไป มีลูกสาวที่ตอนนี้อายุ 16 ปี ที่ชีวิตมาเปลี่ยนเอาตอนลูกจะขึ้นมัธยมปลาย จากเด็กเรียนกลางๆ สอบเลขเคยตก  ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร แต่มีฝัน อยากทำเกมส์ อยากเขียนนิยาย อยากวาดรูป อยากเขียนการ์ตูน อยากเป็นแคสเตอร์ อยากแข่งอีสปอร์ต อยากเรียนทำหนัง

ทุกอย่างสนับสนุนให้ลองหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจ ยังไม่เจอตัวตน รู้แต่ว่า ไม่เอาสายวิทย์ ไม่เอาเลขแน่นอน

จุดเปลี่ยนือ ตอน ม.3 สอบทุนโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนได้ ยื่น port folio  แล้วก็มีโรงเรียนรับไปแลกเปลี่ยน 1 ปี
เดิมเรียนในไทย หลักสูตรภาษาอังกฤษ(เรียนหลักสูตรอังกฤษตั้งแต่ ม.1) ค่าเรียนปีละประมาณแสนนิดๆ เค้าได้ทุน ทำให้ไปแลกเปลี่ยนจบที่ประมาณ 4 แสนบาทต่อปีรวมเรียน กิน อยู่พื้นฐาน ค่าใช้จ่ายส่วนตัวนิดหน่อยก็คิดว่าส่งไหว และ ลูกอยากลองไป (ตอนแรกกลัว)

ได้ผลเกินคาดตรงที่ แลกเปลี่ยนปีแรกผ่านไป ทางโรงเรียนขอติดต่อมา ยื่นข้อเสนอว่า ถ้าสนใจอยากเรียนต่อ ทางโรงเรียนจะให้ทุนช่วยค่าเรียน ให้เรียนต่อในฐานะนักเรียนนานาชาติ เพราะโรงเรียนนี้ก็มีเด็กนานาชาติมาเรียน ด้วยลูกสาวเข้าร่วมกิจกรรมทั้ง ทีมว่ายน้ำ ทีมกรีฑา ไปแข่งให้กับโรงเรียนตลอดปีนึง แล้วช่วงท้ายๆปี ไปเข้าร่วมทีมตอบคำถามวิชาการ ทำให้โรงเรียนมีผลาน มีชื่อเสียงได้ แล้วทำผลสอบวัดระดับกลาง ก็ทำคะแนนได้สูง  ครูที่ปรึกษา ครูรายวิชา และผู้บริหารจึงเสนอทางเลือกให้ แต่ ต้องสอบต่างๆเพื่อยื่นคะแนน และ ทำแฟ้มยื่นขอทุนกับกรรมการ จะได้หรือไม่ อยู่ที่เราทำ

วาร์ปมาเลยนะครับ ว่า สรุปว่า ยื่นได้ทุน ส่วนลดค่าเทอมนิดหน่อย โรงเรียนให้อยู่หอพัก มีอาหารสามมื้อ(วันธรรมดา) มีครัวกลาง มีเจ้าหน้าที่หอ เป็นหอสำหรับ เด็กแลกเปลี่ยน(ที่ไม่ได้อยู่กับโฮสต์) และเด็กนานาชาติ รวมทั้งเด็กทุนของเค้าที่มาจากเมืองอื่นๆ ทั้งทุนกีฬาและทุนวิชาการ (รวมถึงทุนเด็กของโบสถ์)

ตอนนี้กลายสภาพเป็นเด็กหอเต็มตัว จากเด็กที่ปกติอยู่บ้านกับพ่อแม่ ห้องนอนรกๆ อยู่กับโฮสต์ในปีแรกที่แลกเปลี่ยนก็ดีขึ้น(มั้ง) ตอนนี้ ต้องดูแลทุกอย่างเอง นอนเตียงสองชั้นกับรูมเมทสาวอิตาลี ต้องกำหนดเวลาทุกอย่างเอง

เดิมทีที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนก็มีโฮสต์ มีโครงการแนะนำจัดการช่วยเหลือ ทำกิจกรรมต่างๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่าง คือตัวเองล้วนๆ จะทำหรือไม่ทำอะไร ตอนไหน หอพักมีระเบียบและมีบริการเช่น เช้าวันหยุด มีรถบัสพาไปช็อปปิ้งรับส่งฟรี ตามจุดและเวลาที่กำหนด ถ้าพลาดก็อด มีครัวกลาง ห้องซักรีดกลางใช้งานได้ แต่มีเวลาปิดประตูหอ เวลาปิดไฟเข้าห้อง



หลายคนจะมองว่าการไปแลกเปลี่ยนคือการค้า คือธุรกิจ และไม่คุ้มค่ากับปีนึงที่เสียไป แต่ เอาเฉพาะลักษณะการเรียนเลย แค่นี้ เด็กก็ต้องพัฒนาตัวเองมากแล้วครับ เด็กไทยทั่วไปนั่งในห้องเรียน วิชาเรียนก็จัดมาให้ตามหลักสูตร ห้องเดียวกันก็เรียนเหมือนกัน ต่อให้สมัยนี้บางโรงเรียนแยกสายวิชาพิเศษตามคณะ มีการเดินเรียน(เดินไปเรียนตามวิชา) แต่ก็ยังเป็นบล็อคตามระบบ ส่วนการไปเรียนแลกเปลี่ยน หรือที่ลูกสาวเรียนต่อในปีนี้ มันคือ อิสระในการเลือกลงวิชาต่างๆได้เอง แบบเด็กมหาลัย เค้าได้ทำตั้งแต่มัธยม ต้องหาอาจารย์ที่ปรึกษา ต้องจัดการตารางชีวิตตัวเอง

ยิ่งพอเค้าได้ทุนจากกิจกรรมวิชาการ ต้องทำำกิจกรรมชมรมวิชาการกับเด็กเรียนเก่งๆของโรงเรียน ตอนเย็นๆก็ต้องแบ่งเวลาว่างก่อนเข้าหอ ไปหากีฬาเล่นแก้เครียด กับเด็กหอด้วยกัน หรือกับเพื่อนๆ วันหยุด ไปห้องสมุด ติวและหาข้อมูลทำโครงการต่างๆ นอกจากนี้ ยังไปร่วมกิจกรรมกับชุมชนคนไทย ไปช่วยออกร้านขายของ

ทางโรงเรียน กำลังจะแนะนำฝากให้ไปเป็นเด็กช่วยในโครงการของมหาวิทยาลัยในเมือง ซึ่งมีโปรเฟสเซอร์ด้านเอเชียศึกษา กำลังมองหาคนไปช่วยเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตัวสถาบันจัดสัมมนา ด้านมนุษย์และสังคม จัดฟอรั่มนั่งคุยเรื่องวรรณกรรมตะวันออก การเมืองและประวัติศาสตร์ตะวันออก ตลอดจน ทำเทศกาลหนังตะวันออก เพื่อการศึกษาและงานวิชาการของคณะ ในเมเจอร์ต่างๆ หากทุกอย่างไปได้ด้วยดี โอกาสจะได้จดหมายแนะนำตัวสำหรับยื่นเรียนมหาวิทยาลัยในสาขานี้ก็จะมีสูง และนั่นคือเส้นทางเดินชีวิตของลูกสาวที่เปลี่ยนไปในเวลาแค่ปีนิดๆที่ไปใช้ชีวิตของตัวเอง

มานึกย้อน ปีกว่าที่ผ่านมา(ที่ไม่เจอหน้ากัน) เค้าโตขึ้นมาก มากยิ่งกว่าที่คาดไว้ ถึงเดิมทางบ้านจะพยายามเลี้ยงให้ปากกัดตีนถีบทำอาหารกินเอง ซักผ้าเอง แต่สุดท้ายด้วยความเป็นเด็กน้อยของเรา ก็ช่วยเหลือมาตลอด จนติดเป็นนิสัยว่า ไม่ต้องทำมากถ้าเหนื่อยก็พัก เดี๋ยวพ่อมาช่วย เรื่องเงินถ้าพ่อให้แล้วไม่พอก็ไปขอแม่เอาอีกทาง ดังนั้น เรียนเสร็จไม่นั่งรถเมล์ อาศัยเรียกแอปพลิเคชั่นเอาเพราะสบายกว่า การเรียน ก็เรียนตามที่โรงเรียนบอก ตามที่ครุบอก ตามที่เพื่อนๆเรียน

วินาทีนี้ เค้ามองไปที่สาขาวิชาที่เรียนแล้ว ดูสนใจเรือ่งวรรณกรรม ด้านภาพยนต์ พยายามเอาไปผสมรวมกับภาควิชาที่เรียนเกี่ยวกับเอเชียให้ได้ อาจจะไปทางโบราณคดี หรือ ด้านสังคม อันนี้ก็แล้วแต่นางจะเลือกไปเองแล้วล่ะ เดิมที่คิดว่า คงไม่มีวันเห็นลุกเป็นหมอ เภสัช ถาปัด วิดวะ  นึกภาพได้แค่นั้น กลายเป็นตอนนี้ ดูชัดเจนขึ้นกับตัวเค้าในอนาคต ที่เค้าเลือกเอง

วิชาภาษาจีนที่ไม่ชอบมาตลอดตั้งแต่ประถม กำลังมีประโยชน์ และหันมาทบทวนอย่างหนักอีกครั้ง ผสมกับวิชาสังคม ประวัติศาสตร์ ที่เค้าถนัดและชอบ ทำให้ตัวเองมั่นใจ สนุกกับงานที่หนัก ถึงจะหนักจนเครียดน้ำหนักลด แต่ ชีวิตเด็กหอ ก็ทำวห้มีเวลาเยอะ(เพราะไม่ต้องเดินทาง) มีเพื่อนเล่น ออกกำลังกายขำๆด้วยกัน (ไม่ได้ไปเข้าทีมกีฬาแล้ว)

มันอาจไม่ใช่ทางที่เหมาะสำหรับทุกคนนะครับ แน่นอนว่าเรื่องค่าใช้จ่ายถึงจะไม่มากเท่าการส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเลยโดยตรง แต่ก็ไม่น้อย และแพงกว่าเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษในไทย ซึ่งสิ่งที่ได้มา ก็ไม่เหมือนกันอย่างที่เล่าไว้

ทิ้งท้ายว่าสมัยนี้ มีทุนการศึกษาเยอะครับ ถ้าแนะแนวโรงเรียนมองหามาแนะนำ เชื่อว่า มีทางเลือกหลากหลายเลย เพราะ จุดเริ่มของลูกสาว ก็คือ แนะแนวที่โรงเรียน เอาทุนแลกเปลี่ยนนี้มาแนะนำและแนะนำให้ลองสอบ ซึ่งก็สอบติดแบบงงๆ เพราะ ไม่ติว ไม่เรียนกวดวิชาอะไรเลย ไปสอบแบบซื่อๆ ตื่นเช้าวันนั้นก็ไปสอบ พอประกาศผลว่าได้ทุนก็ยังอึ้งๆกัน เพราะไม่ใช่เด็กเรียนดีของห้องด้วยซ้ำ คนอื่นเรียนเก่งกว่าก็มี แล้วยังต้องส่งแฟ้มผลงานไปให้โรงเรียนคัดเลือกอีก อาจเป็นโชคดี หรือเพราะเราตั้งใจทำแฟ้มกันอย่างหนักมาก ทั้งไฟล์และวีดีโอ ทำเป็นหนังแนะนำตัวเลย จึงได้รับการตอบรับจากโรงเรียนนี้ให้ไปแลกเปลี่ยน และ ส่งต่อมาถึงก้าวต่อไปในทุกวันนี้

ด้วยฐานะทางบ้าน ไม่มีกำลังจะส่งลูกเรียนเมืองนอกได้แบบเต็มๆหรอกครับ ถ้าจะไหวก็เป็นช่วงมหาวิทยาลัย แล้วให้เค้าทำงานหาเงินอยู่เอาเอง แต่ กลายเป็นว่า ยิ่งเดินทางไป ยิ่งเห็นว่า มีโอกาส มีทุน มีทางเลือกพวกนี้รออยู่ แค่เราต้องทำให้ได้หากอยากได้มันมา

หมายเหตุ
ภาพประกอบจากปัญญาประดิษฐ์ดัดแปลงจากภาพจริงเพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้เกี่ยวข้อง
และนี่ไม่ใช่การขายโครงการแลกเปลี่ยนใดๆ จึงไม่ประสงค์ให้สามารถสืบค้นตัวจริงของลูกได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่