“ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก” ตะลุยอินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ 14 วัน
ตอนที่ 8 บาหลีวันที่สอง

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2558 : ตอนเช้าเวลานัด 06.30 น. แต่มาดาม Agung น่ารักมากเธอรีบทำอาหารมาให้เราเวลา 06.25 น. พร้อมกับน้ำร้อนกระติกใหม่ อาหารเช้าเป็นพัพไส้กล้วยอันเล็กกับผลไม้จานเล็กมีมะม่วง มะละกอ กับ แตงโมชิ้นเล็กๆในจานเล็ก แค่พออิ่มสำหรับคนเพิ่งตื่น เราเพิ่งรู้ทีหลังจากลูกชายว่า Agung เป็นนามสกุล ของพวกเขา ที่พักชื่อ Agung Anom Home Stay ตัวจริงเลยทีเดียว ชื่อของเขาเป็นชื่อของโฮมสเตย์ด้วยเพราะเป็นลูกชายคนเดียว

หลังอาหารเช้าเป้าหมายของเราอยู่ที่วัดถ้ำช้าง ออกจากที่พัก ผ่านตลาดอูบุด แล้วตรงไปเรื่อยๆ พอไปถึงแยกแรกที่มีรูปปั้นเทพเจ้าในนิยายภารตะ ก็เลี้ยวขวา แล้วตรงไปเรื่อยๆ วัดถ้ำช้างอยู่ขวามือ มีลานจอดรถกว้างใหญ่ มีร้านขายของที่ระลึกอยู่ด้านในลานจอดรถ แต่ตัววัดอยู่ด้านหลัง และจะเปิดให้บริการเวลา 08.00 น. หมายถึงจะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บค่าเข้าชมวัด มีคนเรียกให้ไปซื้อโสร่ง ตอนนั้นเพิ่งเวลา 07.00 น. เวลาไม่พอแล้ว

เป้าหมายต่อไปเป็น พระราชวังน้ำ ต้องไปตามเส้นทางที่จะไป Kukrung กับ Amla Pura เดินทางย้อนไปผ่านวัดเม็งวี มองเข้าไปใหญ่โตและอลังการงานสร้างมาก แต่เวลาของเรามีน้อย ขี่ไปเรื่อยๆ ผ่านศาลเจ้าที่มีรูปปั้นค้างคาวอยู่ใต้หลังคาด้านหน้า คนขับรถมอเตอร์ไซด์สามล้อพูดติดตลกว่า ศาลเจ้า Batman เป็นที่ที่เขาเรียกว่า Hati-Hati ด้านขวาเป็นทะเล มีลานรูปปั้นเทพเจ้าอยู่ก่อนที่จะเดินลงไปหาดทราย สีดำ น่าจะเป็นผลมาจากภูเขาไฟ แดดจ้าแล้ว แต่ยังมีคนไม่ถึง 10 คน เราเดาเอาว่าคงเพราะยังไม่ถึงเวลาที่คนออกไปเที่ยว เพราะแม้จะมีทรายสีดำ แต่น้ำทะเลก็ใส ชื่อ หาด Karangkaten อีกด้านหนึ่งของป้ายบอกว่า Banyak Penyebreng จดไว้แต่ไม่รู้ว่า คือ อะไร

เดินทางต่อไปก็เจออีก 1 หาด แม้มีทรายสีสว่าง แต่ก็ไม่น่าลงเล่น เพราะในทะเลมีหินคมๆ ก้อนเล็กๆ เต็มไปหมด ด้านที่ไม่ใช่ทะเลมีวัดอีกเหมือนเดิม มีรถบัสจอดและมีคนแวะเอาดอกไม้ไหว้เทพเจ้า ร้านค้ามีมะพร้าวแบบทะลายวางอยู่เต็มไปหมด เราถามหาพระราชวังน้ำ (Water Palace) ภาษาบาหลีเรียกว่า Ujung (ออกเสียงว่า อูจุ้ง) คนที่นั่งเล่นอยู่แถวนั้นถามว่า เรามาจากไหน พอเราบอกว่า ประเทศไทย เขาพูดว่า ไทยแลนด์ องบาก! ถามเขาว่า หาดนั้น ชื่อ อะไร เขาบอกว่า ชื่อ Amlapura สงสัยจะเป็นหาดประจำเมือง

เดินทางต่อไปไม่มีป้ายพระราชวังน้ำ มีแต่ป้ายอย่างอื่น เราเห็นวัดสวยงาม ชื่อว่า Pura Pusem จึงแวะเข้าไป คิดว่าใช่ แต่เป็นชื่ออื่น พอดี มีสาวๆ แต่งกายสวยงาม เหมือนกับจะไปไหว้เทพเจ้า เราจึงสอบถามเส้นทาง พวกเธอบอกว่า เราเลยทางเข้าไปไกลแล้ว ต้องย้อนกลับ ทางเข้าไม่ได้มีป้ายบอก ต้องจอดถามทางเป็นระยะ จนกระทั่งเจอป้าย Keta-Gusa-Ujung ในที่สุด ก็บรรลุเป้าหมาย

พระราชวังน้ำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีแนวรั้วยาวไปตามถนนที่อีกด้านหนึ่งเป็นที่ว่าง ติดอยู่กับทะเลน้ำลึก ไม่ได้เป็นหาด มีท่าเรือ เห็นเป็นเรือใบเล็ก และเรือยอชท์ลำเล็กๆ จอดอยู่หลายลำ เปิดระตูเดียวเก็บค่าเข้าชม 35,000 รูเปีย และเก็บค่าถ่ายรูปเพิ่มอีก 20,000 รูเปีย มองจากด้านนอกเห็นสิ่งก่อสร้างอยู่กลางสระน้ำ ไม่ได้อยู่ในทะเลอย่างที่เราคิด มีต้นไม้ร่มรื่นเฉพาะริมรั้ว ด้านที่เป็นสิ่งก่อสร้างและเป็นสระน้ำโล่งแจ้ง มีไม้พุ่มเตี้ยๆ ประดับทั้งดอก และใบ ที่ลานจอดรถมีคนจัดทัวร์ที่คอยเสนอบริการก่อนที่จะเดินไปซื้อตั๋วเข้าชม

จากพระราชวังน้ำ เราดูแผนที่และสอบถามเส้นทางไป Besakih ที่มี 23 วัดในบริเวณเดียวกัน ขี่ไปเรื่อยๆ กว่าจะหาเจอก็ต้องถามทางไปเรื่อยๆ เมื่อไปถึงกลับไม่ได้ชมอย่างที่คาดหวัง เพราะเจอการรีดไถ เหมือนกับเราเป็นเหยื่อที่พวกเขารอคอยมานานมาก จ่ายค่าเข้าพื้นที่คนละ 35,000 รูเปียแล้ว ตามเก็บอีกยิบย่อย เราบอกว่าเราไม่มีเงินรูเปียแล้ว พวกเขาบอกว่า ให้จ่ายเป็นเงินบาท พอควักให้ 100 บาท พวกเขาบอกว่าไม่พอต้อง 200 พอให้ 200 จะเอาอีก ลุงโมโห ดึงแขนป้าออกไปขึ้นรถ ขี่ขึ้นไปบนเขา ถึงที่จอดรถมีกลุ่มผู้หญิงวิ่งมารุมขายดอกไม้กับโสร่ง ส่วนผู้ชายวิ่งมาเก็บเงินค่าเข้าวัด ลุงเสียงดังใส่ จนพวกผู้หญิงถอยหมด แต่ผู้ชายยังคงตื๊อจะเอาเงิน เราคนไทยการทำบุญไม่มีการบังคับ พวกเขาเป็นฮินดู แต่บังคับให้เราทำบุญเป็นสิ่งที่เรารับไม่ได้

ผู้ชายเขาเห็นเราถอย จึงตามมาเรียกให้ขึ้นไป เรามองขึ้นไปเห็นว่า ลักษณะของวัดแต่ละวัดไม่ได้แตกต่างกัน 23 วัด ก็คงเป็นวัดประจำตระกูลของเศรษฐี 23 ตระกูล ที่สร้างวัดไว้เป็นถาวรวัตถุ เพื่อบูชาพระศิวะ พระวิษณุและพระพรหม ซึ่งเป็นความเชื่อของฮินดู เราออกจากตรงนั้น ไปตามหาซาเหง้ (Sangeh) วัด 5 ศาสนา อยู่ต่างเส้นทางกัน ดูจากแผนที่ที่ได้จากที่พักแล้วเริ่มออกเดินทาง แวะเช็คเส้นทางเป็นระยะ คนบาหลีบอกทางเป็นกิโลเมตร เหมือนไม่ไกล ไปจนได้ 2 เท่าของระยะทางแล้วก็ยังไปไม่ถึง เหมือนหลอกล่อให้เราต้องไปต่อจนถึงปลายทาง

เวลานัดใกล้เข้ามาทุกที เรานัดรถเวลา 16.00 น. พอไปถึงตรงนั้นก็ 15.10 น. แล้ว มีทางเข้าและที่ขายตั๋ว เราจึงไม่เข้าไปเพราะไม่มีเวลาแล้ว รีบกลับอูบุด เราแวะถามทางไปตลอดเพราะไม่อยากพลาด ถึงในเมืองเวลา 15.45น. แวะแลกเงินโดยเอาเงินดอลล่าร์อเมริกัน 16 ดอลล่าร์แลกได้ 220,000 รูเปีย รีบกลับไปขอเลื่อนเวลานัดจาก 16.00 เป็น 17.00 เพราะต้องซื้ออาหารกับน้ำตุนไปที่บรูไน เราแลกเงินบรูไนไปแค่ 60 ดอลล่าร์ กลัวจะไม่พอเพราะบรูไนค่าครองชีพสูง

เราขึ้นไปบอกพนักงานต้อนรับว่าขอเลื่อนเวลา เธอดุเราและมีท่าทางไม่เป็นมิตรซักไซร้เรื่องตั๋วเครื่องบิน จนกระทั่งสามีของมาดามที่เรานัดไว้มา เราจึงบอกลาและคุยกับคนที่เรานัดไว้ พอลงจากสนง.เราจึงรู้ว่าเราเข้าไปผิดที่และจอดรถผิดที่ สนง. กับที่พักเขาอยู่ติดกัน ในรั้วเดียวกันแต่การต้อนรับต่างกันมาก มาดามเป็นคนง่ายๆ แต่หญิงคนนั้นดูเรื่องมาก นับว่าเป็นโชคดีของเราที่เข้าพักได้ถูกที่

เราแยกกัน ลุงไปเก็บของ ส่วนป้าไปหาซื้ออาหารกับน้ำ ได้เจอของจริงบาหลีเมืองแห่งการต่อรอง Salak ที่เราเรียกสละ เขาเรียก ซาลั่ก บอกราคา 40 ต่อได้ 20 เงาะ 30 ป้าลองต่อจากที่เคยซื้อ 7,000 ที่ย้อกยา กับ 10,000 ที่ทางไปทานาลอต เห็นว่าคงต่อไม่ลงจึงไม่ซื้อ อย่างอื่นซื้อในซุปเปอร์ไม่ต้องต่อราคา แต่ที่อูยุดฝรั่งมากมาย ตอนบ่ายแก่ๆ ขนมปังใน Alfa Mart แทบจะไม่เหลือให้ซื้อ ได้ขนมปังเล็กน้อยกับน้ำ1 ขวดใหญ่ขวดละ 9,000 รูเปีย เดินออกจาก Alfa Mart เจอแดดร้อน ประกอบกับกระหายน้ำอยู่แล้ว จึงเปิดน้ำออกดื่ม อ้าว! มันไม่ใช่น้ำเปล่า มันเป็นน้ำหวานอัดลมเล็กน้อย ต้องเสียเวลา เดินกลับไปซื้อน้ำเปล่าใหม่

พอกลับไปถึงที่พัก ลุงบอกว่ามาดามให้น้ำมาแล้ว 2 ขวดเล็ก เธอบอกว่า ให้ลูกชายไปส่ง ป้าจ่ายเงินที่ค้างไว้ จากตอนเช้าอีก 150,000 รูเปีย แล้วบอกลา มาดามเดินไปส่งถึงรถ เหมือนเราเป็นญาติกัน นั่งคุยกับหนุ่มวัย 22 ปี ที่จบการโรงแรม ทำงานโรงแรม และช่วยกิจการของพ่อแม่ ได้ตวามว่าพี่สาว 2 คนก็ทำงานลักษณะเดียวกัน พวกเธอแต่งงานแล้วทั้งคู่ คนที่ 2 มีสามีเป็นชาวอเมริกัน มีกิจการเป็นของตัวเอง

เขาเป็นคนสุภาพ ช่างบริการ แต่ไม่ค่อยมีความรู้รอบตัว ถามอะไรที่เป็นข้อมูลเขามักตอบไม่ได้ ดูเหมือนจะเป็นคนที่ตามน้ำไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดถึงโลกภายนอก เขาเสนอว่าจะจอดรถให้เราซื้อของ ระหว่างทาง แล้วเขาก็แวะที่อัลฟ่ามาร์ทใหญ่แห่งหนึ่ง เราจ่ายเงินรูเปียจนเกือบหมด ซื้อขนมปังและถั่วกับชอคโกแล็ต ลุงชอบถั่วแปะยีมาก 1 ถุง ราคา 9,000 รูปี ทอดใหม่ กรอบ และได้ปริมาณมาก ขนาดกินอิ่มแทนข้าวได้เลย ถึงสนามบินบาหลีเวลา 17.20 น. ใช้เวลาเดินทาง 1.35 ชม.

สนามบินนานาชาติบาหลีสวยมาก มีศิลปะวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมบ่งบอกความเป็นบาหลีตั้งแต่ทางเข้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้ จนถึงข้างในตัวสนามบินที่จัดแต่งสวนพร้อมสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม ทุกที่ของบาหลีล้วนสวยงาม และเป็นที่ที่สะอาดที่สุดในอินโดนีเซีย ถ่ายภาพอย่างไรก็ไม่หมด เด็กๆ ในวัยเรียนที่รักความสวยงามและศิลปะ ถ้ามีโอกาสได้ไปบาหลีสักครั้ง จะมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างสุนทรีย์

ไปบาหลี ประทับใจเกือบทุกอย่าง ยกเว้นการขูดรีดและเรียกเก็บค่าทำบุญกับค่าจอดรถในที่สาธารณะ และในบาหลีไม่มีขอทาน เพราะค่าครองชีพไม่สูง ออกจากบาหลีช้าไปครึ่งชม. เพราะการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของสนามบิน ถึงกัวลาลัมเปอร์เพื่อเปลี่ยนเครื่อง ช้ากว่าเวลาในตั๋วไป 10 นาที ฝนตกที่สนามบินบาหลี แต่ที่กัวลาลัมเปอร์ไม่ตก ถึงอย่างไรก็ต้องนอนในสนามบิน คนอื่นๆ ลงนอนบนพื้น เราหามุมนอนหลบๆ ที่ดูเป็นที่เป็นทาง

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2558 : เสียดายที่เราหาห้องน้ำไม่เจอ จึงนอนทรมานกับการปวดฉี่จนกระทั่งเวลา 05.10 น. จนท.มาทำงานป้าจึงไปถามหาห้องน้ำ ได้เข้าห้องน้ำ อาบน้ำอย่างย่อแล้วจึงวิ่งไปหาเกต ซึ่งอยู่ไกลมาก เราไม่รู้ว่าไกลจึงไม่ได้ขึ้นรถที่สนามบินจัดไว้บริการ กว่าจะเดินไปถึงก็ร้อนเลยทีเดียว ต้องมีการสแกนสัมภาระอีก 2 ครั้ง แม้จะเป็นการเปลี่ยนเครื่องและมีการย้ายเกตต้องวิ่งกันอีก แต่เครื่องบินเสียเวลา 50 นาที มองออกไปเห็นการลำเลียงสัมภาระขึ้นเครื่องยังไม่เสร็จ

กว่าเครื่องจะออกก็ 07.30 น. แทนที่จะออก 06.40 น. กัปตันขอโทษที่เครื่องล่าช้า แต่ก็ทำเวลาไปถึงบรูไนล่าช้าไปแค่ 20 นาที ถึงสนามบินบรูไนป้าจึงรู้ว่าทิ้งยาทั้งหมดไว้ตอนที่ไปเข้าห้องน้ำที่กัวลาลัมเปอร์ ต่อนี้ไปจึงต้องระมัดระวังไม่ให้เจ็บป่วยอีก
[CR][SR] “ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก” ตะลุยอินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ 14 วัน ตอนที่ 8 เกาะบาหลี อินโดนีเซีย วันที่สอง
ตอนที่ 8 บาหลีวันที่สอง
วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2558 : ตอนเช้าเวลานัด 06.30 น. แต่มาดาม Agung น่ารักมากเธอรีบทำอาหารมาให้เราเวลา 06.25 น. พร้อมกับน้ำร้อนกระติกใหม่ อาหารเช้าเป็นพัพไส้กล้วยอันเล็กกับผลไม้จานเล็กมีมะม่วง มะละกอ กับ แตงโมชิ้นเล็กๆในจานเล็ก แค่พออิ่มสำหรับคนเพิ่งตื่น เราเพิ่งรู้ทีหลังจากลูกชายว่า Agung เป็นนามสกุล ของพวกเขา ที่พักชื่อ Agung Anom Home Stay ตัวจริงเลยทีเดียว ชื่อของเขาเป็นชื่อของโฮมสเตย์ด้วยเพราะเป็นลูกชายคนเดียว
หลังอาหารเช้าเป้าหมายของเราอยู่ที่วัดถ้ำช้าง ออกจากที่พัก ผ่านตลาดอูบุด แล้วตรงไปเรื่อยๆ พอไปถึงแยกแรกที่มีรูปปั้นเทพเจ้าในนิยายภารตะ ก็เลี้ยวขวา แล้วตรงไปเรื่อยๆ วัดถ้ำช้างอยู่ขวามือ มีลานจอดรถกว้างใหญ่ มีร้านขายของที่ระลึกอยู่ด้านในลานจอดรถ แต่ตัววัดอยู่ด้านหลัง และจะเปิดให้บริการเวลา 08.00 น. หมายถึงจะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บค่าเข้าชมวัด มีคนเรียกให้ไปซื้อโสร่ง ตอนนั้นเพิ่งเวลา 07.00 น. เวลาไม่พอแล้ว
เป้าหมายต่อไปเป็น พระราชวังน้ำ ต้องไปตามเส้นทางที่จะไป Kukrung กับ Amla Pura เดินทางย้อนไปผ่านวัดเม็งวี มองเข้าไปใหญ่โตและอลังการงานสร้างมาก แต่เวลาของเรามีน้อย ขี่ไปเรื่อยๆ ผ่านศาลเจ้าที่มีรูปปั้นค้างคาวอยู่ใต้หลังคาด้านหน้า คนขับรถมอเตอร์ไซด์สามล้อพูดติดตลกว่า ศาลเจ้า Batman เป็นที่ที่เขาเรียกว่า Hati-Hati ด้านขวาเป็นทะเล มีลานรูปปั้นเทพเจ้าอยู่ก่อนที่จะเดินลงไปหาดทราย สีดำ น่าจะเป็นผลมาจากภูเขาไฟ แดดจ้าแล้ว แต่ยังมีคนไม่ถึง 10 คน เราเดาเอาว่าคงเพราะยังไม่ถึงเวลาที่คนออกไปเที่ยว เพราะแม้จะมีทรายสีดำ แต่น้ำทะเลก็ใส ชื่อ หาด Karangkaten อีกด้านหนึ่งของป้ายบอกว่า Banyak Penyebreng จดไว้แต่ไม่รู้ว่า คือ อะไร
เดินทางต่อไปก็เจออีก 1 หาด แม้มีทรายสีสว่าง แต่ก็ไม่น่าลงเล่น เพราะในทะเลมีหินคมๆ ก้อนเล็กๆ เต็มไปหมด ด้านที่ไม่ใช่ทะเลมีวัดอีกเหมือนเดิม มีรถบัสจอดและมีคนแวะเอาดอกไม้ไหว้เทพเจ้า ร้านค้ามีมะพร้าวแบบทะลายวางอยู่เต็มไปหมด เราถามหาพระราชวังน้ำ (Water Palace) ภาษาบาหลีเรียกว่า Ujung (ออกเสียงว่า อูจุ้ง) คนที่นั่งเล่นอยู่แถวนั้นถามว่า เรามาจากไหน พอเราบอกว่า ประเทศไทย เขาพูดว่า ไทยแลนด์ องบาก! ถามเขาว่า หาดนั้น ชื่อ อะไร เขาบอกว่า ชื่อ Amlapura สงสัยจะเป็นหาดประจำเมือง
เดินทางต่อไปไม่มีป้ายพระราชวังน้ำ มีแต่ป้ายอย่างอื่น เราเห็นวัดสวยงาม ชื่อว่า Pura Pusem จึงแวะเข้าไป คิดว่าใช่ แต่เป็นชื่ออื่น พอดี มีสาวๆ แต่งกายสวยงาม เหมือนกับจะไปไหว้เทพเจ้า เราจึงสอบถามเส้นทาง พวกเธอบอกว่า เราเลยทางเข้าไปไกลแล้ว ต้องย้อนกลับ ทางเข้าไม่ได้มีป้ายบอก ต้องจอดถามทางเป็นระยะ จนกระทั่งเจอป้าย Keta-Gusa-Ujung ในที่สุด ก็บรรลุเป้าหมาย
พระราชวังน้ำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีแนวรั้วยาวไปตามถนนที่อีกด้านหนึ่งเป็นที่ว่าง ติดอยู่กับทะเลน้ำลึก ไม่ได้เป็นหาด มีท่าเรือ เห็นเป็นเรือใบเล็ก และเรือยอชท์ลำเล็กๆ จอดอยู่หลายลำ เปิดระตูเดียวเก็บค่าเข้าชม 35,000 รูเปีย และเก็บค่าถ่ายรูปเพิ่มอีก 20,000 รูเปีย มองจากด้านนอกเห็นสิ่งก่อสร้างอยู่กลางสระน้ำ ไม่ได้อยู่ในทะเลอย่างที่เราคิด มีต้นไม้ร่มรื่นเฉพาะริมรั้ว ด้านที่เป็นสิ่งก่อสร้างและเป็นสระน้ำโล่งแจ้ง มีไม้พุ่มเตี้ยๆ ประดับทั้งดอก และใบ ที่ลานจอดรถมีคนจัดทัวร์ที่คอยเสนอบริการก่อนที่จะเดินไปซื้อตั๋วเข้าชม
จากพระราชวังน้ำ เราดูแผนที่และสอบถามเส้นทางไป Besakih ที่มี 23 วัดในบริเวณเดียวกัน ขี่ไปเรื่อยๆ กว่าจะหาเจอก็ต้องถามทางไปเรื่อยๆ เมื่อไปถึงกลับไม่ได้ชมอย่างที่คาดหวัง เพราะเจอการรีดไถ เหมือนกับเราเป็นเหยื่อที่พวกเขารอคอยมานานมาก จ่ายค่าเข้าพื้นที่คนละ 35,000 รูเปียแล้ว ตามเก็บอีกยิบย่อย เราบอกว่าเราไม่มีเงินรูเปียแล้ว พวกเขาบอกว่า ให้จ่ายเป็นเงินบาท พอควักให้ 100 บาท พวกเขาบอกว่าไม่พอต้อง 200 พอให้ 200 จะเอาอีก ลุงโมโห ดึงแขนป้าออกไปขึ้นรถ ขี่ขึ้นไปบนเขา ถึงที่จอดรถมีกลุ่มผู้หญิงวิ่งมารุมขายดอกไม้กับโสร่ง ส่วนผู้ชายวิ่งมาเก็บเงินค่าเข้าวัด ลุงเสียงดังใส่ จนพวกผู้หญิงถอยหมด แต่ผู้ชายยังคงตื๊อจะเอาเงิน เราคนไทยการทำบุญไม่มีการบังคับ พวกเขาเป็นฮินดู แต่บังคับให้เราทำบุญเป็นสิ่งที่เรารับไม่ได้
ผู้ชายเขาเห็นเราถอย จึงตามมาเรียกให้ขึ้นไป เรามองขึ้นไปเห็นว่า ลักษณะของวัดแต่ละวัดไม่ได้แตกต่างกัน 23 วัด ก็คงเป็นวัดประจำตระกูลของเศรษฐี 23 ตระกูล ที่สร้างวัดไว้เป็นถาวรวัตถุ เพื่อบูชาพระศิวะ พระวิษณุและพระพรหม ซึ่งเป็นความเชื่อของฮินดู เราออกจากตรงนั้น ไปตามหาซาเหง้ (Sangeh) วัด 5 ศาสนา อยู่ต่างเส้นทางกัน ดูจากแผนที่ที่ได้จากที่พักแล้วเริ่มออกเดินทาง แวะเช็คเส้นทางเป็นระยะ คนบาหลีบอกทางเป็นกิโลเมตร เหมือนไม่ไกล ไปจนได้ 2 เท่าของระยะทางแล้วก็ยังไปไม่ถึง เหมือนหลอกล่อให้เราต้องไปต่อจนถึงปลายทาง
เวลานัดใกล้เข้ามาทุกที เรานัดรถเวลา 16.00 น. พอไปถึงตรงนั้นก็ 15.10 น. แล้ว มีทางเข้าและที่ขายตั๋ว เราจึงไม่เข้าไปเพราะไม่มีเวลาแล้ว รีบกลับอูบุด เราแวะถามทางไปตลอดเพราะไม่อยากพลาด ถึงในเมืองเวลา 15.45น. แวะแลกเงินโดยเอาเงินดอลล่าร์อเมริกัน 16 ดอลล่าร์แลกได้ 220,000 รูเปีย รีบกลับไปขอเลื่อนเวลานัดจาก 16.00 เป็น 17.00 เพราะต้องซื้ออาหารกับน้ำตุนไปที่บรูไน เราแลกเงินบรูไนไปแค่ 60 ดอลล่าร์ กลัวจะไม่พอเพราะบรูไนค่าครองชีพสูง
เราขึ้นไปบอกพนักงานต้อนรับว่าขอเลื่อนเวลา เธอดุเราและมีท่าทางไม่เป็นมิตรซักไซร้เรื่องตั๋วเครื่องบิน จนกระทั่งสามีของมาดามที่เรานัดไว้มา เราจึงบอกลาและคุยกับคนที่เรานัดไว้ พอลงจากสนง.เราจึงรู้ว่าเราเข้าไปผิดที่และจอดรถผิดที่ สนง. กับที่พักเขาอยู่ติดกัน ในรั้วเดียวกันแต่การต้อนรับต่างกันมาก มาดามเป็นคนง่ายๆ แต่หญิงคนนั้นดูเรื่องมาก นับว่าเป็นโชคดีของเราที่เข้าพักได้ถูกที่
เราแยกกัน ลุงไปเก็บของ ส่วนป้าไปหาซื้ออาหารกับน้ำ ได้เจอของจริงบาหลีเมืองแห่งการต่อรอง Salak ที่เราเรียกสละ เขาเรียก ซาลั่ก บอกราคา 40 ต่อได้ 20 เงาะ 30 ป้าลองต่อจากที่เคยซื้อ 7,000 ที่ย้อกยา กับ 10,000 ที่ทางไปทานาลอต เห็นว่าคงต่อไม่ลงจึงไม่ซื้อ อย่างอื่นซื้อในซุปเปอร์ไม่ต้องต่อราคา แต่ที่อูยุดฝรั่งมากมาย ตอนบ่ายแก่ๆ ขนมปังใน Alfa Mart แทบจะไม่เหลือให้ซื้อ ได้ขนมปังเล็กน้อยกับน้ำ1 ขวดใหญ่ขวดละ 9,000 รูเปีย เดินออกจาก Alfa Mart เจอแดดร้อน ประกอบกับกระหายน้ำอยู่แล้ว จึงเปิดน้ำออกดื่ม อ้าว! มันไม่ใช่น้ำเปล่า มันเป็นน้ำหวานอัดลมเล็กน้อย ต้องเสียเวลา เดินกลับไปซื้อน้ำเปล่าใหม่
พอกลับไปถึงที่พัก ลุงบอกว่ามาดามให้น้ำมาแล้ว 2 ขวดเล็ก เธอบอกว่า ให้ลูกชายไปส่ง ป้าจ่ายเงินที่ค้างไว้ จากตอนเช้าอีก 150,000 รูเปีย แล้วบอกลา มาดามเดินไปส่งถึงรถ เหมือนเราเป็นญาติกัน นั่งคุยกับหนุ่มวัย 22 ปี ที่จบการโรงแรม ทำงานโรงแรม และช่วยกิจการของพ่อแม่ ได้ตวามว่าพี่สาว 2 คนก็ทำงานลักษณะเดียวกัน พวกเธอแต่งงานแล้วทั้งคู่ คนที่ 2 มีสามีเป็นชาวอเมริกัน มีกิจการเป็นของตัวเอง
เขาเป็นคนสุภาพ ช่างบริการ แต่ไม่ค่อยมีความรู้รอบตัว ถามอะไรที่เป็นข้อมูลเขามักตอบไม่ได้ ดูเหมือนจะเป็นคนที่ตามน้ำไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดถึงโลกภายนอก เขาเสนอว่าจะจอดรถให้เราซื้อของ ระหว่างทาง แล้วเขาก็แวะที่อัลฟ่ามาร์ทใหญ่แห่งหนึ่ง เราจ่ายเงินรูเปียจนเกือบหมด ซื้อขนมปังและถั่วกับชอคโกแล็ต ลุงชอบถั่วแปะยีมาก 1 ถุง ราคา 9,000 รูปี ทอดใหม่ กรอบ และได้ปริมาณมาก ขนาดกินอิ่มแทนข้าวได้เลย ถึงสนามบินบาหลีเวลา 17.20 น. ใช้เวลาเดินทาง 1.35 ชม.
สนามบินนานาชาติบาหลีสวยมาก มีศิลปะวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมบ่งบอกความเป็นบาหลีตั้งแต่ทางเข้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้ จนถึงข้างในตัวสนามบินที่จัดแต่งสวนพร้อมสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม ทุกที่ของบาหลีล้วนสวยงาม และเป็นที่ที่สะอาดที่สุดในอินโดนีเซีย ถ่ายภาพอย่างไรก็ไม่หมด เด็กๆ ในวัยเรียนที่รักความสวยงามและศิลปะ ถ้ามีโอกาสได้ไปบาหลีสักครั้ง จะมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างสุนทรีย์
ไปบาหลี ประทับใจเกือบทุกอย่าง ยกเว้นการขูดรีดและเรียกเก็บค่าทำบุญกับค่าจอดรถในที่สาธารณะ และในบาหลีไม่มีขอทาน เพราะค่าครองชีพไม่สูง ออกจากบาหลีช้าไปครึ่งชม. เพราะการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของสนามบิน ถึงกัวลาลัมเปอร์เพื่อเปลี่ยนเครื่อง ช้ากว่าเวลาในตั๋วไป 10 นาที ฝนตกที่สนามบินบาหลี แต่ที่กัวลาลัมเปอร์ไม่ตก ถึงอย่างไรก็ต้องนอนในสนามบิน คนอื่นๆ ลงนอนบนพื้น เราหามุมนอนหลบๆ ที่ดูเป็นที่เป็นทาง
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2558 : เสียดายที่เราหาห้องน้ำไม่เจอ จึงนอนทรมานกับการปวดฉี่จนกระทั่งเวลา 05.10 น. จนท.มาทำงานป้าจึงไปถามหาห้องน้ำ ได้เข้าห้องน้ำ อาบน้ำอย่างย่อแล้วจึงวิ่งไปหาเกต ซึ่งอยู่ไกลมาก เราไม่รู้ว่าไกลจึงไม่ได้ขึ้นรถที่สนามบินจัดไว้บริการ กว่าจะเดินไปถึงก็ร้อนเลยทีเดียว ต้องมีการสแกนสัมภาระอีก 2 ครั้ง แม้จะเป็นการเปลี่ยนเครื่องและมีการย้ายเกตต้องวิ่งกันอีก แต่เครื่องบินเสียเวลา 50 นาที มองออกไปเห็นการลำเลียงสัมภาระขึ้นเครื่องยังไม่เสร็จ
กว่าเครื่องจะออกก็ 07.30 น. แทนที่จะออก 06.40 น. กัปตันขอโทษที่เครื่องล่าช้า แต่ก็ทำเวลาไปถึงบรูไนล่าช้าไปแค่ 20 นาที ถึงสนามบินบรูไนป้าจึงรู้ว่าทิ้งยาทั้งหมดไว้ตอนที่ไปเข้าห้องน้ำที่กัวลาลัมเปอร์ ต่อนี้ไปจึงต้องระมัดระวังไม่ให้เจ็บป่วยอีก
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น