การเดินทางของนายเอก #005

กระทู้สนทนา
อะไร ๆ ก็ไม่มีที่มันแน่นอน

                     การใช้ชีวิตในกลุ่มคนทำงาน ทำให้เรามีโอกาสได้เห็นนิสัยในการทำงานของแต่ละคน ได้เห็นการตัดสินใจ ที่แน่ๆความรับผิดชอบต้องมี ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ แต่ที่แน่ซะยิ่งกว่าแน่คือได้รู้จักคนมากขึ้น

                    สังคมที่บ้านผมก็อย่างหนึ่ง ที่ตลาดก็อย่างหนึ่ง และนี่ที่เซเว่นก็เป็นไปในอีกอย่าง อาจมีบ้างที่เหมือนมั่ง หลังจากที่ได้คุยกับพี่ๆและเพื่อนๆ ก็ทำให้ผมรู้ว่าแต่ละคนหรือส่วนใหญ่เรียนอยู่แผนกบัญชี มีผมนี่หละแปลกแยกจากคนอื่นเพราะเรียนช่างอยู่คนเดียว...555 (ไม่เป็นไรเนอะ)

                    มีอยู่วันหนึ่งแคชเชียร์สอง เธอเป็นอะไรไม่รู้ครับ ยืนคิดเงินอยู่ดีๆเธอก็ร้องกรี๊ดขึ้นมา และรีบวิ่งเข้าไปหลังร้าน ผมตกใจมาก(เป็นอะไรหว่า) พอเดินออกมาพี่ๆเขาก็ถามว่าเป็นอะไร เธอก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ดีขึ้นแล้ว (แล้วจะร้องกรี๊ดทำไมอะ) มารู้เอาที่หลังว่า เธออั้นปัสสวะนั่นเอง ต้องบอกว่าในเวลาช่วงเย็นตอนหลังเลิกงานนี้คนจะแน่นร้านมากๆ อาจต้องยืนเกือบชั่วโมง แทบไม่ได้ออกจากเครื่อง ผมโชคดีเป็นผู้ชายเรื่องอั้นปัสสวะเรื่องเล็ก แต่ความรุนแรงในการอั้นของผู้หญิงคงเจ็บปวดน่าดูเลยนะไม่งั้นเธอคงไม่ร้องกรี๊ด

                   ช่วงที่ผมได้ไปทำงาน ช่วงนั้นตรงกับวันปีใหม่พอดีครับ ที่ร้านมีการจัดงานเลี้ยงครับ ตอนแรกผมนึกว่ากินที่ร้านครับ ก็ขอแม่เอาไว้แล้วว่าจะอยู่กินเลี้ยงที่ร้านก่อน ซึ่งปกติแล้วของผมมันไม่มีแบบนี้หรอก ส่วนหนึ่งก็รู้สึกดีใจ อิอิอิ กิน ดื่ม ดิ้นๆๆๆ ว่าไปนั่น

                   พอถึงเวลาเลิกงาน ซึ่งวันนี้พี่แมวบอกว่าเลิกเร็วได้ ผมนี้ยิ้มเลย แต่ว่าพี่ ๆ เขาก็บอกว่าเดี๋ยวไปเรียกรถแทกซี่ก่อน ไอ้ผมก็งงสิครับว่า เรียกทำไมอะ ไม่ได้กินที่นี่เหรอ พี่แมวก็บอกว่าเปล่า เอาแล้วไง ความซวยจะมาเยือนตรูซะแล้วไหมหละ แต่จะบอกว่าไม่ไปก็ไม่ได้แล้วสิ เอาวะ ลองไปดูก่อนดีกว่า แล้วค่อยว่ากันที่หลัง

                   แล้วพวกเราก็เดินข้ามถนนไปขึ้นรถกัน รถแล่นออกไปเรื่อย ๆ ครับ จากที่ ๆ คุ้นตา สักพักก็เริ่มไม่คุ้นแล้วครับ “นี่มันที่ไหนแล้ววะเนี๊ยะ” ใจก็เริ่มไม่นิ่งซะแล้ว เอายังไงดีหว่า มาไกลขนาดนี้กลับไม่ถูกแล้วเว้ย

                   สุดท้ายผมก็อยู่กับปัจจุบัน และเราก็นั่งรถมาถึงเคหะบางพลีกันเลยทีเดียว ไกลสำหรับผมเลย ผมไม่เคยมาแถบนี้เลย แต่เขามาเลี้ยงปีใหม่นี่ครับ ต้องสนุกเข้าไว้ เพลงมา ของกินมา เครื่องดื่มมา ดิ้น ๆ ดื่ม ๆ สัพัหก็ไม่ไหวแล้วครีบลวกเพ้..... ตานี่หวานเชียว พี่เขาเอาอะไรมาให้เราดื่มฟะเนี๊ยะ ตรูตาลายแล้ววววว

                    ครับเมาแล้วครับ ไอ้การได้รู้จักคนหมู่มาก มันก็แปลกดีครับ บางคนเมานี่นั่งเงียบเลยครับ คือ ปกติมันก็พูดดีนี่หว่า หรือบางคนเมาแล้วนั่งร้องไห้ คือพี่เป็นอะไรรึเปล่าครับปกติผมเห็นพี่ขึมตลอดไม่ใช่เหรอ 555 แล้วก็ผู้หญิงอีกคน เมาแล้วพูดไม่หยุดเลย ผมเชื่อแล้วว่าเธอเมาจริง

                    ส่วนผมอะเหรอ เมาแล้วเป็นไง ผมเมาแล้วก็ต้องดิ้นสิครับ ดื่ม ดิ้น กิน เมา สักพักผมก็สงสัยว่ากี่โมงแล้ว นาฬิกาผมก้ไม่ได้ใส่ คือไม่มีใส่อะนะครับ เลยถามพี่เขาเอา

                     เอกเหรอ...ตอนนี้เที่ยงคืนครึ่งแล้วไอ้น้อง น้อง ๆ ๆ สิ้นเสียงพี่แกก็หลับต่อครับ แหมผมก็ไม่น่ารบกวนคนนอนเลยครับ แต่ว่า.......ตายแน่แล้วนี่จะทำยังไงอะ จะโทรบอกแม่ก็ทำไม่ได้ที่บ้านไม่มีโทรศัพท์ ผมเองตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกเลย ตรูโดนแม่ตีแน่ๆ เลยวุ้ย

                    นา เพื่อนในเซเว่น ที่สาขาเดียวกันก็เดินเข้ามาปลอบว่าเดี๋ยวเช้าแล้วค่อยนั่งรถกลับด้วยกัน เพราะบ้านเธอก็อยู่แถวบ้านผมเหมือนกัน ไอ้ผมก็เพิ่งรู้ตอนนั้นแหละว่ามีเพื่อนใกล้ ๆ กันด้วย อย่างน้อยผมก็อุ่นใจได้ว่ามีเพื่อนกลับ....พอสบายใจไปเปลาะหนึ่งแล้ว ผมก็ไปดิ้นรีดเหงื่อต่อครับ ซึ่งพอตีสองผมก็หลับไปทั้งอย่างนั้นอะครับ แปลกอีกเหมือนกันที่ทุกคนก็ดิ้น กิน เมา และ นอน กันอยู่ตรงนั้นกันหมด ไม่มีที่นอนกันรึไงนะ 5555

                    พอตีห้าครึ่งนาก็มาปลุกผม “ไปเอกกลับบ้านกัน” ผมหยีตาตื่นขั้น เดินไปล้างหน้า ฟันก็ไม่ได้แปลงหรอกนะ เดินขึ้นแทกซี่ แล้วก็นอนต่อ รถก็จอดเป็นระยะ ๆ ให้เพื่อนคนอื่นลง สุดท้ายเหลือผมกับนา สองคน นี่แสดงว่าเราสองคนมาทำไกลสุดแหละ

                     เหมือนกับว่าผมเองจะนอนเต็มตื่นแล้ว ความกังวลก็เลยเริ่มเข้าครอบงำผมอีกครั้ง หลังจากหายไปอยู่พักใหญ่ แม่จะโมโหมั้ยนะ แล้วเมื่อคืนได้ขายของรึเปล่า อารมณ์ในตอนนั้นผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับผมรึเปล่า

                     และแล้วก็นั่งรถมาถึงตลาด ก็เลยแวะเข้าไปดูในตลาดซะหน่อยว่าแม่ออกมาขายของมั้ย ปรากฏว่าไม่อยู่ เมื่อคืนไม่ได้ออกมาขาย โมโหหนักแน่นอน เอาวะยังไงก็ต้องเจอนี่หว่า ผมก็นั่งรถสองแถวกลับบ้านก็ปรากฏว่า......

                     แม่ยืนรออยู่หน้าปากซอย ถือไม้กวาดรอจะตีเราอยู่ ผมเดินลงจากรถ เดินเข้าไปหาแม่ แม่ยืนหันหลังให้ ปากสั่น มือกำไม้กวาดแน่น ประหนึ่งว่าอยากจะตีเราให้ได้ แต่เหมือนอีกใจหนึ่งก็ไม่อยากตี เพราะอะไรผมไม่อาจทราบได้ ว่าแม่กำลังคิดอะไรอยู่ ผมทำได้แค่เพียง ก้มกราบเท้าแม่และเอ่ยขอโทษแม่ ที่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วง และผมก็พูดว่า แม่ผมจะไม่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วงอีกแล้วครับ สิ้นเสียงผมเอ่ยไปเพียงไม่นาน แม่ก็เอ่ยประโยคสั้นๆ เหมือนฟ้ากำลังผ่าลงมา “เอ็งไปลาออกจากเซเว่นซะนะ”...........งานเลี้ยงปีใหม่เพียงครั้งเดียวมันขนาดนั้นเลยเหรอ ผมอดสงสัยไม่ได้.....

                     ผมได้แต่บอกว่า เราจะลาออกทันทีเลยไม่ได้ ต้องรอให้ครบสิ้นเดือนก่อน ผมไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมผมต้องลาออกจากเซเว่นมา ผมรู้แต่ว่าแม่ขอ ลูกอย่างผมทำได้เพียง ให้ตามนั้น

                    ช่วงที่เหลือของการทำงานในเดือนมกราคมของปีนั้น ผมยังคงตั้งอกตั้งใจทำงานต่อไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าเมื่อสิ้นเดือนมาถึง แล้วพี่แมวต้องถามว่าจะทำต่อมั้ย แล้วผมต้องบอกไปว่า “ไม่ทำแล้วครับ” มันแย่แค่ไหน แต่ยังไงก็ต้องหยุด เฮอ...ตอนเข้าใช่ว่าจะง่าย น่าเสียดายเลิกง่ายจัง

                    แล้วสิ้นเดือนนั้นผมก็ต้องยุติการเป็นพนักงานเซเว่นไป พอไม่ได้ทำงานเซเว่นแล้ว ผมก็กลับไปทำงานกับป้าของผมต่ออย่างเคย ซึ่งก็มีคำถามจากน้าขแงผมว่า ลาออกทำไม น่าจะทำต่อ ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าแม่ตอบยังไงไปบ้าง แต่ก็แค่นั้นหละ เลิกมาแล้วนี่

                    กลับมาทำกลับป้าผมรอบบนี้ มีเรื่องแปลก ๆ เพิ่มขึ้นคือ ลูกพี่ลูกน้องผมหลายคนก็มาทำงานด้วยเหมือนกันกะผม ไอ้ผมก็ไม่กล้าถามอะนะว่าทำไม แต่พวกเธอชวนฉันคุยมากไปนะ พวกเราเลยโดนดุบ่อยกว่าคราวก่อน คราวก่อนผมเป็นหลานคนเดียว คราวนี้มาทำอะไรกันเหรอ มากัน หกถึงเจ็ดคนได้

                   และก็ยังคงไม่ทิ้งนิสัยเดิม คือยังรับเอางานเพื่อนมาเขียนอยู่เช่นเดิม อิอิอิ ก็นี่มันเงินส่วนตัวผมที่จะเอาไปซื้อการ์ตูนนี่นา ไม่ทำได้ไงอะ แต่มันก็ส่งผลกระทบ กับงานที่ร้านไปด้วยจนได้ อาจเป็นเพราะผมคิดว่าตัวเองเป็นหลานมั้งครับ เลยมองว่า เราจะเอางานที่เขียนไปเขียนที่ร้านตอนว่างๆ ก็ได้ไม่เห็นเป็นอะไรเลย แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดสิครับ

                  โลกของผมมันก็แปลก ๆ อีกแล้ว คือผมถูกดุเรื่องเอางานไปเขียนนี่แหละ คือมันไม่ใช่เวลา งานที่ร้านก็งานที่ร้าน งานที่บ้านก็งานที่บ้าน ก็เข้าใจครับว่าต้องแบ่งแยก แล้วเรื่องมันก็เลยไปถึงเรื่องแม่เป็นหนี้ป้าผม ป้าถามถึงเงินเก็บแม่ ผมก็บอกว่าไม่มีมั้งครับ ป้าผมก็สงสัยว่า ทำไมไม่มีเก็บ บ้านก็ไม่ได้เช่า น้ำไฟก็ไม่ได้เสีย อยู่กันสองคนแม่ลูก ทำไมไม่มีเก็บ ป้าผมก็สงสัยหนักขึ้นไปอีกว่า ไปคบหาผู้ชายรึเปล่า ประมาณว่าไปเลี้ยง ผมก็บอกว่าไม่มีนะครับ แล้วประเด็นก็มาหยุดตรงแม่เล่นหวยแน่ๆเลย ผมก็บอกว่าก็มีเล่นบ้างนะครับ แต่ปรืมาณผมไม่รู้เพราะเรื่องเงินแม่ไม่เคยบอกอะไรผมเลย อ้อ ค่าเทอมตอนเรียนมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้ ป้าผมก็เป็นคนส่งให้ผมเรียน อ้าว...ผมก็อดสงสัยด้วยไม่ได้ว่า แล้วเงินมันไปไหนหมดอะ.........

                   แต่ผมก็ไม่นึกเลยว่า การพูดคุยในวันนั้นจะส่งผลถึงผมในเวลาต่อมา ผมก็ไม่รู้อีกเช่นเคยว่า แม่ผมคุยอะไรกับป้าผม ถึงขนาดเลิกส่งเสียผมเสียแล้ว แถมแม่ยังมาคุยในเชิงตัดขาดพี่น้องอีก ผมเห็นชัด ๆ เลยว่าผมกำลังตกที่นั่งลำบากครั้งใหญ่ซะแล้ว เรียนก็ยังไม่ทันจบ ปวช. 2 จะไปหางานที่ไหนทำหละ มันไม่เห็นทางเลือกอะไรเลยครับ ผมร้องไห้น้ำตาไหลมองไม่เห็นทางเดินข้างหน้าเลย ในใจก็คิดว่าจะต้องออกมาเป็นผู้ชายขายหอยจริง ๆ เหรอวะเนี๊ยะ มองมุมไหนก็อดตาย

                   เดิอนนั้นเราสองคนแม่ลูกเริ่มต้องเผชิญปัญหา เรื่องเงินหนักขึ้น แม่พยายามหาของในบ้านไปขาย อะไรขายได้ขายหมด ต้องจ่ายค่าน้ำเอง ค่าไฟเอง ประหนึ่งว่าเงินกงสีไม่มีมาอุดหนุนให้อีกต่อไปแล้วนะ บางวันผมก็ถึงขนาดอดข้าวกันเลย และมันก็มีคำถามว่าแล้วเงินที่แม่เคยได้มันไปไหนหมด ทั้งของผมที่ให้ ทั้งของอากงผมที่ให้ ทั้งที่ขายของก็ขายหมด แต่ก็ยังเป็นหนี้ป้า โอ้ย งง

                   ในคืนนั้นผมตัดสินใจหน้าด้าน บากหน้าไปหาป้าผมที่ตลาด ขอร้องให้ป้ากรุณาส่งเสียให้ผมเรียนจบ ปวช. ก็ยังดี ผมพูดอยู่นาน ป้าผมก็แค่ยืนฟัง ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา มีเพียงคำพูดแค่ว่า “เอกกลับไปก่อนนะ” เหมือนฟ้าจะรับรู้ได้ถึงความเศร้าของผม ฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ ผมเดินฝ่าสายฝนเดินกลับบ้าน ด้วยความเป็นเด็ก ผมไม่รู้หรอกว่าคำตอบออกมาจะเป็นยังไง แต่ใจของผมมันเศร้าไปเสียแล้ว สายฝนกับน้ำตามันไหลออกมาพร้อมๆกัน

                    ผมไม่ได้แคร์เลยว่าใครเขาเห็นเราแล้วจะคิดยังไง ผมไม่สนใจหรอก ผมคิดแต่เพียงว่า แล้วพรุ่งนี้จะเอายังไงต่อ.......
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่