[MotoGP] Rules and News update – กฏข้อบังคับที่มีการเปลี่ยนแปลงและข่าวสารช่วงปิดฤดูกาล

เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน การทดสอบรถ MotoGP อย่างเป็นทางการครั้งที่ 1 ก็จะเริ่มต้นขึ้นที่สนามเซปัง ประเทศมาเลเซีย ตามธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนเฉกเช่นทุกปี แต่ปีนี้จะต่างออกไปตรงที่จะไม่มีการทดสอบที่เซปังครั้งที่ 2 แต่จะย้ายไปทดสอบที่สนาม Philip Island ประเทศออกสเตเรียแทน เนื่องจากปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงยางและ ECU ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยจากภายนอกที่แต่ละโรงงานไม่ได้พัฒนาเองทั้งคู่ ทำให้ทีมแข่งต้องการที่จะเก็บข้อมูลให้มากที่สุดจากหลายๆสนาม มากกว่าการเปรียบเทียบผลการทดสอบกันโดยตรง (Sepang I vs Sepang II) เหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา ส่วนการทดสอบครั้งที่ 3 ยังคงเป็นที่ประเทศกาตาร์ก่อนเปิดฤดูกาลเหมือนเดิม

2016 season is on the way
เรามาอัพเดทกฎหลักๆที่มีการเปลี่ยนแปลงของรุ่น MotoGP กันหน่อยดีกว่า บวกกับเก็บตกข่าวสารต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงพักเบรคปิดฤดูกาล

กฎทั่วไป/Basic Rule:
#น้ำหนักรวมของรถต้องไม่น้อยกว่า 157 กิโลกรัม (ลดจากปีที่แล้ว 1 กิโลกรัม)
#Wings หรือปีกที่ติดอยู่กับแฟร์ริ่ง ต้องมีขอบที่โค้งมนที่มีรัศมีอย่างน้อย 2.5 มิลเมตร เพื่อป้องกันอันตรายจากการบาด
#ความจุสูงสุดของถังน้ำมันคือ 22 ลิตร (เพิ่มขึ้น 2 ลิตรสำหรับทีมโรงงาน)
#ไม่จำกัดจำนวนรถต่อยี่ห้อ แต่ทีมโรงงานจะมีนักแข่งได้แค่ 2 คนเท่านั้น (จากเดิมที่มีข้อกำหนดไว้ว่าแต่ละโรงงานจะมีรถ Prototype ได้ไม่เกิน 4 คัน ซึ่งเดาว่ากฎนี้น่าจะเขียนไว้ในช่วงที่ต้องการจำกัดงบประมาณ)

Honda RC213V
เครื่องยนต์/Engine:
#จำนวนเครื่องยนต์ต่อ 1 ฤดูกาล:
7 เครื่อง – สำหรับโรงงานปกติ [Honda, Yamaha และ Ducati] และสเปคของเครื่องยนต์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
9 เครื่อง – สำหรับโรงงานที่ได้รับสิทธิ Concession [Suzuki กับ Aprilia] โดยทีมสามารถพัฒนาเครื่องยนต์ระหว่างฤดูกาลได้

#แต่ละโรงงานสามารถใช้เครื่องยนต์ในการแข่งขันได้หลายรูปแบบ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้โรงงานสามารถนำรถเก่าไปให้ทีมต่างๆเช่าได้มากขึ้น โดยจะต้องส่งสเปคของเครื่องยนต์ให้ทาง FIM ตรวจสอบตามสมการ N+1 โดย N คือจำนวนทีม Satellite และเพื่อลดความยุ่งยากและประหยัดค่าใช้จ่าย กำหนดแต่ละโรงงานส่งเครื่องยนต์ตัวอย่างสำหรับใช้อ้างอิงเพียงแค่ 1 เครื่องคือเครื่องยนต์หลัก ส่วนเครื่องยนต์สเปคอื่นๆ ให้ส่งแค่ตัวอย่างของอุปกรณ์ที่แตกต่างจากเครื่องยนต์หลักมาก็พอ

#เครื่องยนต์จะไม่ถูกปิดตายเหมือนที่ผ่านมา เพื่อให้ทีม Private นำไปใช้ในการทดสอบได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายของทีมที่ต้องไปเช่าเครื่องยนต์สำหรับการทดสอบเพิ่มมาอีกต่างหาก

เด็กอ้วนกลับมาแล้ว
ยาง/Tire:
#Michelin จะเป็นผู้ผลิตยางแทนที่ของ Bridgestone
#ขนาดวงล้อเปลี่ยนจาก 16.5 นิ้วมาเป็น 17 นิ้ว
#ยางที่ใช้ในการแข่งขันและการทดสอบเป็นสิทธิของโรงงานผู้ผลิตยาง ต้องส่งคืนไปยังทางผู้ผลิตทุกครั้งหลังจบการแข่งขันหรือการทดสอบ เพื่อป้องกันปัญหาในเรื่องบางโรงงานได้สิทธิพิเศษในการนำยางไปทดสอบเพิ่มเติมข้างนอก
#จำนวนยางที่ใช้ในการทดสอบต่อนักแข่ง 1 คน ใน 1 ฤดูกาลคือ 120 ชุด

#ในแต่ละสนาม นักแข่งแต่ละคนจะได้รับยางหน้าทั้งหมด 10 ชุดและยางหลังที่หมด 12 ชุด (เพิ่มขึ้น 1 ชุดจากปีที่แล้ว)
#สำหรับสนามที่มีการกินยางที่พิเศษออกไปอย่าง Phillip Island หรือ Sachsenring ทางมิชลินอาจจะเพิ่มจำนวนยางขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ โดยนักแข่งสามารถขอยางหน้าเพิ่มได้สูงสุด 3 ชุด และ 5 ชุดสำหรับยางหลัง
#สำหรับสนามเปียก จะมียางเปียก 2 ประเภทให้เลือกตามปกติ เช่น Hard – Medium แต่นักแข่งจะเลือกยางประเภทแรกได้ไม่เกิน 6 ชุดและเลือกชุดที่ 2 ได้ไม่เกิน 3 ชุด เช่น H6 – M1 หรือ H4 – M3 เป็นต้น นอกจากนี้ นักแข่งจะได้รับยาง Intermediate ที่เพิ่งนำกลับมาใช้อีกครั้ง จำนวน 3 ชุดต่อทุกสนาม (แต่เข้าใจว่ายาง Intermediate นี้ไม่ได้แยกตามประเภทเนื้อยาง)

การทดสอบ/Testing: (สำหรับโรงงานปกติ)
# ทีมโรงงาน สามารถทดสอบด้วยนักแข่งจริงได้สูงสุด 5 วันแต่ต้องเลือกสนามสำหรับทดสอบ 1 สนามจากรายชื่อสนามที่กำหนดไว้ ขณะที่การทดสอบของนักแข่งทดสอบยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง สามารถทำการทดสอบได้ตามจำนวนยางที่จัดเตรียมไว้ให้
# ทีม Private สามารถทดสอบด้วยนักแข่งจริงได้สูงสุด 5 วันที่สนามไหนก็ได้ แต่จะไม่มีการอนุญาติให้ใช้นักแข่งทดสอบทำการทดสอบเพิ่มเติม
# การทดสอบปิดระหว่างฤดูกาลของแต่ละทีมเพิ่มจำนวนวันขึ้นไปเป็น 5 วัน และทีมสามารถนำเครื่องยนต์ที่ใช้แข่งไปทดสอบได้

Ducati จะกลับมาใช้กฏเดียวกันกับ Honda และ Yamaha
Concession:
คือโรงงานที่ได้รับสิทธิพิเศษเนื่องจากยังไม่สามารถทำผลงานได้ดี โดยข้อยกเว้นที่ได้รับคือสามารถพัฒนาเครื่องยนต์ได้ตลอดเวลา, สามารถทดสอบได้ไม่จำกัดจำนวนวันด้วยนักแข่งจริง (แต่จะถูกจำกัดด้วยจำนวนยางที่ได้รับเท่ากันทุกคน) สำหรับการคิดคะแนนของ Concession ยังคงเหมือนเดิมคือถ้าชนะได้ 3 คะแนน อันดับ 2 ได้ 2 คะแนนและอันดับ 3 ได้ 1 คะแนน แต่จะแตกต่างจากปี 2015 เล็กน้อยคือจะนับทั้งสนามปกติและสนามเปียก ถ้าคะแนนครบ 6 แต้มเมื่อไหร่ ทีมจะเสียสิทธิในการทดสอบรถด้วยนักแข่งของทีมทันทีและจะเสียสิทธิพิเศษอื่นๆในฤดูกาลถัดไป

2 โรงงานที่ยังได้รับสิทธิพิเศษในปีนี้
ในขณะเดียวกันถ้าใน 1 ฤดูกาล ทีมไหนเก็บคะแนน Concession ไม่ได้เลยนั่นคือไม่สามารถจบการแข่งขันติดอันดับ 1-3 ได้เลยทั้งฤดูกาล ฤดูกาลถัดไปจะกลับมาได้รับ Full concession ทันที แล้วก็เริ่มต้นนับกันใหม่ ยกตัวอย่างง่ายๆ(ที่เป็นไปไม่ได้)เช่นถ้าปี 2016 รถ Honda ไม่ได้ขึ้น Podium เลย ปี 2017 Honda จะได้รับสิทธิเดียวกันกับที่ซูซูกิหรืออพริเลียได้รับอยู่ตอนนี้ ซึ่งอันนี้จะช่วยให้โรงงานที่ยังตามหลังอยู่สามารถพัฒนารถให้ขึ้นมาสู้กับโรงงานอื่นด้วย ส่วนตัวค่อนข้างชอบกับไอเดียตรงนี้ (แต่ฝั่ง Formula 1 ที่ก็เจอปัญหาเดียวกันกลับยังไม่มีมาตรการใดๆออกมาแก้ไข)

การลงโทษนักแข่ง:
MotoGP มีการใช้ระบบเก็บคะแนนความประพฤติ (ที่ไม่ดี) ของนักแข่งสะสมมาใช้เพื่อลงโทษนักแข่ง โดยแบ่งการลงโทษเป็น 3 ระดับคือสตาร์ทจากตำแหน่งหลังสุดเมื่อครบ 4 คะแนน (เหมือนที่ Rossi โดนที่บาเลนเซีย), ออกสตาร์ทจากพิทเลนเมื่อครบ 7 คะแนนและถูกพักการแข่งขันเมื่อครบ 10 คะแนน โดยคะแนนทำโทษจะมีอายุ 1 ปีหลังจากได้รับ

ตอนนี้มันมีข้อกังวลว่าจะเกิดการลงโทษกระทงเดิมซ้ำขึ้นมาเช่นในกรณีของ Rossi ที่โดนลงโทษ 1 คะแนนที่ซานมาริโน่ปีที่แล้ว ซึ่งโทษนี้จะหมดอายุในเดือน ก.ย. ปีนี้ กับอีก 3 คะแนนที่มาเลเซียจากกรณีกับ MM93 ซึ่งจะหมดอายุในเดือน ต.ค. ปีนี้ ตอนนี้ Rossi โดนลงโทษออกสตาร์ทจากอันดับท้ายสุดที่บาเลนเซียไปแล้ว หลังจากเดือน ก.ย. ปีนี้ คะแนนลงโทษสะสมของ Rossi จะเหลือ 3 คะแนนหลังจาก 1 คะแนนที่ซานมาริโน่หมดอายุไป สมมุติว่าในช่วงต้นเดือนตุลา (สนามที่ญี่ปุ่นหรือออสเตเรีย) Rossi โดนลงอีก 1 คะแนน จะทำให้คะแนนความประพฤติถูกเพิ่มมาเป็น 4 อีกครั้ง ซึ่งตามกฏตอนนี้จะต้องถูกลงโทษให้ออกสตาร์ทจากตำแหน่งสุดท้ายอีกครั้ง

Valentino Rossi's Rule
เพื่อแก้ปัญหากรณีที่นักแข่งอาจจะโดนลงโทษกระทงเดิมซ้ำ ได้มีการเพิ่มรายละเอียดขึ้นมาอีกว่านักแข่งจะไม่ถูกลงโทษกระทงเดิมจนกว่าจะถูกลงโทษครบรอบ 10 คะแนน นั่นคือถ้า Rossi อยากโดนครูฝ่ายปกครองทำโทษซ้ำด้วยการไปกินบ๊วยอีกรอบนึง เค้าต้องเก็บคะแนนสะสมให้ครบ 7 คะแนนเพื่อให้โดนลงโทษออกสตาร์ทจาก Pit lane และต้องเก็บคะแนนสะสมให้ครบ 10 เพื่อที่จะถูกพักการแข่งขัน 1 สนามเสียก่อน หลังจากนั้นถึงจะมีโอกาสได้ไปออสตาร์ทจากอันดับสุดท้ายอีกครั้ง

จริงๆระบบการลงโทษแบบนี้ ก็ใช่ว่าส่วนใหญ่จะเห็นด้วย จริงๆแล้วนักแข่งหลายๆคนอยากให้การลงโทษจบลงในสนามนั้นๆไปเลย แต่มันก็จะมีบางเหตุการณ์ที่ทางคณะกรรมการต้องการเวลาในการใตร่ตรองให้รอบคอบ เพื่อให้คำตัดสินมีความยุติธรรมที่สุด เนื่องจากเวลาให้คำตัดสินอะไรออกมามันต้องมีฝ่ายที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ณ ตอนนี้ทุกคนก็ยอมรับกับกฏนี้จนกว่าจะหาวิธีใหม่ที่ดีกว่านี้ได้ ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้

ความปลอดภัย:
มีการอัพเดทกฎเกี่ยวกับอุปกรณ์นิรภัยเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับนักแข่ง จากเดิมที่กำหนดไว้แค่ชุดแข่งนริภัย หมวกกันน็อค ถุงมือแล้วก็รองเท้า อุปกรณ์ป้องกันหลังในชุดแข่งมีการใช้งานกันอย่างกันมาหลายปีแล้วล่ะ แต่เพิ่งจะถูกกำหนดให้เป็นอุปกรณ์บังคับในปีนี้จากเดิมในกฏเขียนไว้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่แนะนำให้ใช้ เช่นเดียวกับอุปกรณ์ป้องกันหน้าอก (ซึ่งอันนี้ยังใช้กันไม่แพร่หลาย) ก็จะเข้ามาเป็นอุปกรณ์บังคับในชุดแข่งเช่นเดียวกัน

Jack Miller พา Hector Barbera ลงไปเที่ยวบ่อกรวด
อุปกรณ์ทุกชิ้นในชุดแข่ง รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของนักแข่ง จะต้องได้รับรองมาตรฐานจาก ISO และ EN Standard ขณะที่ Technical Director ของ MotoGP (Danny Aldridge) มีอำนาจในการตรวจสอบและกำหนดมาตรฐานของอุปกรณ์ รวมถึงมีสิทธิที่จะเข้าไปตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นของอุปกรณ์หลังจากที่นักแข่งล้มหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้น ถ้าเห็นว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นได้รับความเสียหายเกินไป ทางหัวหน้าด้านเทคนิคมีสิทธิสั่งห้ามใช้อุปกรณ์ตัวนั้นได้ ซึ่งสิทธินี้รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ภาคสนามของแต่ละโรงงานเช่น Alpinestars หรือ Dainese ก็มีสิทธิที่จะเข้ามาตรวจสอบและสั่งให้นักแข่งที่ผลิตภันฑ์รุ่นนี้ยกเลิกการใช้งานได้เช่นกันถ้าหากเห็นว่าอุปกรณ์นั้นอาจจะไม่ปลอดภัยต่อนักแข่ง

Tech-Air เทคโนโลยีความปลอดภัยในชุดแข่งของ Alpinestars
โรงงานผลิตชุดแข่งต้องบันทึกข้อมูลชุดแข่งที่นักแข่งใช้ลงในฐานข้อมูลและจัดส่งข้อมูลนี้ให้กับหัวหน้าคณะทำงานด้านเทคนิคของ MotoGP เพื่อให้ทำการตรวจสอบว่าไม่มีนักแข่งคนไหนที่ใช้ชุดแข่งที่ไม่ได้มาตรฐานรึเปล่า ในส่วนของ Air bag ในชุดแข่ง น่าจะถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานสำหรับนักแข่งใน GP เป็นรายการถัดไป แต่ต้องรอให้ข้อพิพาทย์เกี่ยวกับเทคโนโลยีของตัวนี้ระหว่าง Alpinestars กับ Dainese ในชั้นศาลจบไปเสียก่อน อย่างไหรก็ดี การที่ FIM เข้ามาดูแลเรื่องนี้เพิ่มเติม จะช่วยทำให้การพัฒนาอุตสหกรรมชุดและอุปกรณ์สวมใส่สำหรับนักบิดทำได้เร็วขึ้นรวมถึงมีมาตรฐานที่สูงขึ้นด้วย
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่