เมื่อปี 2556 ต่อเนื่อง 2557 กทมฯ เคยมีช่วงดีดี ที่อากาศหนาว ยาวนาน ถึง 3 เดือน
นับเป็นช่วงที่หาไม่ได้มานานหลายทศวรรษ
ก่อนปีใหม่ ปลายปี 2558 ก็คิดว่าคงจะผิดหวังที่ชาว กทมฯ จะได้สัมผัสอากาศเย็นๆ สักครั้ง
เลยหนีขึ้นเหนือ หวังจะไปสูดไอเย็น ช่วงปีใหม่ ก็ผิดหวังเสียอีก เพราะท่านมาเย็นเจี๊ยบ เอาเช้าวันที่จะกลับ กทมฯ
มีหลายคนออกมาพูดว่า มันผิดปกติมาก ที่กทมฯ มีอากาศเย็นขนาดนี้
แต่อาจารย์ รอยล จิตรดอน ท่านบอกว่า ที่จริงเป็นเรื่องปกติมาก ของ กทมฯ ที่เคยเป็นมา
ในขณะที่บ้านผม แถวสายไหม เอา เทอร์โมมิเตอร์ ออกมาวางหน้าบ้านตอนเช้า
วัดได้ ตอน 6.45 น. 12.5 องศา
ทำให้มานึกถึงสมัยเรียนชั้นประถม อยู่แถวบางเขน
ช่วงหน้าหนาว จะรู้สึกมีความสุขมาก เพราะได้ไปเลือกซื้อ เสื้อกันหนาวตัวใหม่
เพราะยุคนั้น พอใกล้หน้าหนาว ตามตลาดจะมีเสื้อกันหนาวแขวนโชว์ กันหลากสีสัน
เด็กผู้ชายอย่างเราๆ ต้องเลือกเฉพาะ แจ็คเก็ต ผ้าสังเคราะห์ ที่สามารถใส่ได้ 2 ด้าน
เพื่อเอาไปอวดเพื่อนๆ ที่โรงเรียน
ยุคนั้น ถ้าเด็กยุคสมัยนี้ นึกไม่ออก ว่าคำว่าหนาวของคน กทมฯ คือแค่ไหน
ก็ขอให้ลองจินตนาการดูว่า
กี่องศา ที่จะหนาวพอให้คุณ พ่นควัน ออกจากปาก มาเล่นกันได้
แถมใส่เสื้อหนาวได้ทั้งวันโดยไม่มีคำว่าร้อน
ตื่นเช้ามา การน้ำอาบน้ำ ในยุคที่เครื่องทำน้ำอุ่น ยังไม่ถือกำเนิดในประเทศไทย
เป็นความ อำมหิต ต่อชีวิต เป็นอย่างยิ่ง
ทุกซูม ที่ราดรดตัว เหมือนเอาน้ำเดือด เทรด เพราะมันจะมีควันขาวลอยฟ่อง
เหนือสระน้ำที่เลี้ยงปลา (สระใหญ่นะครับ ขนาดเป็นไร่ เพราะที่บ้านเลี้ยงปลาส่งออก)
จะมีไอขาวลอยเรี่ยๆ เป็นเรื่องปกติ
แต่ในปัจจุบัน กลับเป็นภาพแปลกตา ที่จะหาดูได้ตามหนอง บึง ต่างจังหวัด
ปกติ ความคึกคัก ของเทศกาลชีวิต ชีวา จะเริ่มหลังเทศกาล ลอยกระทง
ที่เราจะเล่นดอกไม้ไฟ แบบคนโบราณ ก็คือ ปลาดุก ที่จุดแล้วปล่อยให้มุดน้ำ
ตะไล ที่เล่นทีไร ก็โดนยายด่าว่า อ้ายเวรตะไล ทุกที เพราะกลัวมันหล่นใส่หลังคาบ้าน
หรือกุ้ง ที่เป็นหางก้านมะพร้าว จุดเสร็จ ต้องแกว่งให้มันขึ้นฟ้า ปืนใหญ่ที่เอาไว้จุดยิงคนงาน
ที่เดินกลับจากไปเที่ยว เล่นเอากระโดดกันโหยงเหยง
ซึ่งพอพ้นเทศกาลลอยกระทง ประมาณเดือนพฤศจิกายน เราก็เตรียมรับลมหนาว เข้าเทศกาลปีใหม่
ซึ่งของโปรดก็คือ เค๊ก คุณหญิงเป้า ซึ่งยังอร่อย ติดปาก ติดใจมาจนถึงปัจจุบัน
เพราะครีมหน้าเค๊ก ที่เป็นน้ำตาล ไอซิ่ง ไม่เหมือนใคร
ตัดแบ่งหลัง ปาร์ตี้ ลูกชิ้นปิ้ง กับไก่ย่าง (อืม ก็ไใม่รู้เหมือนกันว่า ยุคนั้น ทำไมต้องทำลูกชิ้นปิ้งกินเวลาจะมีปาร์ตี ปีใหม๋)
ส่วนที่โรงเรียน ก่อนปีใหม่จะเป็นอะไรที่ครึกครื้นสุดๆ
เพราะทุกคนจะแบ่งงานกัน วางแผนแต่งห้องเรียน เพื่อเตรียมจัดงานเลี้ยง
พร้อมทั้งระดมทุน เก็บเงินวันละ 50 สตางค์ ต่อคนทุกวัน
ไว้เป้นค่าอาหาร ค่าซื้อสายรุ้ง ค่ากระดาษ แป้งเปียก เพื่อเอามาพับทำของตกแต่ง
บ้านผมจะหนักหน่อย เพราะมีต้นมะพร้าวเยอะ ต้องให้คนงานปีนขึ้นไปตัด ทางมะพร้าว แล้วเกณท์ เพื่อนมาลากไปโรงเรียน
ใบมะพร้าว ทำประโยชน์ ได้สารพัด ถือเป็นกิจกรรม ที่ทำให้เพื่อนๆ ในวัยนั้นได้ร่วมมือกันทำงาน เก็บเงิน และออกหัวคิด
ในการตกแต่งห้อง ห้องใครเจ๋งกว่ากัน นี่เป็นเรื่องทับถมกันข้ามเทอม
เสียดายที่เด็กๆ วันนี้ ไม่มีโอกาสได้สัมผัสเรื่องราว กับบรรยากาศ แบบนั้ไปเสียแล้ว
เพราะขนาดไปเข้าค่ายลูกเสือในปัจจุบัน ยังแค่สอบการทำอาหาร โดยการปิ้งไก่ เสียบไม้
ในขณะที่ยุคผม ต้องคิดเมนู วนิพก ทำกินกันจริงๆ ด้วยเสบียงที่พกไปเอง
ไม่ทราบว่า มีใครมีประสพการณืสมัยก่อน หรือบรรยากาศที่น่าประทับใจ มาเล่าสู่กันฟังไหม
อ้อ...ต้องบอกว่า เล่าสู่กันอ่านจะถูกต้องกว่า
หน้าหนาว ของชาว กทมฯ เมื่ออดีต
นับเป็นช่วงที่หาไม่ได้มานานหลายทศวรรษ
ก่อนปีใหม่ ปลายปี 2558 ก็คิดว่าคงจะผิดหวังที่ชาว กทมฯ จะได้สัมผัสอากาศเย็นๆ สักครั้ง
เลยหนีขึ้นเหนือ หวังจะไปสูดไอเย็น ช่วงปีใหม่ ก็ผิดหวังเสียอีก เพราะท่านมาเย็นเจี๊ยบ เอาเช้าวันที่จะกลับ กทมฯ
มีหลายคนออกมาพูดว่า มันผิดปกติมาก ที่กทมฯ มีอากาศเย็นขนาดนี้
แต่อาจารย์ รอยล จิตรดอน ท่านบอกว่า ที่จริงเป็นเรื่องปกติมาก ของ กทมฯ ที่เคยเป็นมา
ในขณะที่บ้านผม แถวสายไหม เอา เทอร์โมมิเตอร์ ออกมาวางหน้าบ้านตอนเช้า
วัดได้ ตอน 6.45 น. 12.5 องศา
ทำให้มานึกถึงสมัยเรียนชั้นประถม อยู่แถวบางเขน
ช่วงหน้าหนาว จะรู้สึกมีความสุขมาก เพราะได้ไปเลือกซื้อ เสื้อกันหนาวตัวใหม่
เพราะยุคนั้น พอใกล้หน้าหนาว ตามตลาดจะมีเสื้อกันหนาวแขวนโชว์ กันหลากสีสัน
เด็กผู้ชายอย่างเราๆ ต้องเลือกเฉพาะ แจ็คเก็ต ผ้าสังเคราะห์ ที่สามารถใส่ได้ 2 ด้าน
เพื่อเอาไปอวดเพื่อนๆ ที่โรงเรียน
ยุคนั้น ถ้าเด็กยุคสมัยนี้ นึกไม่ออก ว่าคำว่าหนาวของคน กทมฯ คือแค่ไหน
ก็ขอให้ลองจินตนาการดูว่า
กี่องศา ที่จะหนาวพอให้คุณ พ่นควัน ออกจากปาก มาเล่นกันได้
แถมใส่เสื้อหนาวได้ทั้งวันโดยไม่มีคำว่าร้อน
ตื่นเช้ามา การน้ำอาบน้ำ ในยุคที่เครื่องทำน้ำอุ่น ยังไม่ถือกำเนิดในประเทศไทย
เป็นความ อำมหิต ต่อชีวิต เป็นอย่างยิ่ง
ทุกซูม ที่ราดรดตัว เหมือนเอาน้ำเดือด เทรด เพราะมันจะมีควันขาวลอยฟ่อง
เหนือสระน้ำที่เลี้ยงปลา (สระใหญ่นะครับ ขนาดเป็นไร่ เพราะที่บ้านเลี้ยงปลาส่งออก)
จะมีไอขาวลอยเรี่ยๆ เป็นเรื่องปกติ
แต่ในปัจจุบัน กลับเป็นภาพแปลกตา ที่จะหาดูได้ตามหนอง บึง ต่างจังหวัด
ปกติ ความคึกคัก ของเทศกาลชีวิต ชีวา จะเริ่มหลังเทศกาล ลอยกระทง
ที่เราจะเล่นดอกไม้ไฟ แบบคนโบราณ ก็คือ ปลาดุก ที่จุดแล้วปล่อยให้มุดน้ำ
ตะไล ที่เล่นทีไร ก็โดนยายด่าว่า อ้ายเวรตะไล ทุกที เพราะกลัวมันหล่นใส่หลังคาบ้าน
หรือกุ้ง ที่เป็นหางก้านมะพร้าว จุดเสร็จ ต้องแกว่งให้มันขึ้นฟ้า ปืนใหญ่ที่เอาไว้จุดยิงคนงาน
ที่เดินกลับจากไปเที่ยว เล่นเอากระโดดกันโหยงเหยง
ซึ่งพอพ้นเทศกาลลอยกระทง ประมาณเดือนพฤศจิกายน เราก็เตรียมรับลมหนาว เข้าเทศกาลปีใหม่
ซึ่งของโปรดก็คือ เค๊ก คุณหญิงเป้า ซึ่งยังอร่อย ติดปาก ติดใจมาจนถึงปัจจุบัน
เพราะครีมหน้าเค๊ก ที่เป็นน้ำตาล ไอซิ่ง ไม่เหมือนใคร
ตัดแบ่งหลัง ปาร์ตี้ ลูกชิ้นปิ้ง กับไก่ย่าง (อืม ก็ไใม่รู้เหมือนกันว่า ยุคนั้น ทำไมต้องทำลูกชิ้นปิ้งกินเวลาจะมีปาร์ตี ปีใหม๋)
ส่วนที่โรงเรียน ก่อนปีใหม่จะเป็นอะไรที่ครึกครื้นสุดๆ
เพราะทุกคนจะแบ่งงานกัน วางแผนแต่งห้องเรียน เพื่อเตรียมจัดงานเลี้ยง
พร้อมทั้งระดมทุน เก็บเงินวันละ 50 สตางค์ ต่อคนทุกวัน
ไว้เป้นค่าอาหาร ค่าซื้อสายรุ้ง ค่ากระดาษ แป้งเปียก เพื่อเอามาพับทำของตกแต่ง
บ้านผมจะหนักหน่อย เพราะมีต้นมะพร้าวเยอะ ต้องให้คนงานปีนขึ้นไปตัด ทางมะพร้าว แล้วเกณท์ เพื่อนมาลากไปโรงเรียน
ใบมะพร้าว ทำประโยชน์ ได้สารพัด ถือเป็นกิจกรรม ที่ทำให้เพื่อนๆ ในวัยนั้นได้ร่วมมือกันทำงาน เก็บเงิน และออกหัวคิด
ในการตกแต่งห้อง ห้องใครเจ๋งกว่ากัน นี่เป็นเรื่องทับถมกันข้ามเทอม
เสียดายที่เด็กๆ วันนี้ ไม่มีโอกาสได้สัมผัสเรื่องราว กับบรรยากาศ แบบนั้ไปเสียแล้ว
เพราะขนาดไปเข้าค่ายลูกเสือในปัจจุบัน ยังแค่สอบการทำอาหาร โดยการปิ้งไก่ เสียบไม้
ในขณะที่ยุคผม ต้องคิดเมนู วนิพก ทำกินกันจริงๆ ด้วยเสบียงที่พกไปเอง
ไม่ทราบว่า มีใครมีประสพการณืสมัยก่อน หรือบรรยากาศที่น่าประทับใจ มาเล่าสู่กันฟังไหม
อ้อ...ต้องบอกว่า เล่าสู่กันอ่านจะถูกต้องกว่า