สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
แก้ไขโดยเอาหลายสิ่งหลายอย่างมาทำงานร่วมกันครับ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เมื่อมีขึ้นแล้ว เมื่อชำนาญแล้ว เมื่อเป็นอัตโนมัติแล้ว จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนั้นได้ในครั้งเดียว จบ และรวมถึงปัญหาอื่นๆอีกมายมายด้วย
ตัวที่ว่านี้คือ สติ ครับ
สติแบบบ้านๆ สติที่เกิดจากสัญชาตญาณทั่วๆไปไม่เพียงพอครับ ยิ่งส่วนมากคนไทยจะเข้าใจความหมายของสติผิด เลยยิ่งไม่ให้ความสำคัญ ไม่เห็นประโยชน์ ในขณะที่ฝรั่งเอาเรื่อง mindfulness ไปใช้ประโยชน์อย่างมหาศาล
แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังบอกเลยว่า สติคือทางสายเอก แปลตรงตัวคือทางเดียวเท่านั้น
เมื่อกี้คุณพูดถึงเรื่องมิจฉาทิฐิ ถ้าตัวตรงข้ามมันก็คือสัมมาทิฐิ
แล้วคุณคิดว่า สัมมาทิฐิ จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ได้โดยตรรกเหตุผลเหรอ ตรรกะเหตุผลคือสิ่งที่เกิดจากการคิด วิเคราะห์ หรือทางภาษาธรรมเรียกว่า จินตมยปัญญา
ตรรกะเหตุผลต้องใช้เวลา เวลาในการคิด การวิเคราะห์ รวมถึงยังต้องทำการชักกะเย่อ กับอารมณ์ ในขณะนั้นๆด้วย และโดยส่วนใหญ่แล้วอารมณ์จะชนะเหตุผลเสมอซะด้วยสิครับ
ไม่ทันหรอกครับ เหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นไว ถ้าพยายามจะใช้เหตุผล ความควรหรือไม่ควร(สัมปชัญญะเพียวๆ) มาข่มโดยมากแล้วไม่ทัน แถมยังมีไฟ คือไฟโทสะ ไฟโมหะ มาผสมโรงด้วยแล้ว คุณจะแก้ไขมันทันได้อย่างไร ตรรกะเหตุผลมีความเฉื่อย มันจะตามมาให้คิดทีหลัง ให้คิดได้ทีหลัง หลังจากเรื่องราวเหล่านั้นเกิดไปแล้ว
ทีนี้เรามาดูกันว่า มีอะไรที่ไวปานสายฟ้าได้บ้าง มีอยู่ตัวหนึ่งครับ ถ้ายิ่งฝึกจะยิ่งไว ยิ่งฝึกจะยิ่งเป็นอัตโนมัติ ยิ่งฝึกจะยิ่งคม ยิ่งฝึกมีเอฟเฟคที่เป็นระดับกลางจนไปถึงด้านบวกขึ้นไป ไม่มีด้านลบ
ตัวที่ว่านี้ก็คือ สติ หรือ mindfulness
และมันง่ายมาก เพราะสติไม่ใช่การตัดสิน ไม่ได้ตัดสินว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ สติมันแค่การรู้ การรับรู้ แค่รู้เท่านั้น
มันเลยสบายมากๆ ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องปวดหัว ธรรมชาติจะทำงานของมันเอง
สติจะทำให้เกิดสภาวะที่ว่า "มันเป็นเช่นนั้นเอง" อย่างอัตโนมัติ ไม่ได้เกิดจากสัญญาหรือความจำ ไม่ได้เกิดจากตรรกะหรือความคิด
อะไรคือสติ เมื่อคุณเอามือไปโดนหม้อหุงข้าวร้อนๆ คุณก็ร้อนเองอย่างอัตโนมัติ โดยไม่ต้องคิดว่าร้อนหนอๆ หรือไม่ต้องคิดว่ามันควรจะร้อนมันน่าจะร้อน
สติคือการรับสภาพของเซนเซอร์ ไม่ว่าทางกายหรือทางใจ ตามความเป็นจริงที่มันเป็นขณะนั้น การรู้ตามที่มันเป็นมันรู้ตอนนั้น ไม่ต้องคิดนำ ไม่ต้องชี้นำ ไม่ต้องห้าม ไม่ต้องกด ไม่ต้องดึง ไม่ต้องสนใจอะไรถูกหรือผิด อะไรควรไม่ควร ไม่ต้องสนใจว่าดีหรือชั่ว นั่นไม่ใช่หน้าที่ของสติ
ทำความเข้าใจเรื่องสติให้ได้ แล้วฝึกฝน จับหลักให้ได้แล้วฝึก
การฝึกสติทำได้ง่ายมากๆ ไม่ว่าคุณจำกำลัง กิน ขี้ ปี้ นอน คุณก็ฝึกสติได้ทันที และเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดด้วย เพราะไม่ต้องเพ่งแบบสมาธิหรือสมถะ รวมถึง ไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสิน แถมไม่ต้องพิจารณาตามความเป็นจริงแบบวิปัสสนาด้วย
จับเรื่องสติให้ได้ก่อนแล้วเรื่องอื่นจะง่ายไปเอง เพราะสติจะทำให้เรารู้กายรู้ใจ รู้ความคิด รู้อารมณ์ สติจะช่วยเป็นตัวคั่นตัวแยกนามธรรมต่างๆออกจากกันได้ คือ เช่น แยกได้ว่านั่นคืออารมณ์ นั่นคือความคิด และจะช่วยจับสภาวะต่างๆของจิตใจความรู้สึกและนามธรรมต่างๆได้
จิตเราทำหน้าที่ได้อย่างเดียวในชั่วขณะหนึ่ง ถ้าเราเอามันไปทำหน้าที่เป็นสติซะแล้ว เป็นตัวเซนเซอร์ซะแล้ว สภาวะอื่นก็จะเกิดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความทุกข์ ความคิด ความฟุ้งซ่าน หรืออื่นๆก็เกิดไม่ได้ในสภาวะนั้นๆ
สติจึงมีประโยชน์อย่างมาก คนที่จับทางเรื่องสติ เข้าใจถูกต้อง และฝึกฝน ชีวิตเลยมีความทุกข์เกิดขึ้นได้ยาก และมีความสุขได้ง่าย กับทุกเรื่องราวในชีวิต
อย่างที่บอก สติไม่ใช่ตัวตัดสินว่า ถูก ผิด ดี ชั่ว เราถูกเขาผิด เราผิดเขาถูก นั่นควร นี่ไม่ควร ฉะนั้นเมื่อมีสติ แสดงว่าไม่มีการตัดสิน เมื่อไม่มีการตัดสิน ทุกข์หรือสุขเพราะเรื่องนั้นๆตอนนั้นๆก็จะไม่เกิด สภาวะที่เกิดขึ้น คือมั่นเป็นเช่นนั้นเอง หรืออุเบกขา
สติเป็นตัวคั่น เป็นว่าง ไม่มีดีไม่มีชั่วในตอนนั้น นี่เป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับชาวโลกแบบเราๆ ที่จะเติมสิ่งดีๆเข้าไปหลังจากนั้น เช่น เรื่องด้านบวกทุกอย่าง สภาวะบุญ กุศล ความคิดเชิงบวก พลังเชิงบวก คลายปม ถอดถอน
สติเป็นหนึ่งในมรรค 8 ที่จะช่วยหมุนกงล้อไปทางด้านบวก รวมทั้งช่วยส่งเสริมสัมมาทิฐิด้วย เพราะโดยปกติเมื่อ สติทำงานร่วมกับสัมปชัญญะ ก็จะเกิดเมล็ดพันธ์ของสัมมาทิฐิเกิดขึ้น
ถ้าคนเราฝึกสติบ่อยๆ จับทางได้ เป็นอัตโนมัติ เมื่อเกิดปัญหาเราจะเห็นปัญหาเป็นแค่ปัญหาและหาทางที่จะแก้ไขปัญหานั้นๆ โดยไม่ต้องทุกข์เพราะปัญหา เพราะแค่เห็น รับรู้ และหาทางออก เปรียบเสมือนเป็นแค่ผู้ดู
และเมื่อเกิดปัญหาบางเรื่อง เราแค่เป็นผู้ดู ผู้ยืนดูอยู่บนยอดเขา เหมือนผู้ใหญ่ที่ใจดี มองเห็นเด็กตัวเล็กๆทะเลาะกันแย่งขนมแย่งของเล่นกัน เราไม่ได้ลงไปทะเลาะแย่งของเล่นเด็กแย่งขนมเด็กด้วย แถมผู้ใหญ่คนนั้นก็เข้าใจด้วยว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นธรรมชาติของเด็ก มองเป็นเรื่องขำโดยทันทีเลยไม่ต้องไม่นั่งคิดอยู่ และหาแนวทางที่จะแก้ไขปัญหานั้น อย่างผู้มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และมีวุฒิภาวะมากกว่าเด็ก 2 ขวบที่แย่งขนมกัน เช่นใดเช่นนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้ ปัญหาที่เกิดบนถนน เราก็จะมองเห็นแบบเดียวกัน เป็นแค่ผู้เห็น ไม่ใช่ผู้ลงไปเล่นด้วย เห็นมันเป็นแค่เรื่องธรรมดา เหมือนเกมส์ เหมือนของเล่น เหมือนเด็ก เราก็จะไม่เปื้อนด้วย ไม่ว่าทางกายหรือทางใจ
เมื่อฝึกมองสิ่งต่างๆด้วยสติ เราจะรู้เองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะตั้งอยู่ เกิดขึ้น แค่ช่วงสั้นๆ แล้วมันก็ดับไป ผ่านไป หายไป ภาษาธรรมแบบไทยๆเขาเรียกว่าไม่เที่ยง การเห็นสิ่งต่างๆแบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจาก ตรรกะ ความคิด ความจำได้จากที่อ่านมาฟังมา แต่มันจะเป็นไปอย่างอัตโนมัติของมันเองถ้าคุณฝึกสติมาดีแล้ว
สติ ไม่ใช่ สมาธิ สติไม่ใช่วิปัสสนา สติไม่ใช่ความคิด สติไม่ใช่การตัดสิน สติไม่ใช่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง สติไม่ใช่สัมปชัญยะ ถ้าจับเรื่องพวกนี้ได้แล้วไปฝึกสติ มันก็จะเกิผลของมันขึ้นเอง
สติช่วยคุณได้เพราะมันไวมาก ยิ่งฝึกมากยิ่งไวมาก จนเป็นอัตโนมัติของมันเอง และมันก็ยังช่วยส่งเสริมคุณธรรมอื่นๆอีกหลายอย่างด้วยให้พอกพูนขึ้น เช่น สมาธิ สัมมาทิฐิ ตัวคอยดักไม่ให้เกิดพลังด้านลบ โรคซึมเศร้า คิดลบ แม้สติไม่ใช่การคิดหรือตรรกะ แต่สติคือตัวคั่น ฉะนั้นมันช่วยให้เรา หยุดเพื่อคิด หยุดเพื่อดู หยุดเพื่อค้นหาแนวทางการใช้ชิวิตที่ดีกว่า หยุดเพื่ออยู่กะตัวเอง ได้ หมายความว่าไง หมายความว่ามันเอาไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายๆเรื่อง และมันก็ทำงานของมันเองอย่างอัตโนมัติด้วย ไม่ต้องดึงมันออกมาจากลิ้นชักเมื่อต้องการใช้ เพระมันวิ่งอยู่ตลอดทั้งผัสสะทั้ง 6 ของเราอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว มันพุ่งออกมาทำงานอย่างอัตโนมัติ
ถ้าจับหลักการ จับทาง เข้าใจ เรื่องสติได้ คุณจะไปฝึกปฏิบัติธรรมที่ไหน สำนักไหนก็ได้ แต่ว่าถ้าจับทางไม่ได้ไม่เข้าใจ ก็อาจจะมีปัญหาได้ เพราะหลายๆที่ก็ไม่เข้าใจหรือไม่เน้นไปที่สติ แต่เน้นไปที่ สมาธิหรือสมถะบ้าง วิปัสสนึกบ้าง หรือที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือพวกที่งมงายทั้งหลาย
ที่ผมเขียนข้างบนทั้งหมดนั้นคือจากประสบการณ์ตรง ด้นสดเอง ผมไม่ใช่คนสมบูรณ์พร้อม แต่ชีวิตผมดีขึ้น สบายขึ้น ง่ายขึ้น มีความสุขได้ง่ายขึ้น
สติจะช่วยดักจับความทุกข์แล้วดีดทิ้ง หรือช่วยในการแก้ปัญหา ให้คิดว่าถ้าเป็นร่างกายเราต้องออกกำลังกาย และถ้าเป็นจิตใจเราก็ออกกำลังจิต ด้วยสติบ้าง สมาธิบ้าง อะไรก็ว่าไปครับ
ผมมาเข้าใจ สนใจ และมั่นใจ เรื่องสติมากขึ้น เมื่อได้ความรู้จากฝรั่งที่สอนเรื่องสติของพุทธองค์นี่แหละ ฝรั่งเขาสอนเรื่องพื้นฐานของสติหรือ mindfulness ได้ดีจริงๆ และวิเคราะห์แยกแยะอย่างเป็นวิทยาศาตร์ เป็นเนื้อเน้นๆ ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆผมสนใจแต่เรื่องสมาธิ คนไทยมักจะสนใจและเข้าใจไปว่าการปฏิบัติธรรมคือการฝึกสมาธิหรือว่าสมถะ และสมาธิแบบไทยๆก็ส่วนมากแล้ว แฝงไว้ด้วยความเคลือบแคลง ความงมงาย ปาฏิหาร บอกไม่หมด ไม่ชัดเจน หลอกล่อไปทางปาฏิหารหรือสิ่งที่ลึกลับ ทำให้ดูเหมือนเข้าถึงยาก หรือบางที่หวังผลชาติหน้า
คนไทยเริ่มตื่นตัวในเรื่องสติ เริ่มจะแยกเรื่องสติกับสมาธิได้มากขึ้น เริ่มมีสถานที่ฝึกสติมากมายขึ้น เหตุผลหนึ่งก็เป็นมาจากการตื่นตัวของฝรั่ง หรือการตื่นตัวจากภายนอกประเทศ และก็ย้อนเข้ามาสู่ มาเป็นแฟชั่นที่น่าส่งเสริม มากขึ้นในประเทศไทยในสมัยนี้
ผมหวังว่าเรื่องที่ผมเขียนขึ้นน่าจะช่วยให้ฉุกคิดและเป็นประโยชน์บ้าง ส่วนถ้าตรงไหนที่อาจจะผิดพลาดไปบ้าง หรือไม่ตรงความความคิดเห็นของท่านผู้รู้ในนี้หลายๆคน ก็ให้ถือซะว่าเป็นการแลกเปลี่ยนทางความคิด แนวทาง และเทคนิคกันนะครับ ความหมายของสังฆะสมัยก่อนก็คือชุมชนที่แลกเปลี่ยน ช่วยเหลือ การในเรื่องธรรมมะและเทคนิคหรือความคิดกันแบบนี้แหละครับ ถูกผิดก็ค่อยๆปรับปรุงและพัฒนากันไป
ฝึกสติสิครับ แล้วชีวิตนี้จะง่ายและสบายขึ้นจริงๆนะ คนที่ฝึกสติยังสามารถคลายปมในใจตัวเองได้ง่าย รวมถึงสร้างพลังบวกให้กับตัวเองได้ง่ายขึ้นด้วยนะครับ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เมื่อมีขึ้นแล้ว เมื่อชำนาญแล้ว เมื่อเป็นอัตโนมัติแล้ว จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนั้นได้ในครั้งเดียว จบ และรวมถึงปัญหาอื่นๆอีกมายมายด้วย
ตัวที่ว่านี้คือ สติ ครับ
สติแบบบ้านๆ สติที่เกิดจากสัญชาตญาณทั่วๆไปไม่เพียงพอครับ ยิ่งส่วนมากคนไทยจะเข้าใจความหมายของสติผิด เลยยิ่งไม่ให้ความสำคัญ ไม่เห็นประโยชน์ ในขณะที่ฝรั่งเอาเรื่อง mindfulness ไปใช้ประโยชน์อย่างมหาศาล
แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังบอกเลยว่า สติคือทางสายเอก แปลตรงตัวคือทางเดียวเท่านั้น
เมื่อกี้คุณพูดถึงเรื่องมิจฉาทิฐิ ถ้าตัวตรงข้ามมันก็คือสัมมาทิฐิ
แล้วคุณคิดว่า สัมมาทิฐิ จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ได้โดยตรรกเหตุผลเหรอ ตรรกะเหตุผลคือสิ่งที่เกิดจากการคิด วิเคราะห์ หรือทางภาษาธรรมเรียกว่า จินตมยปัญญา
ตรรกะเหตุผลต้องใช้เวลา เวลาในการคิด การวิเคราะห์ รวมถึงยังต้องทำการชักกะเย่อ กับอารมณ์ ในขณะนั้นๆด้วย และโดยส่วนใหญ่แล้วอารมณ์จะชนะเหตุผลเสมอซะด้วยสิครับ
ไม่ทันหรอกครับ เหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นไว ถ้าพยายามจะใช้เหตุผล ความควรหรือไม่ควร(สัมปชัญญะเพียวๆ) มาข่มโดยมากแล้วไม่ทัน แถมยังมีไฟ คือไฟโทสะ ไฟโมหะ มาผสมโรงด้วยแล้ว คุณจะแก้ไขมันทันได้อย่างไร ตรรกะเหตุผลมีความเฉื่อย มันจะตามมาให้คิดทีหลัง ให้คิดได้ทีหลัง หลังจากเรื่องราวเหล่านั้นเกิดไปแล้ว
ทีนี้เรามาดูกันว่า มีอะไรที่ไวปานสายฟ้าได้บ้าง มีอยู่ตัวหนึ่งครับ ถ้ายิ่งฝึกจะยิ่งไว ยิ่งฝึกจะยิ่งเป็นอัตโนมัติ ยิ่งฝึกจะยิ่งคม ยิ่งฝึกมีเอฟเฟคที่เป็นระดับกลางจนไปถึงด้านบวกขึ้นไป ไม่มีด้านลบ
ตัวที่ว่านี้ก็คือ สติ หรือ mindfulness
และมันง่ายมาก เพราะสติไม่ใช่การตัดสิน ไม่ได้ตัดสินว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ สติมันแค่การรู้ การรับรู้ แค่รู้เท่านั้น
มันเลยสบายมากๆ ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องปวดหัว ธรรมชาติจะทำงานของมันเอง
สติจะทำให้เกิดสภาวะที่ว่า "มันเป็นเช่นนั้นเอง" อย่างอัตโนมัติ ไม่ได้เกิดจากสัญญาหรือความจำ ไม่ได้เกิดจากตรรกะหรือความคิด
อะไรคือสติ เมื่อคุณเอามือไปโดนหม้อหุงข้าวร้อนๆ คุณก็ร้อนเองอย่างอัตโนมัติ โดยไม่ต้องคิดว่าร้อนหนอๆ หรือไม่ต้องคิดว่ามันควรจะร้อนมันน่าจะร้อน
สติคือการรับสภาพของเซนเซอร์ ไม่ว่าทางกายหรือทางใจ ตามความเป็นจริงที่มันเป็นขณะนั้น การรู้ตามที่มันเป็นมันรู้ตอนนั้น ไม่ต้องคิดนำ ไม่ต้องชี้นำ ไม่ต้องห้าม ไม่ต้องกด ไม่ต้องดึง ไม่ต้องสนใจอะไรถูกหรือผิด อะไรควรไม่ควร ไม่ต้องสนใจว่าดีหรือชั่ว นั่นไม่ใช่หน้าที่ของสติ
ทำความเข้าใจเรื่องสติให้ได้ แล้วฝึกฝน จับหลักให้ได้แล้วฝึก
การฝึกสติทำได้ง่ายมากๆ ไม่ว่าคุณจำกำลัง กิน ขี้ ปี้ นอน คุณก็ฝึกสติได้ทันที และเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดด้วย เพราะไม่ต้องเพ่งแบบสมาธิหรือสมถะ รวมถึง ไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสิน แถมไม่ต้องพิจารณาตามความเป็นจริงแบบวิปัสสนาด้วย
จับเรื่องสติให้ได้ก่อนแล้วเรื่องอื่นจะง่ายไปเอง เพราะสติจะทำให้เรารู้กายรู้ใจ รู้ความคิด รู้อารมณ์ สติจะช่วยเป็นตัวคั่นตัวแยกนามธรรมต่างๆออกจากกันได้ คือ เช่น แยกได้ว่านั่นคืออารมณ์ นั่นคือความคิด และจะช่วยจับสภาวะต่างๆของจิตใจความรู้สึกและนามธรรมต่างๆได้
จิตเราทำหน้าที่ได้อย่างเดียวในชั่วขณะหนึ่ง ถ้าเราเอามันไปทำหน้าที่เป็นสติซะแล้ว เป็นตัวเซนเซอร์ซะแล้ว สภาวะอื่นก็จะเกิดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความทุกข์ ความคิด ความฟุ้งซ่าน หรืออื่นๆก็เกิดไม่ได้ในสภาวะนั้นๆ
สติจึงมีประโยชน์อย่างมาก คนที่จับทางเรื่องสติ เข้าใจถูกต้อง และฝึกฝน ชีวิตเลยมีความทุกข์เกิดขึ้นได้ยาก และมีความสุขได้ง่าย กับทุกเรื่องราวในชีวิต
อย่างที่บอก สติไม่ใช่ตัวตัดสินว่า ถูก ผิด ดี ชั่ว เราถูกเขาผิด เราผิดเขาถูก นั่นควร นี่ไม่ควร ฉะนั้นเมื่อมีสติ แสดงว่าไม่มีการตัดสิน เมื่อไม่มีการตัดสิน ทุกข์หรือสุขเพราะเรื่องนั้นๆตอนนั้นๆก็จะไม่เกิด สภาวะที่เกิดขึ้น คือมั่นเป็นเช่นนั้นเอง หรืออุเบกขา
สติเป็นตัวคั่น เป็นว่าง ไม่มีดีไม่มีชั่วในตอนนั้น นี่เป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับชาวโลกแบบเราๆ ที่จะเติมสิ่งดีๆเข้าไปหลังจากนั้น เช่น เรื่องด้านบวกทุกอย่าง สภาวะบุญ กุศล ความคิดเชิงบวก พลังเชิงบวก คลายปม ถอดถอน
สติเป็นหนึ่งในมรรค 8 ที่จะช่วยหมุนกงล้อไปทางด้านบวก รวมทั้งช่วยส่งเสริมสัมมาทิฐิด้วย เพราะโดยปกติเมื่อ สติทำงานร่วมกับสัมปชัญญะ ก็จะเกิดเมล็ดพันธ์ของสัมมาทิฐิเกิดขึ้น
ถ้าคนเราฝึกสติบ่อยๆ จับทางได้ เป็นอัตโนมัติ เมื่อเกิดปัญหาเราจะเห็นปัญหาเป็นแค่ปัญหาและหาทางที่จะแก้ไขปัญหานั้นๆ โดยไม่ต้องทุกข์เพราะปัญหา เพราะแค่เห็น รับรู้ และหาทางออก เปรียบเสมือนเป็นแค่ผู้ดู
และเมื่อเกิดปัญหาบางเรื่อง เราแค่เป็นผู้ดู ผู้ยืนดูอยู่บนยอดเขา เหมือนผู้ใหญ่ที่ใจดี มองเห็นเด็กตัวเล็กๆทะเลาะกันแย่งขนมแย่งของเล่นกัน เราไม่ได้ลงไปทะเลาะแย่งของเล่นเด็กแย่งขนมเด็กด้วย แถมผู้ใหญ่คนนั้นก็เข้าใจด้วยว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นธรรมชาติของเด็ก มองเป็นเรื่องขำโดยทันทีเลยไม่ต้องไม่นั่งคิดอยู่ และหาแนวทางที่จะแก้ไขปัญหานั้น อย่างผู้มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และมีวุฒิภาวะมากกว่าเด็ก 2 ขวบที่แย่งขนมกัน เช่นใดเช่นนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้ ปัญหาที่เกิดบนถนน เราก็จะมองเห็นแบบเดียวกัน เป็นแค่ผู้เห็น ไม่ใช่ผู้ลงไปเล่นด้วย เห็นมันเป็นแค่เรื่องธรรมดา เหมือนเกมส์ เหมือนของเล่น เหมือนเด็ก เราก็จะไม่เปื้อนด้วย ไม่ว่าทางกายหรือทางใจ
เมื่อฝึกมองสิ่งต่างๆด้วยสติ เราจะรู้เองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะตั้งอยู่ เกิดขึ้น แค่ช่วงสั้นๆ แล้วมันก็ดับไป ผ่านไป หายไป ภาษาธรรมแบบไทยๆเขาเรียกว่าไม่เที่ยง การเห็นสิ่งต่างๆแบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจาก ตรรกะ ความคิด ความจำได้จากที่อ่านมาฟังมา แต่มันจะเป็นไปอย่างอัตโนมัติของมันเองถ้าคุณฝึกสติมาดีแล้ว
สติ ไม่ใช่ สมาธิ สติไม่ใช่วิปัสสนา สติไม่ใช่ความคิด สติไม่ใช่การตัดสิน สติไม่ใช่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง สติไม่ใช่สัมปชัญยะ ถ้าจับเรื่องพวกนี้ได้แล้วไปฝึกสติ มันก็จะเกิผลของมันขึ้นเอง
สติช่วยคุณได้เพราะมันไวมาก ยิ่งฝึกมากยิ่งไวมาก จนเป็นอัตโนมัติของมันเอง และมันก็ยังช่วยส่งเสริมคุณธรรมอื่นๆอีกหลายอย่างด้วยให้พอกพูนขึ้น เช่น สมาธิ สัมมาทิฐิ ตัวคอยดักไม่ให้เกิดพลังด้านลบ โรคซึมเศร้า คิดลบ แม้สติไม่ใช่การคิดหรือตรรกะ แต่สติคือตัวคั่น ฉะนั้นมันช่วยให้เรา หยุดเพื่อคิด หยุดเพื่อดู หยุดเพื่อค้นหาแนวทางการใช้ชิวิตที่ดีกว่า หยุดเพื่ออยู่กะตัวเอง ได้ หมายความว่าไง หมายความว่ามันเอาไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายๆเรื่อง และมันก็ทำงานของมันเองอย่างอัตโนมัติด้วย ไม่ต้องดึงมันออกมาจากลิ้นชักเมื่อต้องการใช้ เพระมันวิ่งอยู่ตลอดทั้งผัสสะทั้ง 6 ของเราอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว มันพุ่งออกมาทำงานอย่างอัตโนมัติ
ถ้าจับหลักการ จับทาง เข้าใจ เรื่องสติได้ คุณจะไปฝึกปฏิบัติธรรมที่ไหน สำนักไหนก็ได้ แต่ว่าถ้าจับทางไม่ได้ไม่เข้าใจ ก็อาจจะมีปัญหาได้ เพราะหลายๆที่ก็ไม่เข้าใจหรือไม่เน้นไปที่สติ แต่เน้นไปที่ สมาธิหรือสมถะบ้าง วิปัสสนึกบ้าง หรือที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือพวกที่งมงายทั้งหลาย
ที่ผมเขียนข้างบนทั้งหมดนั้นคือจากประสบการณ์ตรง ด้นสดเอง ผมไม่ใช่คนสมบูรณ์พร้อม แต่ชีวิตผมดีขึ้น สบายขึ้น ง่ายขึ้น มีความสุขได้ง่ายขึ้น
สติจะช่วยดักจับความทุกข์แล้วดีดทิ้ง หรือช่วยในการแก้ปัญหา ให้คิดว่าถ้าเป็นร่างกายเราต้องออกกำลังกาย และถ้าเป็นจิตใจเราก็ออกกำลังจิต ด้วยสติบ้าง สมาธิบ้าง อะไรก็ว่าไปครับ
ผมมาเข้าใจ สนใจ และมั่นใจ เรื่องสติมากขึ้น เมื่อได้ความรู้จากฝรั่งที่สอนเรื่องสติของพุทธองค์นี่แหละ ฝรั่งเขาสอนเรื่องพื้นฐานของสติหรือ mindfulness ได้ดีจริงๆ และวิเคราะห์แยกแยะอย่างเป็นวิทยาศาตร์ เป็นเนื้อเน้นๆ ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆผมสนใจแต่เรื่องสมาธิ คนไทยมักจะสนใจและเข้าใจไปว่าการปฏิบัติธรรมคือการฝึกสมาธิหรือว่าสมถะ และสมาธิแบบไทยๆก็ส่วนมากแล้ว แฝงไว้ด้วยความเคลือบแคลง ความงมงาย ปาฏิหาร บอกไม่หมด ไม่ชัดเจน หลอกล่อไปทางปาฏิหารหรือสิ่งที่ลึกลับ ทำให้ดูเหมือนเข้าถึงยาก หรือบางที่หวังผลชาติหน้า
คนไทยเริ่มตื่นตัวในเรื่องสติ เริ่มจะแยกเรื่องสติกับสมาธิได้มากขึ้น เริ่มมีสถานที่ฝึกสติมากมายขึ้น เหตุผลหนึ่งก็เป็นมาจากการตื่นตัวของฝรั่ง หรือการตื่นตัวจากภายนอกประเทศ และก็ย้อนเข้ามาสู่ มาเป็นแฟชั่นที่น่าส่งเสริม มากขึ้นในประเทศไทยในสมัยนี้
ผมหวังว่าเรื่องที่ผมเขียนขึ้นน่าจะช่วยให้ฉุกคิดและเป็นประโยชน์บ้าง ส่วนถ้าตรงไหนที่อาจจะผิดพลาดไปบ้าง หรือไม่ตรงความความคิดเห็นของท่านผู้รู้ในนี้หลายๆคน ก็ให้ถือซะว่าเป็นการแลกเปลี่ยนทางความคิด แนวทาง และเทคนิคกันนะครับ ความหมายของสังฆะสมัยก่อนก็คือชุมชนที่แลกเปลี่ยน ช่วยเหลือ การในเรื่องธรรมมะและเทคนิคหรือความคิดกันแบบนี้แหละครับ ถูกผิดก็ค่อยๆปรับปรุงและพัฒนากันไป
ฝึกสติสิครับ แล้วชีวิตนี้จะง่ายและสบายขึ้นจริงๆนะ คนที่ฝึกสติยังสามารถคลายปมในใจตัวเองได้ง่าย รวมถึงสร้างพลังบวกให้กับตัวเองได้ง่ายขึ้นด้วยนะครับ
แสดงความคิดเห็น
คิดว่าตัวเองถูกต้อง คนอื่นผิด ในทางธรรมแก้ไขอย่างไร
ในทางธรรม เป็นเรื่องมิจฉาทิฐิ หรือเปล่า
แล้วจะแก้นิสัยนี้อย่างไร
ตัวอย่าง เวลาตัวเองขับรถมาทางตรงถูกต้อง มีเบียดเลนมาทางขวา แล้วไม่เปิดไฟขอทาง จะเบียดๆ มาเรื่อยๆ
เราก็จะเกิดอารมณ์ คิดว่าตัวเองขับถูกต้องแล้ว ฝั่งนั้นน่ะผิด เราก็จะไม่ยอม หรือ บีบแตรไล่รถเขาดังสนั่น
หรือ อย่าเราโพสคำถาม หรือคำตอบในกระทู้ แล้วคนอื่นมาตอบต่อจากเรื่องของเรา
แต่เราคิดว่า มันไม่ถูกน่ะ คำตอบแบบนี้ไม่ถูกน่ะ ก็จะตอบเถียงกันไปมา
หรือ เวลาทำงาน คนอื่นมาตำหนิ เราก็จะคิดว่า เราไม่ผิดนี้ ก็จะเกิดอารมณ์ ตั้งแง่กับเขา มองเขาไม่ดีไปเลย
บางเรื่อง ถึงเราเป็นฝ่ายถูก แต่อยากดับอารมณ์นี้ ไม่ให้มันเกิดอีก ต้องทำอย่างไร