เพราะโลกนี้มีคนไร้เหตุผลไม่มากพอ
เหตุผล หรือ ไม่เหตุผล ดูตรงไหน เห็นยังไง ?
พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามหลักธรรม นั่นคือหลัก อิทัปปัจจยตา
เพราะมีสิ่งนั้น สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนั้นเกิด สิ่งนี้จึงเกิด
เหตุผล ก็คือ การดูสรรพสิ่งอย่างมีโยนิโสมนสิการ คือพิจารณาอย่างถ้วนทั่ว แยบคาย
ให้เห็นว่า อะไรคือเหตุ อะไรคือปัจจัย ที่ทำให้สรรพสิ่งใด ๆ เกิดขึ้น
ไม่เหตุผล ก็คือ ไม่พิจารณาอะไรเลย ไม่มีโยนิโสมนสิการ ละเหตุ ทิ้งปัจจัย
อาศัยเพียง "อคติ" ในการพิจารณาสรรพสิ่ง ใดถูกใจก็ว่าใช่ ใดไม่ถูกใจก็ว่าไม่ใช่
เมื่อไร้เหตุผล การพิจารณาสรรพสิ่ง จึงพิจารณาแบบมิจฉาทิฐิ
ไม่อาศัยเหตุ ต้องการแค่ผล ด้วยการพิจารณาให้ผลเป็นไปตามอารมณ์ความรู้สึกที่ต้องการ
โลกนี้ อย่างไรก็รอด เพราะสัมมาทิฐิมีมากกว่า มิจฉาทิฐิ
มิฉะนั้น โลกนี้คงดับไปนานแล้ว จากมิจฉาทิฐิที่จะทำให้ทุกอย่างหลงทางผิดทิศ
เพียงแต่โลกย่อมวุ่นวายบ้าง เพราะมิจฉาทิฐิชนย่อมมีย่อมเกิดเป็นธรรมดา
อุปาทาน ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป แต่บางโอกาส อุปาทานก็คือเครื่องเตือนใจให้ผู้มีสัมมาทิฐิไม่หลงทาง
โยนิโสมนสิการจงบังเกิดแด่ทุกผู้เทอญ
(กระทู้วันพระ) อย่างไรโลกนี้ก็ย่อมรอด
เพราะโลกนี้มีคนไร้เหตุผลไม่มากพอ
เหตุผล หรือ ไม่เหตุผล ดูตรงไหน เห็นยังไง ?
พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามหลักธรรม นั่นคือหลัก อิทัปปัจจยตา
เพราะมีสิ่งนั้น สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนั้นเกิด สิ่งนี้จึงเกิด
เหตุผล ก็คือ การดูสรรพสิ่งอย่างมีโยนิโสมนสิการ คือพิจารณาอย่างถ้วนทั่ว แยบคาย
ให้เห็นว่า อะไรคือเหตุ อะไรคือปัจจัย ที่ทำให้สรรพสิ่งใด ๆ เกิดขึ้น
ไม่เหตุผล ก็คือ ไม่พิจารณาอะไรเลย ไม่มีโยนิโสมนสิการ ละเหตุ ทิ้งปัจจัย
อาศัยเพียง "อคติ" ในการพิจารณาสรรพสิ่ง ใดถูกใจก็ว่าใช่ ใดไม่ถูกใจก็ว่าไม่ใช่
เมื่อไร้เหตุผล การพิจารณาสรรพสิ่ง จึงพิจารณาแบบมิจฉาทิฐิ
ไม่อาศัยเหตุ ต้องการแค่ผล ด้วยการพิจารณาให้ผลเป็นไปตามอารมณ์ความรู้สึกที่ต้องการ
โลกนี้ อย่างไรก็รอด เพราะสัมมาทิฐิมีมากกว่า มิจฉาทิฐิ
มิฉะนั้น โลกนี้คงดับไปนานแล้ว จากมิจฉาทิฐิที่จะทำให้ทุกอย่างหลงทางผิดทิศ
เพียงแต่โลกย่อมวุ่นวายบ้าง เพราะมิจฉาทิฐิชนย่อมมีย่อมเกิดเป็นธรรมดา
อุปาทาน ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป แต่บางโอกาส อุปาทานก็คือเครื่องเตือนใจให้ผู้มีสัมมาทิฐิไม่หลงทาง
โยนิโสมนสิการจงบังเกิดแด่ทุกผู้เทอญ