สวัสดีชาวพันทิปทุกคนนนนนน นี่เป็นกระทู้แรกของเราหากผิดพลาดประการใดกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เนื่องจากตอนปิดเทอมช่วงต้นเดือนมกราคม เรากับเพื่อนได้มีโอกาสไปเที่ยว ' ภูกระดึง ' กัน จึงอยากมาแชร์ประสบการณ์ดีดีให้ฟัง :>
เริ่มกันเลยยยย
Day1
เราออกเดินทางกัน วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2559 โดยใช้บริการของ บขส. กรุงเทพ-เชียงคาน รอบ 21.30 น. แต่เราเราต้องบอกเจ้าหน้าที่ว่าลงที่ผานกเค้า ราคาประมาณ 370 บาทค่ะ (ถ้าจองผ่านออนไลน์จะเสียค่าประกันเดินทาง และค่าธรรมเนียม)
DAY2
เราเดินทางถึงผานกเค้าประมาณ ตี5 ซึ่งรถจะจอดหน้าร้านเจ๊กิม ที่ร้านถ้าใครหิวสามารถทานข้าวก่อนได้เลย รวมถึงล้างหน้าแปรงฟัน ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย
(ภาพนี้เราถ่ายตอนขากลับ)
จากนั้นเวลาเกือบ6โมงเช้า จะมีรถแดงจอดรอเพื่อไปภูกระดึง ทุกคันจะคิด300บาท ถ้าเรารวมกันได้10คนก็จะจ่ายแค่30บาทเท่านั้น ระหว่างทางที่ไปนั้นอากาศหนาว และลมแรงมาก มีบางคนใส่ขาสั้น เรานี่หนาวแทนเลย555
ใช้เวลาประมาณ20นาที ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง โดยจะเปิดทำการตอน7โมง สำหรับใครที่จองเต๊นท์ผ่านออนไลน์มาแล้วสามารถยื่นใบเสร็จได้เลย และต้องซื้อตั๋วเข้าอุทยานราคาผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
ได้เวลาอันสมควร ขึ้นภูกันนน
เราออกเดินทาง ตอน7.43 น.ระยะทางขึ้นภูกระดึงประมาณ 8-9กิโลเมตรที่ยาวนานมากๆ5555 เรากับเพื่อนฟิตมากไม่คิดว่าทางจะชันขนาดนี้ เลยไม่จ้างลูกหาบ แต่เราแนะนำให้ทุกคนจ้างนะ กิโลละ30บาท จะได้ไม่บ่นตลอดทางแบบพวกเรา
ทางขึ้นจากเชิงเขาไปหลังแปนั้นมีทั้งทางราบและทางชัน โดยเฉพาะช่วงจากซำแคร่ถึงหลังแปนั้นชันมากกก มากแบบนี่คิดอะไรอยู่ถึงมาที่นี่ ตอนนั้นอยากโยนกระเป๋าทิ้งมาก ระหว่างจุดพักแต่ละซำนั้นมีร้านอาหารให้ทาน พวกเราทานทั้งน้ำแข็งใส ข้าวจี่ เฉาก๊วยนมสด ไอศกรีมมะพร้าว นาทีนั้นรู้สึกว่าทุกอย่างอร่อยหมด555
ระหว่างทางทุลักทุเลมาก แต่ในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึง!!!! ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ4ชั่วโมง แต่ว่าต้องเดินไปจุดกางเตนท์อีก3กิโล........ พวกเราจึงขอนั่งพักกันก่อน ระหว่างเดินไปที่พักความรู้สึกเหมือนมาเดินทางไกลเนตรนารีเลย มองไม่เห็นปลายทางสักที ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงจุดกางเต๊นท์ พวกเราเข้ามาติดต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อเช่าหมอนกับผ้าห่ม ขอแนะนำให้เช่าผ้าห่มผืนใหญ่ และแผ่นรองนอน เพราะตอนกลางคืนหนาวมากกกกก
จากนั้นก็เข้าไปเก็บสัมภาระในเต๊นท์ เราสามารถเลือกเต๊นท์ไหนก็ได้ตามใจชอบเลย (เพราะว่าตอนเราไปเป็นช่วงคนน้อย)
ตอนเที่ยง พวกเราออกไปหาข้าวกินกัน แม่ค้าทุกร้านใจดีและน่ารักมากๆ สามารถขอชาร์จแบตโทรศัพท์ได้ด้วยนะคะ ราคาข้าวประมาณจาน
ละ 60 บาท ถือว่าไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับต้องจ้างลูกหาบแบกวัตถุดิบ และถังแก๊สขึ้นมา
เจอกวางตัวน้อยกำลังกินข้าว
เป้าหมายของเราวันนี้คือดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก โดยจะออกจากจุดกางเต๊นท์ประมาณ 4โมงเย็น ซึ่งระยะทางไปผาหมากดูกนั้นประมาณ 2 กิโลเมตร
ตอนถึงผาหมากดูกนั้นพระอาทิตย์ยังไม่ตก พวกเราจึงเดินเล่นต่อไปถึงผาจำศีล และตัดสินใจดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ เพราะเป็นลานหินกว้าง ไม่ค่อยมีคน สงบสมชื่อ เมื่อถึงตอนพระอาทิตย์ตกก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย
Day3
ตื่นมาปวดขามากกกกกTT รู้สึกได้ว่าน่องปูด5555 และหนาวมากกกก เลยตัดสินใจไม่อาบน้ำเหมือนกับคนอื่นๆบนภู สำหรับวันนี้พวกเราวางแผนไว้ว่าจะดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น สายๆเดินดูน้ำตก และดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ซึ่งมีระยะทางประมาณ9กิโลเมตร
เวลาประมาณตี5 เจ้าหน้าที่จะเรียกรวมตัวและเดินทางไปผานกแอ่นพร้อมกัน เนื่องจากเส้นทางนั้นมืดมาก และเกรงว่าจะมีช้างป่ามา พอถึงผานกแอ่น พวกเราก็รอพระอาทิตย์ขึ้น แต่ว่า วันนี้หมอกลงมาก มองไม่ค่อยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเลยTT
พวกเราจึงตัดสินใจกลับมาที่พัก เพื่อทานข้าวก่อนจะไปดูน้ำตก แต่แผนเปลี่ยน!!! เพราะเดินทางไปน้ำตกแรก คือ น้ำตกวังกวาง ก็เหนื่อยแล้ว เนื่องจากปวดขามาตั้งแต่เมื่อวาน ที่น้ำตกนั้นเจอใบเมเปิ้ลสีแดงเต็มไปหมด สวยมากๆ แต่น้ำไม่ค่อยมีเพราะเป็นช่วงหน้าหนาว
พอเสร็จจากน้ำตก พวกเราจึงเดินกลับไปนอนต่อที่เต๊นท์ เพราะถ้าหากเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึงผาหล่มสัก น่องนี่อาจเตะคนตายได้555 แต่ถ้าใครอยากไป ขอแนะนำให้เช่าจักรยาน โดยราคาจะประมาณ 300 บาทต่อวัน
หลังจากนอนพักที่เต๊นท์จนถึงประมาณเที่ยง พวกเราจึงเดินเลาะริมผาไปเรื่อยๆ โดยใช้เส้นทางที่ไปผาหมากดูก เดินกันจนถึงผาเหยียบเมฆ ซึ่งสมชื่อจริงๆ เพราะจะมีหินอยู่ก้อนหนึ่งที่พอเราขึ้นไปยืนนั้น เหมือนจะขึ้นไปแตะเมฆจริงๆ
จากนั้นพวกเราจึงเดินทางกลับมาที่ผาหมากดูกเพื่อดูพระอาทิตย์ตก ที่นั่นพวกเราซื้อน้ำ และอาหารทานด้วย โดยเฉพาะข้าวจี่ ฟินสุดๆ
แต่ว่า! อย่างที่บอกในตอนแรกว่าวันนี้หมอกลงมาก จึงมองไม่เห็นพระอาทิตย์ตกTT พวกเราจึงตัดสินใจกลับที่พักเพื่อไปกินหมูกะทะกันดีกว่า โดยทุกร้านนั้นจะราคาเท่ากันหมด คือชุดใหญ่500บาท แถมข้าวผัดจานใหญ่1จาน ชุดเล็กก็จะราคา300-400บาท ทายซิ พวกเราเลือกชุดไหน .... ชุดเล็กแน่นอน5555 มากันแค่2คน กินชุดใหญ่ก็เลี้ยงไม่ไหวแล้ว555 แต่ชุดเล็กนี่อิ่มมากๆ ฟินสุดๆ กินท่ามกลางลมหนาว
จากนั้นพวกเราก็เดินเล่นรอบๆ จนเจอร้านรับส่งโปสการ์ด แผ่นละ 5 บาทเท่านั้น ส่งฟรีด้วย
Day 4
วันนี้เราต้องลงจากภูกันแล้ว เมื่อคืนหนาวสุดๆ น้ำค้างลงด้วย หมอกหนากว่าเมื่อวาน ทำให้แผ่นรองนอนเปียกแบบชื้นๆ ตอนแรกเราตกใจมากคิดว่าเราฉี่แตก ตื่นมารีบลุกไปเข้าห้องน้ำเลย5555 แต่ปรากฏว่ามันชื้นเพราะน้ำค้างนี่เอง โล่งอก!
เราเริ่มเก็บสัมภาระกันแล้วเอาตั๋วขึ้นมาดูซึ่ง เราจองรถไว้รอบ21.30น. แต่ว่าในตั๋วเขียนว่า18.30น. พวกเราตกใจมากกก เข้าใจว่าเขาออกตั๋วให้เราผิด จากเดิมวางแผนไว้ว่าจะลงตอน11โมง จึงรีบไปกินข้าวแล้วเดินทางออกตอน9โมง เช้านี้เรากินไข่กระทะ อร่อยมากกกก
ระหว่างนั้นก็ถามแม่ค้าเกี่ยวกับทางลง เขาบอกว่า ง่ายกว่าทางขึ้น ใช้เวลาขึ้นหารสอง สบายยยย พวกเราเลยแบบโล่งใจขึ้นบ้าง แต่ในความเป็นจริง!!!!... ป้าหลอกเรา พวกเราใช้เวลาลง5ชั่วโมงกันทีเดียว เหมือนขาเริ่มล้า จึงก้าวได้ช้า เราจึงค่อยๆลงมากัน แวะพักทุกซำ กินเกือบทุกซำ555 พอมาถึงเชิงเขาตอนประมาณบ่าย2แล้ว จึงพัก และนั่งทานข้าวแล้วค่อยนั่งรถแดงไปร้านเจ๊กิมเพื่อขึ้นรถกลับกรุงเทพ
พวกเรารอรถถึง6โมงครึ่ง รอบรถที่จองไว้ก็ยังไม่มาซักที จึงได้พบความจริงว่า! เวลา6โมงครึ่งคือเวลาที่รถออกจากเชียงคาน และจะมาถึงที่ร้านเจ๊กิมตอน3ทุ่มครึ่ง แม่เจ้าาาาาาาา รอไปอีกเกือบ4ชั่วโมง นั่งเหงาหงอยกันเลยทีเดียว เมื่อถึงเวลารถมา พวกเราก็รีบขึ้นรถ และนอนหลับสนิทตลอดทาง ถึงกรุงเทพประมาณตี5 เป็นอันจบทริปภูกระดึงอย่างสมบูรณ์แบบ
สุดท้ายนี้ ขอบคุณเพื่อนที่ตัดสินใจมาด้วยกัน ทำให้เกิดทริปภูกระดึงนี้ ระหว่างทางมันเหนื่อยมาก แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามันคุ้มค่ามาก ทั้งธรรมชาติที่สวยงาม อากาศดีๆที่คงหาไม่ได้ที่กรุงเทพ อยากให้ทุกคนได้ลองไปนะ ครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องพิชิตภูกระดึง เราชอบช่วงเวลาตอนที่พระอาทิตย์กำลังตกมาก เหมือนเวลากำลังหยุดเดิน ขอบคุณมิตรภาพระหว่างทาง ที่คอยช่วยเหลือเพื่อนร่วมทางด้วยกัน หวังว่าพวกเราจะได้พบกันใหม่ทริปหน้านะ


ปล 1 เราแนะนำให้จ้างลูกหาบนะ
ปล 2 รองเท้าถ้าให้ดีแนะนำเป็นรองเท้าวิ่งจะได้ลงน้ำหนักได้ง่าย และอย่าลืมใส่ถุงเท้าด้วยนะไม่งั้นมันจะกัดเอา
ปล 3 แนะนำให้เช่าผ้าห่มผืนใหญ่ เพราะผืนเล็กเอาไม่อยู่ค่าาาา
ปล 4 หมูกระทะ ไข่กระทะ ข้าวจี่นี้ห้ามพลาดเลยนะ
ปล 5 บนภูกระดึง มีคู่รักเยอะมากกก คนโสดโปรดทำใจ
ปล 6 ระหว่างทางเจอคนหล่อมากกกกกก แต่ตอนนั้นเหนื่อยมาก จึงมองผ่านๆ5555
สรุปค่าใช้จ่าย
-DAY1
ค่ารถเมล์มาหมอชิต6.50
ค่ารถทัวร์(ขาไป-ขากลับ) 402+347=749
>755.5
-DAY2
ค่ารถเหมา30
ค่าเต๊นท์225
ค่าแผ่นรองนอน(20*2คืน)+ผ้าห่มผืนเล็ก(30*2คืน)=100
ค่าขนม7-11 =76
ค่าอาหารระหว่างขึ้น =30
ค่าอาหาร 90+เครป40=130
ค่าข้าวจี่10+10 มาม่า30+ไข่ต้ม10+ข้าว30=90
ค่าโปสการ์ด5+ค่าแสตมป์5=10
>681
-DAY3
ค่าข้าว60+ขนมปัง30+น้ำเปล่า25=115
ค่าผ้าห่ม50(เราเช่าเพิ่ม เพราะผืนเล็กมันไม่อุ่นพอ)
ค่าขนมกลางวัน40+10=50
ค่าเฉาก๊วยนมสด30
ค่าข้าวจี่10+10=20
ค่าน้ำบ๊วย40
ค่าหมูกระทะ155
ค่าน้ำ25
>485
-DAY4
ค่าสังขยา10
ค่าโจ๊ก60+ข้าวจี่20=80
น้ำแข็งใส20+น้ำ10+ข้าวเหนียว10=40
ค่าโกโก้40+ขนม10=50
ค่าข้าวตอนลงภู80
ค่ารถแดง30
ค่าผลไม้20
ค่าน้ำ10
>320
รวม2,241บาท/คน โดยประมาณ
หลายคนอาจจะคิดว่าทำไมแพงจัง แต่จริงๆแล้วมันเยอะแค่ค่ากิน พวกเรากินเยอะมาก55555 ดังนั้นค่าใช้จ่ายจะเยอะหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนอาหารที่ทานกัน
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ

[CR] "ภู ก ร ะ ดึ ง" ใครว่าฟินแค่ "ธ ร ร ม ช า ติ"
เนื่องจากตอนปิดเทอมช่วงต้นเดือนมกราคม เรากับเพื่อนได้มีโอกาสไปเที่ยว ' ภูกระดึง ' กัน จึงอยากมาแชร์ประสบการณ์ดีดีให้ฟัง :>
เริ่มกันเลยยยย
Day1
เราออกเดินทางกัน วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2559 โดยใช้บริการของ บขส. กรุงเทพ-เชียงคาน รอบ 21.30 น. แต่เราเราต้องบอกเจ้าหน้าที่ว่าลงที่ผานกเค้า ราคาประมาณ 370 บาทค่ะ (ถ้าจองผ่านออนไลน์จะเสียค่าประกันเดินทาง และค่าธรรมเนียม)
DAY2
เราเดินทางถึงผานกเค้าประมาณ ตี5 ซึ่งรถจะจอดหน้าร้านเจ๊กิม ที่ร้านถ้าใครหิวสามารถทานข้าวก่อนได้เลย รวมถึงล้างหน้าแปรงฟัน ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย
(ภาพนี้เราถ่ายตอนขากลับ)
จากนั้นเวลาเกือบ6โมงเช้า จะมีรถแดงจอดรอเพื่อไปภูกระดึง ทุกคันจะคิด300บาท ถ้าเรารวมกันได้10คนก็จะจ่ายแค่30บาทเท่านั้น ระหว่างทางที่ไปนั้นอากาศหนาว และลมแรงมาก มีบางคนใส่ขาสั้น เรานี่หนาวแทนเลย555
ใช้เวลาประมาณ20นาที ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง โดยจะเปิดทำการตอน7โมง สำหรับใครที่จองเต๊นท์ผ่านออนไลน์มาแล้วสามารถยื่นใบเสร็จได้เลย และต้องซื้อตั๋วเข้าอุทยานราคาผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
ได้เวลาอันสมควร ขึ้นภูกันนน
เราออกเดินทาง ตอน7.43 น.ระยะทางขึ้นภูกระดึงประมาณ 8-9กิโลเมตรที่ยาวนานมากๆ5555 เรากับเพื่อนฟิตมากไม่คิดว่าทางจะชันขนาดนี้ เลยไม่จ้างลูกหาบ แต่เราแนะนำให้ทุกคนจ้างนะ กิโลละ30บาท จะได้ไม่บ่นตลอดทางแบบพวกเรา
ทางขึ้นจากเชิงเขาไปหลังแปนั้นมีทั้งทางราบและทางชัน โดยเฉพาะช่วงจากซำแคร่ถึงหลังแปนั้นชันมากกก มากแบบนี่คิดอะไรอยู่ถึงมาที่นี่ ตอนนั้นอยากโยนกระเป๋าทิ้งมาก ระหว่างจุดพักแต่ละซำนั้นมีร้านอาหารให้ทาน พวกเราทานทั้งน้ำแข็งใส ข้าวจี่ เฉาก๊วยนมสด ไอศกรีมมะพร้าว นาทีนั้นรู้สึกว่าทุกอย่างอร่อยหมด555
ระหว่างทางทุลักทุเลมาก แต่ในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึง!!!! ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ4ชั่วโมง แต่ว่าต้องเดินไปจุดกางเตนท์อีก3กิโล........ พวกเราจึงขอนั่งพักกันก่อน ระหว่างเดินไปที่พักความรู้สึกเหมือนมาเดินทางไกลเนตรนารีเลย มองไม่เห็นปลายทางสักที ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงจุดกางเต๊นท์ พวกเราเข้ามาติดต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อเช่าหมอนกับผ้าห่ม ขอแนะนำให้เช่าผ้าห่มผืนใหญ่ และแผ่นรองนอน เพราะตอนกลางคืนหนาวมากกกกก
จากนั้นก็เข้าไปเก็บสัมภาระในเต๊นท์ เราสามารถเลือกเต๊นท์ไหนก็ได้ตามใจชอบเลย (เพราะว่าตอนเราไปเป็นช่วงคนน้อย)
ตอนเที่ยง พวกเราออกไปหาข้าวกินกัน แม่ค้าทุกร้านใจดีและน่ารักมากๆ สามารถขอชาร์จแบตโทรศัพท์ได้ด้วยนะคะ ราคาข้าวประมาณจาน
ละ 60 บาท ถือว่าไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับต้องจ้างลูกหาบแบกวัตถุดิบ และถังแก๊สขึ้นมา
เจอกวางตัวน้อยกำลังกินข้าว
เป้าหมายของเราวันนี้คือดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก โดยจะออกจากจุดกางเต๊นท์ประมาณ 4โมงเย็น ซึ่งระยะทางไปผาหมากดูกนั้นประมาณ 2 กิโลเมตร
ตอนถึงผาหมากดูกนั้นพระอาทิตย์ยังไม่ตก พวกเราจึงเดินเล่นต่อไปถึงผาจำศีล และตัดสินใจดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ เพราะเป็นลานหินกว้าง ไม่ค่อยมีคน สงบสมชื่อ เมื่อถึงตอนพระอาทิตย์ตกก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย
Day3
ตื่นมาปวดขามากกกกกTT รู้สึกได้ว่าน่องปูด5555 และหนาวมากกกก เลยตัดสินใจไม่อาบน้ำเหมือนกับคนอื่นๆบนภู สำหรับวันนี้พวกเราวางแผนไว้ว่าจะดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น สายๆเดินดูน้ำตก และดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ซึ่งมีระยะทางประมาณ9กิโลเมตร
เวลาประมาณตี5 เจ้าหน้าที่จะเรียกรวมตัวและเดินทางไปผานกแอ่นพร้อมกัน เนื่องจากเส้นทางนั้นมืดมาก และเกรงว่าจะมีช้างป่ามา พอถึงผานกแอ่น พวกเราก็รอพระอาทิตย์ขึ้น แต่ว่า วันนี้หมอกลงมาก มองไม่ค่อยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเลยTT
พวกเราจึงตัดสินใจกลับมาที่พัก เพื่อทานข้าวก่อนจะไปดูน้ำตก แต่แผนเปลี่ยน!!! เพราะเดินทางไปน้ำตกแรก คือ น้ำตกวังกวาง ก็เหนื่อยแล้ว เนื่องจากปวดขามาตั้งแต่เมื่อวาน ที่น้ำตกนั้นเจอใบเมเปิ้ลสีแดงเต็มไปหมด สวยมากๆ แต่น้ำไม่ค่อยมีเพราะเป็นช่วงหน้าหนาว
พอเสร็จจากน้ำตก พวกเราจึงเดินกลับไปนอนต่อที่เต๊นท์ เพราะถ้าหากเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึงผาหล่มสัก น่องนี่อาจเตะคนตายได้555 แต่ถ้าใครอยากไป ขอแนะนำให้เช่าจักรยาน โดยราคาจะประมาณ 300 บาทต่อวัน
หลังจากนอนพักที่เต๊นท์จนถึงประมาณเที่ยง พวกเราจึงเดินเลาะริมผาไปเรื่อยๆ โดยใช้เส้นทางที่ไปผาหมากดูก เดินกันจนถึงผาเหยียบเมฆ ซึ่งสมชื่อจริงๆ เพราะจะมีหินอยู่ก้อนหนึ่งที่พอเราขึ้นไปยืนนั้น เหมือนจะขึ้นไปแตะเมฆจริงๆ
จากนั้นพวกเราจึงเดินทางกลับมาที่ผาหมากดูกเพื่อดูพระอาทิตย์ตก ที่นั่นพวกเราซื้อน้ำ และอาหารทานด้วย โดยเฉพาะข้าวจี่ ฟินสุดๆ
แต่ว่า! อย่างที่บอกในตอนแรกว่าวันนี้หมอกลงมาก จึงมองไม่เห็นพระอาทิตย์ตกTT พวกเราจึงตัดสินใจกลับที่พักเพื่อไปกินหมูกะทะกันดีกว่า โดยทุกร้านนั้นจะราคาเท่ากันหมด คือชุดใหญ่500บาท แถมข้าวผัดจานใหญ่1จาน ชุดเล็กก็จะราคา300-400บาท ทายซิ พวกเราเลือกชุดไหน .... ชุดเล็กแน่นอน5555 มากันแค่2คน กินชุดใหญ่ก็เลี้ยงไม่ไหวแล้ว555 แต่ชุดเล็กนี่อิ่มมากๆ ฟินสุดๆ กินท่ามกลางลมหนาว
จากนั้นพวกเราก็เดินเล่นรอบๆ จนเจอร้านรับส่งโปสการ์ด แผ่นละ 5 บาทเท่านั้น ส่งฟรีด้วย
Day 4
วันนี้เราต้องลงจากภูกันแล้ว เมื่อคืนหนาวสุดๆ น้ำค้างลงด้วย หมอกหนากว่าเมื่อวาน ทำให้แผ่นรองนอนเปียกแบบชื้นๆ ตอนแรกเราตกใจมากคิดว่าเราฉี่แตก ตื่นมารีบลุกไปเข้าห้องน้ำเลย5555 แต่ปรากฏว่ามันชื้นเพราะน้ำค้างนี่เอง โล่งอก!
เราเริ่มเก็บสัมภาระกันแล้วเอาตั๋วขึ้นมาดูซึ่ง เราจองรถไว้รอบ21.30น. แต่ว่าในตั๋วเขียนว่า18.30น. พวกเราตกใจมากกก เข้าใจว่าเขาออกตั๋วให้เราผิด จากเดิมวางแผนไว้ว่าจะลงตอน11โมง จึงรีบไปกินข้าวแล้วเดินทางออกตอน9โมง เช้านี้เรากินไข่กระทะ อร่อยมากกกก
ระหว่างนั้นก็ถามแม่ค้าเกี่ยวกับทางลง เขาบอกว่า ง่ายกว่าทางขึ้น ใช้เวลาขึ้นหารสอง สบายยยย พวกเราเลยแบบโล่งใจขึ้นบ้าง แต่ในความเป็นจริง!!!!... ป้าหลอกเรา พวกเราใช้เวลาลง5ชั่วโมงกันทีเดียว เหมือนขาเริ่มล้า จึงก้าวได้ช้า เราจึงค่อยๆลงมากัน แวะพักทุกซำ กินเกือบทุกซำ555 พอมาถึงเชิงเขาตอนประมาณบ่าย2แล้ว จึงพัก และนั่งทานข้าวแล้วค่อยนั่งรถแดงไปร้านเจ๊กิมเพื่อขึ้นรถกลับกรุงเทพ
พวกเรารอรถถึง6โมงครึ่ง รอบรถที่จองไว้ก็ยังไม่มาซักที จึงได้พบความจริงว่า! เวลา6โมงครึ่งคือเวลาที่รถออกจากเชียงคาน และจะมาถึงที่ร้านเจ๊กิมตอน3ทุ่มครึ่ง แม่เจ้าาาาาาาา รอไปอีกเกือบ4ชั่วโมง นั่งเหงาหงอยกันเลยทีเดียว เมื่อถึงเวลารถมา พวกเราก็รีบขึ้นรถ และนอนหลับสนิทตลอดทาง ถึงกรุงเทพประมาณตี5 เป็นอันจบทริปภูกระดึงอย่างสมบูรณ์แบบ
สุดท้ายนี้ ขอบคุณเพื่อนที่ตัดสินใจมาด้วยกัน ทำให้เกิดทริปภูกระดึงนี้ ระหว่างทางมันเหนื่อยมาก แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามันคุ้มค่ามาก ทั้งธรรมชาติที่สวยงาม อากาศดีๆที่คงหาไม่ได้ที่กรุงเทพ อยากให้ทุกคนได้ลองไปนะ ครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องพิชิตภูกระดึง เราชอบช่วงเวลาตอนที่พระอาทิตย์กำลังตกมาก เหมือนเวลากำลังหยุดเดิน ขอบคุณมิตรภาพระหว่างทาง ที่คอยช่วยเหลือเพื่อนร่วมทางด้วยกัน หวังว่าพวกเราจะได้พบกันใหม่ทริปหน้านะ
ปล 1 เราแนะนำให้จ้างลูกหาบนะ
ปล 2 รองเท้าถ้าให้ดีแนะนำเป็นรองเท้าวิ่งจะได้ลงน้ำหนักได้ง่าย และอย่าลืมใส่ถุงเท้าด้วยนะไม่งั้นมันจะกัดเอา
ปล 3 แนะนำให้เช่าผ้าห่มผืนใหญ่ เพราะผืนเล็กเอาไม่อยู่ค่าาาา
ปล 4 หมูกระทะ ไข่กระทะ ข้าวจี่นี้ห้ามพลาดเลยนะ
ปล 5 บนภูกระดึง มีคู่รักเยอะมากกก คนโสดโปรดทำใจ
ปล 6 ระหว่างทางเจอคนหล่อมากกกกกก แต่ตอนนั้นเหนื่อยมาก จึงมองผ่านๆ5555
สรุปค่าใช้จ่าย
-DAY1
ค่ารถเมล์มาหมอชิต6.50
ค่ารถทัวร์(ขาไป-ขากลับ) 402+347=749
>755.5
-DAY2
ค่ารถเหมา30
ค่าเต๊นท์225
ค่าแผ่นรองนอน(20*2คืน)+ผ้าห่มผืนเล็ก(30*2คืน)=100
ค่าขนม7-11 =76
ค่าอาหารระหว่างขึ้น =30
ค่าอาหาร 90+เครป40=130
ค่าข้าวจี่10+10 มาม่า30+ไข่ต้ม10+ข้าว30=90
ค่าโปสการ์ด5+ค่าแสตมป์5=10
>681
-DAY3
ค่าข้าว60+ขนมปัง30+น้ำเปล่า25=115
ค่าผ้าห่ม50(เราเช่าเพิ่ม เพราะผืนเล็กมันไม่อุ่นพอ)
ค่าขนมกลางวัน40+10=50
ค่าเฉาก๊วยนมสด30
ค่าข้าวจี่10+10=20
ค่าน้ำบ๊วย40
ค่าหมูกระทะ155
ค่าน้ำ25
>485
-DAY4
ค่าสังขยา10
ค่าโจ๊ก60+ข้าวจี่20=80
น้ำแข็งใส20+น้ำ10+ข้าวเหนียว10=40
ค่าโกโก้40+ขนม10=50
ค่าข้าวตอนลงภู80
ค่ารถแดง30
ค่าผลไม้20
ค่าน้ำ10
>320
รวม2,241บาท/คน โดยประมาณ
หลายคนอาจจะคิดว่าทำไมแพงจัง แต่จริงๆแล้วมันเยอะแค่ค่ากิน พวกเรากินเยอะมาก55555 ดังนั้นค่าใช้จ่ายจะเยอะหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนอาหารที่ทานกัน
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ