คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
ความรู้ทั่วไปเรื่องโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานถือว่าเป็นโรคที่คนไทยป่วยกันมาก เป็นโรคยอดฮิต 1 ใน 10 ของโรคที่คุกคามคนไทยมากที่สุด พบได้ในทุกช่วงวัย และยังมีแนวโน้มที่จะมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี ทั้งนี้การเป็นโรคเบาหวานเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น อาหาร พฤติกรรมการใช้ชีวิต การออกกำลังกาย กรรมพันธุ์ เป็นต้น
เชื่อหรือไม่ว่า มีคนอีกจำนวนมากที่ป่วยด้วย โรคเบาหวาน แต่ไม่รู้ตัว ทำให้ละเลยการดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี และอาจนำไปสู่โรคอื่นๆอันเป็นภาวะแทรกซ้อน ที่รุนแรงได้ การจะรู้ว่าคุณอยู่ในข่ายเสี่ยง โรคเบาหวาน หรือไม่ เริ่มจากการทำความเข้าใจโรค นี้อย่างถูกต้อง
โรคเบาหวาน เกิดจากการทำงานของ "ฮอร์โมนอินซูลิน" (Insulin)ของร่างกายผิดปกติ ส่งผลให้ อินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆเพื่อไปใช้เป็นพลังงาน ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและเกิดการคั่งของน้ำตาลในเส้นเลือดแดงส่งผลให้อวัยวะต่างๆเสื่อม ซี่งอาการนี้จะส่งผลให้ เกิดโรคและอาการแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆได้
ประเภทของเบาหวาน
โรคเบาหวาน ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเกิดได้อย่างชัดเจน
1. เบาหวานประเภทที่ 1 (Type 1 Diabetes) เกิดจากการที่ตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินให้เพียงพอ เนื่องจากเบตาเซลล์(beta cells) ของตับอ่อนถูกทำลายด้วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึงต้องได้รับอินซูลินด้วยการฉีดหรือใช้เครื่องปั๊มอินซูลิน
2. เบาหวานประเภทที่ 2 (Type 2 Diabetes) เป็นเบาหวานที่พบเป็นส่วนใหญ่ เกิดจากการที่ตับอ่อนยังสามารถสร้างอินซูลินได้แต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ผู้ป่วยต้องมีการควบคุมอาหาร การใช้ยาชนิดกินหรือใช้อินซูลินชนิดฉีด
3. เบาหวานที่เกิดระหว่างการตั้งครรภ์ หลังคลอดระดับน้ำตาลในเลือดจะกลับเป็นปกติ แต่จะมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคเบาหวาน มีรายงานได้ถึงร้อยละ 50 เมื่อติดตามต่อไป 10 ปี ถ้าไม่มีการปรับพฤติกรรมชีวิตในการลดความเสี่ยง
4. เบาหวานจากสาเหตุอื่นๆ เช่น โรคของตับอ่อน โรคทางพัรธุกรรม โรคเนื้องอกของต่อมหมวกไตที่สร้างฮอร์โมน ฯลฯ
ลักษณะของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2
ชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes)
ชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)
พบได้ประมาณร้อยละ 10 ของผู้ป่วย พบได้ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วย
พบได้ในผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี พบได้ทุกวัย
รูปร่างผอม รูปร่างอ้วน
เกิดโรคแบบเฉียบพลัน ตาพร่ามัว
ปัสสาวะบ่อย เป็นแผลหายช้า
กระหายน้ำบ่อย พบอาการชาบริเวณมือและเท้า
อยากอาหารบ่อย ติดเชื้อตามผิวหนัง ปากหรือกระเพาะปัสสาวะ
น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
มีอาการเหนื่อยหรือเพลียอ่อนแรง
เกิดภาวะคั่งสารคีโตน
โรคเบาหวานเกิดได้อย่างไร
อาจเกิดได้จากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรืออินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ (ภาวะดื้ออินซูลิน) และการการโรคเบาหวานประเภทที่ 2 มักเกิดจากความผิดปกติของ 2 ประการนี้ร่วมกัน นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการทำงานผิดปกติของ ฮอร์โมน อินคริติน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน
เมื่อทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ร่างกายของคนปกติที่ไม่ได้มีความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน จะทำการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตเป็นน้ำตาลกลูโคสและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ซึ่งฮอร์โมนจากตับอ่อน คือ อินซูลิน จะเป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย ดังนั้นถ้าตับอ่อนสร้างอินซูลินไม่ได้ หรือสร้างไม่พอ จะทำให้การทำงานไม่ดีส่งผลให้มีน้ำตาลในเลือดเหลือค้างมากและมีระดับสูงกว่าปกติ เกิดเป็นโรคเบาหวาน
อาการของโรคเบาหวานมีอะไรบ้าง
ในเบาหวานชนิดที่ 2 มักจะพบใน ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน อาการของโรคมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรืออาจไม่ปรากฏอาการเลยก็ได้ ลักษณะอาการที่พบบ่อยๆได้แก่
สายตาพร่ามัว
เป็นแผลเรื้อรัง
ปวดและชาตามมือและเท้า
มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง ปาก หรือ กระเพาะปัสสาวะบ่อยครั้ง
ปัสสาวะมาก กระหายน้ำบ่อย และมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น
คนปกติก่อนรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือด (พลาสมากลูโคส) 70-99มก./ดล. หลังรับประทานอาหารแล้ว 2 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลไม่เกิน 140 มก./ดล.
ในผู้เป็นเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลสูง (พลาสมากลูโคสในเลือดมากกว่า 180มก./ดล.) เกินความสามารถของไตที่จะกั้นมิให้น้ำตาลออกมาในปัสสาวะ จึงมีน้ำตาลออกมากับปัสสาวะมาก และดึงให้น้ำตามออกมาและก่อให้เกิดการเสียน้ำ ดังนั้นจึงก่อให้เกิดอาการเบื้องต้นคือ ปัสสาวะบ่อยและมาก คอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก
นอกจากนี้การที่ร่างกายเอาน้ำตาลกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ ร่างกายจึงสลายไขมันและกล้ามเนื้อมาใช้แทน ส่งผลให้มีอาการหิวบ่อย รับประทานจุ แต่น้ำหนักลด รู้สึกอ่อนเพลีย ฯลฯ
การดูแลรักษาเบาหวาน
โดยทั่วไปแล้ว โรคเบาหวานสามารถควบคุมได้ด้วย
การจัดตารางอาหาร
การออกกำลังกาย
ยาเบาหวานและอินซูลิน (หากจำเป็น) และ
ตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดและพบทีมผู้ให้การดูแลอย่างสม่ำเสมอ
สิ่งที่ผู้ป่วยหรือครอบครัวส่วนใหญ่เป็นกังวล เนื่องจาก โรคเบาหวานถือว่าเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด และดังที่กล่าวมา หากไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้จะส่งผลต่อโรคแทรกซ้อนต่อระบบหลอดเลือดแดงและอวัยวะ ดังนั้นทางเลือกในการอยู่ร่วมกับเบาหวานอย่างเป็นปกติสุขคือ การปรึกษาทีมผู้ให้การดูแลอย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปกับการเรียนรู้วิธีดูแลรักษาตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นอกจากนี้สิ่งที่ควรทราบคือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนระยะยาวจากเบาหวานได้ ดังนั้นผู้ป่วยและครอบครัวควรปรึกษากับทีมดูแลสุขภาพเพื่อคิดและปรับแผนการดูแลรักษาเบาหวาน โดย การออกกำลังกาย การใช้ยา การเลือกรับประทานอาหาร และการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง โดยดูจากความต้องการของผู้ป่วยเบาหวานแต่ละรายเป็นหลัก เพื่อนำไปสู่สุขภาพที่ดี
แล้วการคุมเบาหวาน หรือ การคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำคัญกับผู้ป่วยอย่างไร
จากการศึกษาเกี่ยวกับโรคเบาหวานครั้งใหญ่ที่สุด UKPDS (United Kingdom Prospective Diabetes Study) ซึ่งใช้เวลาถึง 20 ปี ในการศึกษากับอาสาสมัครผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 กว่า 5,000 คน ณ ศูนย์การแพทย์ 23 แห่ง ในอังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือและสกอตแลนด์ ชี้ให้เห็นว่า การจัดการเบาหวานด้วยวิธีรักษาที่มีอยู่อย่างจริงจัง สามารถลดภาวะแทรกซ้อนระยะยาว ซึ่งเกิดจากเบาหวาน ชนิดที่ 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเคร่งครัด ช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคแทรกซ้อนทางตา อันเป็นผลจากเบาหวานได้ถึง 25% และโรคไตเสื่อมระยะแรกได้ถึง 33%
เห็นอย่างนี้แล้ว ทำให้เข้าใจว่าแม้โรคเบาหวานจะถือว่าเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด แต่ผู้ป่วยก็สามารถรับมือและอยู่ร่วมกับเบาหวานอย่างเป็นปกติสุข โดยเริ่มจากการปรับทัศนะและมีความตั้งใจจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตใน 4 ข้อหลัก ดังนี้
การทานอาหาร สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน คาร์โบไฮเดรตมีอิทธิพลสูงสุดต่อค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่หลังอาหาร แม้จะมีหลักการแนะแนวอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือทดแทน ก็อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อผู้ป่วยเบาหวานแต่ละคนเหมือนๆกัน ดังนั้นผู้ป่วยควรมีการจัดตารางอาหารให้สมดุล ควบคู่ไปกับการคำนวณคาร์โบไฮเดรตและการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยมีความยืดหยุ่นในการเลือกทานอาหารได้ในแต่ละวัน
การออกกำลังกาย การทำตัวแอคทีฟ กระฉับกระเฉง และออกกำลังในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการออกกำลังที่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับยาฉีดอินซูลิน นอกจากนี้ควรคำนึงถึงข้อควรระวังต่างๆเช่น การป้องกันบาดแผลที่เท้า
ยาเบาหวานและอินซูลิน ผู้ป่วยเป็นเบาหวานหลายๆท่านอาจจะไม่จำเป็นต้องรับประทานยาเบาหวานหรือฉีดอินซูลิน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการและแนวทางการรักษาจากทีมแพทย์ของผู้ป่วยแต่ละคน แต่หากได้รับการจ่ายยาจากทีมแพทย์ ผู้ป่วยจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งก็ไม่ต่างจากการวางแผนลดน้ำหนักที่เราจะหมั่นตรวจสอบน้ำหนักตัวเป็นระยะเพื่อให้รู้ว่าแผนที่ทำมาได้ผลดีหรือไม่ ผู้ป่วยเบาหวานก็เช่นกันที่ต้องตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดไม่ว่าจะจากทีมแพทย์หรือการตรวจระดับน้ำตาลด้วยตนเอง เพื่อจะทำให้คุณและทีมแพทย์ทราบว่าแผนการควบคุมเบาหวานที่ทำอยู่ได้ผลดีหรือควรจะมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่
เรื่องที่มักเข้าใจผิดของการดูแลโรคเบาหวานด้วยการตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง (2/3)
เรื่องที่มักเข้าใจผิดของการดูแลโรคเบาหวานด้วยการตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง (1/3)
เรื่องดีๆ ของผู้เป็นเบาหวานที่รู้จักตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง
“ไปตรวจตามหมอนัดทุกครั้ง ผลน้ำตาลก็ดีตลอดแล้วทำไมยังมีเบาหวานขึ้นตา ลงไตอีก”…..???
15 สมุนไพรรักษาเบาหวาน บำรุงสุขภาพก็ได้ ลดน้ำตาลก็ดีไม่เบา
โรคเบาหวาน รักษาได้ด้วยวิถีธรรมชาติ ต้อนรับสุขภาพดีและลดน้ำตาลในเลือดได้ด้วยสมุนไพรสรรพคุณเลอค่า
เรื่องใหญ่ที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าหากระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปก็เสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวานขึ้นตา หรือแม้แต่โรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นนอกจากจะรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งแล้ว ผู้ป่วยหลาย ๆ คน ก็ยังเสาะหาวิธีควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อร่างกาย ซึ่งอีกหนทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือการรับประทานสมุนไพร เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องโรคเบาหวานได้แล้วก็ยังได้ของแถมเป็นสุขภาพที่ดีอีกด้วย อย่างเช่นสมุนไพรทั้ง 15 ชนิดนี้ที่สามารถรักษาอาการของโรคเบาหวาน พร้อมพ่วงด้วยประโยชน์เพื่อสุขภาพดี ๆ อีกมากมาย
1. มะระขี้นก
มะระขี้นก สมุนไพรไทยที่ขึ้นชื่อในเรื่องการลดระดับน้ำตาลในเลือด เรียกว่าเป็นสมุนไพรที่เป็นมิตรกับผู้ป่วยโรคเบาหวานอย่างแท้จริง ด้วยเพราะสารซาแรนติน (Charatin) ในผลมะระขี้นกที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ต้านอาการของโรคเบาหวาน และช่วยเพิ่มการหลั่งของอินซูลินจากตับอ่อน เพิ่มความทนทานต่อกลูโคสของร่างกาย และช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลในเลือด
นอกจากนี้มะระขี้นกยังช่วยยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase) อันเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน ขณะที่การรับประทานมะระขี้นกเป็นประจำก็สามารถชะลอความผิดปกติของไต และความเสื่อมของเส้นประสาทในร่างกายจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงสะสมเป็นเวลานาน ไม่เพียงเท่านั้นยังชะลอการเกิดโรคต้อกระจกในผู้ป่วยเบาหวานด้วย นอกจากนี้มะระขี้นกยังมีคุณประโยชน์ดี ๆ ต่อร่างกายอีกมากมาย และสามารถนำมารับประทานได้แบบสด ๆ เป็นผักเคียงน้ำพริกได้เลย ดีแบบนี้ไม่หามาลองก็คงจะไม่ได้แล้วล่ะ
2. ตดหมูตดหมา
แม้ว่าชื่ออาจจะแปลกไปสักนิด แต่สรรพคุณในการลดระดับน้ำตาลในเลือดนั้นไม่มีบกพร่องเลยแม้แต่น้อย โดยมีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดของใบตดหมูตดหมาสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการเพิ่มการหลั่งของอินซูลินในร่างกาย อีกทั้งสมุนไพรชนิดนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกเพียบ และลดไขมันในเลือดได้ ขณะที่สรรพคุณทางยาพื้นบ้านก็ยังมีอีกไม่น้อย ไม่ว่าจะช่วยล้างพิษ แก้ท้องอืด ท้องผูก ถ่ายพยาธิ แก้อ่อนเพลีย ตกเลือด หรือแม้แต่แก้ปวดเมื่อยก็ช่วยได้เช่นกัน เป็นสมุนไพรพื้นบ้านไทยที่นำมาใช้แล้วไม่ผิดหวัง
3. อบเชย
อบเชย หรือชินนามอน (Cinnamon) เป็นสมุนไพรอีกชนิดที่มีสารสำคัญในการช่วยเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง อีกทั้งยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เกี่ยวกับโรคเบาหวานและโรคที่เกี่ยวกับระบบหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย โดยแค่เพียงโรยผงอบเชยลงในอาหารที่รับประทานก็ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้แล้วล่ะค่ะ
4. เห็ดหลินจือ
เอีกหนึ่งสุดยอดสมุนไพรจีนล้ำค่าที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยา ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในการรักษาโรคมะเร็งเท่านั้น แต่ยังมีคุณกับผู้ป่วยโรคเบาหวานอีกด้วย
โรคเบาหวานถือว่าเป็นโรคที่คนไทยป่วยกันมาก เป็นโรคยอดฮิต 1 ใน 10 ของโรคที่คุกคามคนไทยมากที่สุด พบได้ในทุกช่วงวัย และยังมีแนวโน้มที่จะมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี ทั้งนี้การเป็นโรคเบาหวานเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น อาหาร พฤติกรรมการใช้ชีวิต การออกกำลังกาย กรรมพันธุ์ เป็นต้น
เชื่อหรือไม่ว่า มีคนอีกจำนวนมากที่ป่วยด้วย โรคเบาหวาน แต่ไม่รู้ตัว ทำให้ละเลยการดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี และอาจนำไปสู่โรคอื่นๆอันเป็นภาวะแทรกซ้อน ที่รุนแรงได้ การจะรู้ว่าคุณอยู่ในข่ายเสี่ยง โรคเบาหวาน หรือไม่ เริ่มจากการทำความเข้าใจโรค นี้อย่างถูกต้อง
โรคเบาหวาน เกิดจากการทำงานของ "ฮอร์โมนอินซูลิน" (Insulin)ของร่างกายผิดปกติ ส่งผลให้ อินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆเพื่อไปใช้เป็นพลังงาน ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและเกิดการคั่งของน้ำตาลในเส้นเลือดแดงส่งผลให้อวัยวะต่างๆเสื่อม ซี่งอาการนี้จะส่งผลให้ เกิดโรคและอาการแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆได้
ประเภทของเบาหวาน
โรคเบาหวาน ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเกิดได้อย่างชัดเจน
1. เบาหวานประเภทที่ 1 (Type 1 Diabetes) เกิดจากการที่ตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินให้เพียงพอ เนื่องจากเบตาเซลล์(beta cells) ของตับอ่อนถูกทำลายด้วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึงต้องได้รับอินซูลินด้วยการฉีดหรือใช้เครื่องปั๊มอินซูลิน
2. เบาหวานประเภทที่ 2 (Type 2 Diabetes) เป็นเบาหวานที่พบเป็นส่วนใหญ่ เกิดจากการที่ตับอ่อนยังสามารถสร้างอินซูลินได้แต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ผู้ป่วยต้องมีการควบคุมอาหาร การใช้ยาชนิดกินหรือใช้อินซูลินชนิดฉีด
3. เบาหวานที่เกิดระหว่างการตั้งครรภ์ หลังคลอดระดับน้ำตาลในเลือดจะกลับเป็นปกติ แต่จะมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคเบาหวาน มีรายงานได้ถึงร้อยละ 50 เมื่อติดตามต่อไป 10 ปี ถ้าไม่มีการปรับพฤติกรรมชีวิตในการลดความเสี่ยง
4. เบาหวานจากสาเหตุอื่นๆ เช่น โรคของตับอ่อน โรคทางพัรธุกรรม โรคเนื้องอกของต่อมหมวกไตที่สร้างฮอร์โมน ฯลฯ
ลักษณะของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2
ชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes)
ชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)
พบได้ประมาณร้อยละ 10 ของผู้ป่วย พบได้ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วย
พบได้ในผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี พบได้ทุกวัย
รูปร่างผอม รูปร่างอ้วน
เกิดโรคแบบเฉียบพลัน ตาพร่ามัว
ปัสสาวะบ่อย เป็นแผลหายช้า
กระหายน้ำบ่อย พบอาการชาบริเวณมือและเท้า
อยากอาหารบ่อย ติดเชื้อตามผิวหนัง ปากหรือกระเพาะปัสสาวะ
น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
มีอาการเหนื่อยหรือเพลียอ่อนแรง
เกิดภาวะคั่งสารคีโตน
โรคเบาหวานเกิดได้อย่างไร
อาจเกิดได้จากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรืออินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ (ภาวะดื้ออินซูลิน) และการการโรคเบาหวานประเภทที่ 2 มักเกิดจากความผิดปกติของ 2 ประการนี้ร่วมกัน นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการทำงานผิดปกติของ ฮอร์โมน อินคริติน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน
เมื่อทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ร่างกายของคนปกติที่ไม่ได้มีความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน จะทำการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตเป็นน้ำตาลกลูโคสและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ซึ่งฮอร์โมนจากตับอ่อน คือ อินซูลิน จะเป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย ดังนั้นถ้าตับอ่อนสร้างอินซูลินไม่ได้ หรือสร้างไม่พอ จะทำให้การทำงานไม่ดีส่งผลให้มีน้ำตาลในเลือดเหลือค้างมากและมีระดับสูงกว่าปกติ เกิดเป็นโรคเบาหวาน
อาการของโรคเบาหวานมีอะไรบ้าง
ในเบาหวานชนิดที่ 2 มักจะพบใน ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน อาการของโรคมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรืออาจไม่ปรากฏอาการเลยก็ได้ ลักษณะอาการที่พบบ่อยๆได้แก่
สายตาพร่ามัว
เป็นแผลเรื้อรัง
ปวดและชาตามมือและเท้า
มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง ปาก หรือ กระเพาะปัสสาวะบ่อยครั้ง
ปัสสาวะมาก กระหายน้ำบ่อย และมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น
คนปกติก่อนรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือด (พลาสมากลูโคส) 70-99มก./ดล. หลังรับประทานอาหารแล้ว 2 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลไม่เกิน 140 มก./ดล.
ในผู้เป็นเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลสูง (พลาสมากลูโคสในเลือดมากกว่า 180มก./ดล.) เกินความสามารถของไตที่จะกั้นมิให้น้ำตาลออกมาในปัสสาวะ จึงมีน้ำตาลออกมากับปัสสาวะมาก และดึงให้น้ำตามออกมาและก่อให้เกิดการเสียน้ำ ดังนั้นจึงก่อให้เกิดอาการเบื้องต้นคือ ปัสสาวะบ่อยและมาก คอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก
นอกจากนี้การที่ร่างกายเอาน้ำตาลกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ ร่างกายจึงสลายไขมันและกล้ามเนื้อมาใช้แทน ส่งผลให้มีอาการหิวบ่อย รับประทานจุ แต่น้ำหนักลด รู้สึกอ่อนเพลีย ฯลฯ
การดูแลรักษาเบาหวาน
โดยทั่วไปแล้ว โรคเบาหวานสามารถควบคุมได้ด้วย
การจัดตารางอาหาร
การออกกำลังกาย
ยาเบาหวานและอินซูลิน (หากจำเป็น) และ
ตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดและพบทีมผู้ให้การดูแลอย่างสม่ำเสมอ
สิ่งที่ผู้ป่วยหรือครอบครัวส่วนใหญ่เป็นกังวล เนื่องจาก โรคเบาหวานถือว่าเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด และดังที่กล่าวมา หากไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้จะส่งผลต่อโรคแทรกซ้อนต่อระบบหลอดเลือดแดงและอวัยวะ ดังนั้นทางเลือกในการอยู่ร่วมกับเบาหวานอย่างเป็นปกติสุขคือ การปรึกษาทีมผู้ให้การดูแลอย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปกับการเรียนรู้วิธีดูแลรักษาตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นอกจากนี้สิ่งที่ควรทราบคือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนระยะยาวจากเบาหวานได้ ดังนั้นผู้ป่วยและครอบครัวควรปรึกษากับทีมดูแลสุขภาพเพื่อคิดและปรับแผนการดูแลรักษาเบาหวาน โดย การออกกำลังกาย การใช้ยา การเลือกรับประทานอาหาร และการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง โดยดูจากความต้องการของผู้ป่วยเบาหวานแต่ละรายเป็นหลัก เพื่อนำไปสู่สุขภาพที่ดี
แล้วการคุมเบาหวาน หรือ การคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำคัญกับผู้ป่วยอย่างไร
จากการศึกษาเกี่ยวกับโรคเบาหวานครั้งใหญ่ที่สุด UKPDS (United Kingdom Prospective Diabetes Study) ซึ่งใช้เวลาถึง 20 ปี ในการศึกษากับอาสาสมัครผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 กว่า 5,000 คน ณ ศูนย์การแพทย์ 23 แห่ง ในอังกฤษ ไอร์แลนด์เหนือและสกอตแลนด์ ชี้ให้เห็นว่า การจัดการเบาหวานด้วยวิธีรักษาที่มีอยู่อย่างจริงจัง สามารถลดภาวะแทรกซ้อนระยะยาว ซึ่งเกิดจากเบาหวาน ชนิดที่ 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเคร่งครัด ช่วยลดความเสี่ยง ของการเกิดโรคแทรกซ้อนทางตา อันเป็นผลจากเบาหวานได้ถึง 25% และโรคไตเสื่อมระยะแรกได้ถึง 33%
เห็นอย่างนี้แล้ว ทำให้เข้าใจว่าแม้โรคเบาหวานจะถือว่าเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด แต่ผู้ป่วยก็สามารถรับมือและอยู่ร่วมกับเบาหวานอย่างเป็นปกติสุข โดยเริ่มจากการปรับทัศนะและมีความตั้งใจจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตใน 4 ข้อหลัก ดังนี้
การทานอาหาร สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน คาร์โบไฮเดรตมีอิทธิพลสูงสุดต่อค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่หลังอาหาร แม้จะมีหลักการแนะแนวอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือทดแทน ก็อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อผู้ป่วยเบาหวานแต่ละคนเหมือนๆกัน ดังนั้นผู้ป่วยควรมีการจัดตารางอาหารให้สมดุล ควบคู่ไปกับการคำนวณคาร์โบไฮเดรตและการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยมีความยืดหยุ่นในการเลือกทานอาหารได้ในแต่ละวัน
การออกกำลังกาย การทำตัวแอคทีฟ กระฉับกระเฉง และออกกำลังในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการออกกำลังที่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับยาฉีดอินซูลิน นอกจากนี้ควรคำนึงถึงข้อควรระวังต่างๆเช่น การป้องกันบาดแผลที่เท้า
ยาเบาหวานและอินซูลิน ผู้ป่วยเป็นเบาหวานหลายๆท่านอาจจะไม่จำเป็นต้องรับประทานยาเบาหวานหรือฉีดอินซูลิน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการและแนวทางการรักษาจากทีมแพทย์ของผู้ป่วยแต่ละคน แต่หากได้รับการจ่ายยาจากทีมแพทย์ ผู้ป่วยจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งก็ไม่ต่างจากการวางแผนลดน้ำหนักที่เราจะหมั่นตรวจสอบน้ำหนักตัวเป็นระยะเพื่อให้รู้ว่าแผนที่ทำมาได้ผลดีหรือไม่ ผู้ป่วยเบาหวานก็เช่นกันที่ต้องตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดไม่ว่าจะจากทีมแพทย์หรือการตรวจระดับน้ำตาลด้วยตนเอง เพื่อจะทำให้คุณและทีมแพทย์ทราบว่าแผนการควบคุมเบาหวานที่ทำอยู่ได้ผลดีหรือควรจะมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่
เรื่องที่มักเข้าใจผิดของการดูแลโรคเบาหวานด้วยการตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง (2/3)
เรื่องที่มักเข้าใจผิดของการดูแลโรคเบาหวานด้วยการตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง (1/3)
เรื่องดีๆ ของผู้เป็นเบาหวานที่รู้จักตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง
“ไปตรวจตามหมอนัดทุกครั้ง ผลน้ำตาลก็ดีตลอดแล้วทำไมยังมีเบาหวานขึ้นตา ลงไตอีก”…..???
15 สมุนไพรรักษาเบาหวาน บำรุงสุขภาพก็ได้ ลดน้ำตาลก็ดีไม่เบา
โรคเบาหวาน รักษาได้ด้วยวิถีธรรมชาติ ต้อนรับสุขภาพดีและลดน้ำตาลในเลือดได้ด้วยสมุนไพรสรรพคุณเลอค่า
เรื่องใหญ่ที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าหากระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปก็เสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวานขึ้นตา หรือแม้แต่โรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นนอกจากจะรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งแล้ว ผู้ป่วยหลาย ๆ คน ก็ยังเสาะหาวิธีควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อร่างกาย ซึ่งอีกหนทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือการรับประทานสมุนไพร เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องโรคเบาหวานได้แล้วก็ยังได้ของแถมเป็นสุขภาพที่ดีอีกด้วย อย่างเช่นสมุนไพรทั้ง 15 ชนิดนี้ที่สามารถรักษาอาการของโรคเบาหวาน พร้อมพ่วงด้วยประโยชน์เพื่อสุขภาพดี ๆ อีกมากมาย
1. มะระขี้นก
มะระขี้นก สมุนไพรไทยที่ขึ้นชื่อในเรื่องการลดระดับน้ำตาลในเลือด เรียกว่าเป็นสมุนไพรที่เป็นมิตรกับผู้ป่วยโรคเบาหวานอย่างแท้จริง ด้วยเพราะสารซาแรนติน (Charatin) ในผลมะระขี้นกที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ต้านอาการของโรคเบาหวาน และช่วยเพิ่มการหลั่งของอินซูลินจากตับอ่อน เพิ่มความทนทานต่อกลูโคสของร่างกาย และช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลในเลือด
นอกจากนี้มะระขี้นกยังช่วยยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase) อันเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน ขณะที่การรับประทานมะระขี้นกเป็นประจำก็สามารถชะลอความผิดปกติของไต และความเสื่อมของเส้นประสาทในร่างกายจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงสะสมเป็นเวลานาน ไม่เพียงเท่านั้นยังชะลอการเกิดโรคต้อกระจกในผู้ป่วยเบาหวานด้วย นอกจากนี้มะระขี้นกยังมีคุณประโยชน์ดี ๆ ต่อร่างกายอีกมากมาย และสามารถนำมารับประทานได้แบบสด ๆ เป็นผักเคียงน้ำพริกได้เลย ดีแบบนี้ไม่หามาลองก็คงจะไม่ได้แล้วล่ะ
2. ตดหมูตดหมา
แม้ว่าชื่ออาจจะแปลกไปสักนิด แต่สรรพคุณในการลดระดับน้ำตาลในเลือดนั้นไม่มีบกพร่องเลยแม้แต่น้อย โดยมีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดของใบตดหมูตดหมาสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการเพิ่มการหลั่งของอินซูลินในร่างกาย อีกทั้งสมุนไพรชนิดนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกเพียบ และลดไขมันในเลือดได้ ขณะที่สรรพคุณทางยาพื้นบ้านก็ยังมีอีกไม่น้อย ไม่ว่าจะช่วยล้างพิษ แก้ท้องอืด ท้องผูก ถ่ายพยาธิ แก้อ่อนเพลีย ตกเลือด หรือแม้แต่แก้ปวดเมื่อยก็ช่วยได้เช่นกัน เป็นสมุนไพรพื้นบ้านไทยที่นำมาใช้แล้วไม่ผิดหวัง
3. อบเชย
อบเชย หรือชินนามอน (Cinnamon) เป็นสมุนไพรอีกชนิดที่มีสารสำคัญในการช่วยเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง อีกทั้งยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เกี่ยวกับโรคเบาหวานและโรคที่เกี่ยวกับระบบหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย โดยแค่เพียงโรยผงอบเชยลงในอาหารที่รับประทานก็ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้แล้วล่ะค่ะ
4. เห็ดหลินจือ
เอีกหนึ่งสุดยอดสมุนไพรจีนล้ำค่าที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยา ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในการรักษาโรคมะเร็งเท่านั้น แต่ยังมีคุณกับผู้ป่วยโรคเบาหวานอีกด้วย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
หลังจากที่รู้ว่าเป็น ก็ตั้งสติและยอมรับตัวเองค่ะ ว่าใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้แล้ว เราก็กินยาและทำตามคำแนะนำของคุณหมอโรงพยาบาลมาตลอดค่ะ ไปตามนัดทุกครั้ง มีหลุดเรื่องอาหารบ้าง แต่ก็พยายามกลับมาบนลู่ทางตัวเอง ออกกำลังกายอาทิตย์นึง 2-3 ครั้ง เน้นคาดิโอเป็นหลัก เพราะเป็นแล้วก็ต้องดูแล มีหาตัวช่วยเพิ่มเติมหลังๆเริ่มอินกับเรื่องสมุนไพร พืช ออร์แกนิค เพราะกินแล้วเห็นผล ตรวจวัดน้ำตาลในเลือดลดลง คุณหมอเริ่มให้ลดยา เลยเลือกกินยาต้มสมุนไพรในการักษามาเรื่อยๆ มีไปที่หาหมอและได้ยากระปุกสมุนไพรจากอวตารคลินิก มีคนแนะนำมาว่าที่นี่เค้าดังเรื่องยาสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานค่ะ มีเห็นออกรายการทีวีบ่อยและไม่ไกลบ้าน คิดว่าเชื่อถือได้เลยลองมา ผลลัพธ์พอใจค่ะ มีตัวช่วยแต่เราก็ไม่บกพร่องเรื่องอื่นนะคะ อาหารก็ยังคุมอยู่ มีซื้อเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือดมาไว้ที่บ้านเลย คอยเช็คตัวเองสม่ำเสมอ หลังๆเราจะเริ่มชินไปเอง ใช้ชีวิตได้ตามปกติเลยแค่ระวังเรื่องการกินเป็นหลัก แค่นั้นเอง
แสดงความคิดเห็น
เมื่อรู้ตัวว่าเป็นเบาหวาน ควรทำยังไงดีคะ อันดับแรก
อยากขอทราบข้อมูลจากเพื่อนๆด้วยนะคะ
ไม่อยากกินยาคะ กลัวว่าจะเป็นโรคไตเพิ่ม อยากได้วิธีรักษาที่ไม่ต้องทานยามากและโรคนี้มีสิทธิ์หายไหมคะ