มาอ่านความคิดของนักเขียนกันบ้าง
ท่อนหนึ่งจากคุณส.ศิวรักษ์
"พูดตรงไปตรงมา สมเด็จช่วงก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนะครับ ท่านเป็นคนน่ารัก ไอ้มลทินนี่เคยมีเรื่องอื้อฉาวสมัยก่อน พวกในคณะสงฆ์
เขาปิดกันเพราะแง่หนึ่ง อีกแง่หนึ่งแกก็ naive ไม่เห็นโทษของธรรมกาย เห็นไหมตอนออกมาบิณฑบาตเดินบนดอกไม้ ยังบอกนุ่มตีนดี (หัวเราะ)
ถ้าเทียบเรื่องมลทินแกก็ไม่เลวร้ายไปกว่าสมเด็จองค์อื่นๆหรอก....
ข้อสำคัญคือ ฝ่ายมหานิกายเขาต่อสู้ว่าถ้าไม่ได้แกก็กลัวฝ่ายธรรมยุติกนิกายจะมา เพราะฝ่ายธรรมยุตเป็นสังฆราชนานเต็มทีแล้ว
ตั้งแต่วัดราชบพิธ วัดมกุฎ วัดบวร มหานิกายเป็นประเดี๋ยวเดียวเอง อย่างสมเด็จเกี่ยวเป็นสังฆราชแป๊บเดียวก็ตาย....
ทีนี้เลยอยากให้มหานิกายขึ้นบ้าง มันเป็นเรื่องแบ่งพวกกันเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร ว่ากันว่าสมเด็จช่วงมีพาวเวอร์มากในมหาเถรสมาคม
ธรรมดา ก็ท่านเป็นประธานนี่ครับ พระเขาก็กลัว จะเอาเงินของพวกธรรมกายมาทำอะไรก็ได้ สามารถซื้อใครก็ได้
แต่ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์พ.ศ.2505 สมเด็จช่วงมีสิทธิอันชอบธรรมโดยสมณศักดิ์.
ก็ต้องเป็นไปตามนั้น วิษณุเขาก็ออกมาพูดแล้วว่าคสช.ไม่ขัด คนที่ยับยั้งได้คือนายกรัฐมนตรี แต่คงไม่กล้า สุดท้ายก็คงเป็นสมเด็จช่วงนั่นแหละ....
มหาเถรสมาคมนี่ก็ต้องยุบทิ้ง ยกตัวอย่างกรณีลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราชชี้ชัดว่าธัมมชโยต้องอทินนาทานปาราชิก
แล้วกรรมการมหาเถรสมาคมกลับไม่ทำตามมติสมเด็จพระสังฆราช โดยที่อ้างว่าเขาคืนเงินให้แล้ว เป็นอันหมดมลทิน.
นั่นเป็นเรื่องตะแบงพระวินัยอย่างชัดเจน แต่นี่ไม่ใช่คราวแรกที่มหาเถรสมาคมมีพฤติกรรมเช่นนี้ เช่น เมื่อคราว
กิตฺติวุฒฺโฑภิกขุสั่งรถวอลโว่เข้ามาโดยไม่ยอมเสียภาษี นี่ก็เป็นอทินนาทานปาราชิกเช่นเดียวกัน คราวนั้นมหาเถรสมาคมก็ลงมติว่าเป็นนิสสัคคีย เพื่อจบเรื่อง....
กรณีธัมมชโยก็เช่นกัน อ้างว่าได้คืนเงินคืนทองไปแล้ว ยังสามารถคงความเป็นลัชชีไว้ได้ นี่เป็นตัวอย่างแห่งความอัปลักษณ์ของกรรมการมหาเถรสมาคม....
มหาเถรสมาคมตอนนี้มันเหมือนไม้หลักปักขี้ควาย พูดกับมันไม่รู้เรื่อง แต่ละองค์ใหญ่ทั้งนั้น ยศ ช้าง ขุนนาง พระ มันหลง แถมเงินก็เยอะ.....
อ่านต่อได้ที่ :
http://www.posttoday.com/analysis/interview/410673?refer=http%3A%2F%2Fm.facebook.com
สัมภาษณ์พิเศษ "ถ้าสมเด็จช่วงขึ้นเป็นสังฆราช ธรรมกายจะเฟื่องฟู" ส.ศิวรักษ์....
ท่อนหนึ่งจากคุณส.ศิวรักษ์
"พูดตรงไปตรงมา สมเด็จช่วงก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนะครับ ท่านเป็นคนน่ารัก ไอ้มลทินนี่เคยมีเรื่องอื้อฉาวสมัยก่อน พวกในคณะสงฆ์
เขาปิดกันเพราะแง่หนึ่ง อีกแง่หนึ่งแกก็ naive ไม่เห็นโทษของธรรมกาย เห็นไหมตอนออกมาบิณฑบาตเดินบนดอกไม้ ยังบอกนุ่มตีนดี (หัวเราะ)
ถ้าเทียบเรื่องมลทินแกก็ไม่เลวร้ายไปกว่าสมเด็จองค์อื่นๆหรอก....
ข้อสำคัญคือ ฝ่ายมหานิกายเขาต่อสู้ว่าถ้าไม่ได้แกก็กลัวฝ่ายธรรมยุติกนิกายจะมา เพราะฝ่ายธรรมยุตเป็นสังฆราชนานเต็มทีแล้ว
ตั้งแต่วัดราชบพิธ วัดมกุฎ วัดบวร มหานิกายเป็นประเดี๋ยวเดียวเอง อย่างสมเด็จเกี่ยวเป็นสังฆราชแป๊บเดียวก็ตาย....
ทีนี้เลยอยากให้มหานิกายขึ้นบ้าง มันเป็นเรื่องแบ่งพวกกันเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร ว่ากันว่าสมเด็จช่วงมีพาวเวอร์มากในมหาเถรสมาคม
ธรรมดา ก็ท่านเป็นประธานนี่ครับ พระเขาก็กลัว จะเอาเงินของพวกธรรมกายมาทำอะไรก็ได้ สามารถซื้อใครก็ได้
แต่ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์พ.ศ.2505 สมเด็จช่วงมีสิทธิอันชอบธรรมโดยสมณศักดิ์.
ก็ต้องเป็นไปตามนั้น วิษณุเขาก็ออกมาพูดแล้วว่าคสช.ไม่ขัด คนที่ยับยั้งได้คือนายกรัฐมนตรี แต่คงไม่กล้า สุดท้ายก็คงเป็นสมเด็จช่วงนั่นแหละ....
มหาเถรสมาคมนี่ก็ต้องยุบทิ้ง ยกตัวอย่างกรณีลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราชชี้ชัดว่าธัมมชโยต้องอทินนาทานปาราชิก
แล้วกรรมการมหาเถรสมาคมกลับไม่ทำตามมติสมเด็จพระสังฆราช โดยที่อ้างว่าเขาคืนเงินให้แล้ว เป็นอันหมดมลทิน.
นั่นเป็นเรื่องตะแบงพระวินัยอย่างชัดเจน แต่นี่ไม่ใช่คราวแรกที่มหาเถรสมาคมมีพฤติกรรมเช่นนี้ เช่น เมื่อคราว
กิตฺติวุฒฺโฑภิกขุสั่งรถวอลโว่เข้ามาโดยไม่ยอมเสียภาษี นี่ก็เป็นอทินนาทานปาราชิกเช่นเดียวกัน คราวนั้นมหาเถรสมาคมก็ลงมติว่าเป็นนิสสัคคีย เพื่อจบเรื่อง....
กรณีธัมมชโยก็เช่นกัน อ้างว่าได้คืนเงินคืนทองไปแล้ว ยังสามารถคงความเป็นลัชชีไว้ได้ นี่เป็นตัวอย่างแห่งความอัปลักษณ์ของกรรมการมหาเถรสมาคม....
มหาเถรสมาคมตอนนี้มันเหมือนไม้หลักปักขี้ควาย พูดกับมันไม่รู้เรื่อง แต่ละองค์ใหญ่ทั้งนั้น ยศ ช้าง ขุนนาง พระ มันหลง แถมเงินก็เยอะ.....
อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/410673?refer=http%3A%2F%2Fm.facebook.com