"ธัมมชโย ไม่ผิด-ไม่ปาราชิก-เรื่องยุติแล้ว จะไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอะไรกันอีก"
นี่คือ "มติมหาเถรสมาคม" เมื่อวาน (๑๐ กุมภา ๕๙)!
โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ซึ่งเป็นวัดพี่-วัดน้องกับวัดพระธรรมกาย ทำหน้าที่ประธาน
การประชุมครั้งนี้ มส.เห็นชอบในร่างหนังสือตอบกลับ DSI ที่เคยถามเรื่องนี้ด้วย ท่านหาอ่านได้จากข่าว
ส่วนวันนี้ ผมจะนำข้อความที่คุณ Pat Hemasuk เคยโพสต์ fb ไว้เมื่อ กุมภา ๕๘ มาให้อ่านกัน แล้วท่านจะทราบว่า
คำตอบมหาเถรฯ กับสำนักพุทธ นั้น "เท็จ-จริง" คืออะไร ใช่อย่างที่ตอบ DSI หรือไม่ ขอรวบรัดให้อ่านที่คุณ Pat Hemasuk เคยโพสต์ไว้เลย
"สมเด็จพระมหาธีราจารย์" วัดชนะสงคราม เมื่อครั้งเป็นคณะใหญ่หนกลาง ท่านมีความเที่ยงตรง ผิดก็ว่าผิด-ถูกก็ว่าถูก
สิ่งที่ผมคิดถึงคือ ย้อนหลังไปเมื่อ ๑๔ ปีก่อน ที่สมเด็จฯ ท่านต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกรณีธรรมกาย
เวลานั้น ผมยังวิ่งเข้า-วิ่งออกวัดชนะฯ อยู่ไม่ต่างกับเวลานี้ แม้ผมจะยุ่งอย่างไร ก็ต้องพาพ่อของผมเข้าวัดชนะอยู่ดี เมื่อท่านออกปาก
เพราะท่านจะเข้าไปคุยเฮฮากับท่านเจ้าคุณสอง-สามรูป ที่เป็นเพื่อนสมัยบวชด้วยกันตอนวัยหนุ่ม
แล้วก็ต้องไปกราบสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ที่เมตตาทุกคนในบ้านผมตั้งแต่ทวดลงมา นับแต่สมัยที่สมเด็จฯ ยังเป็นพระมหาเปรียญหนุ่ม
เรื่องนี้ ขึ้นมายุ่งกับสมเด็จฯ ตรงที่คดีธรรมกาย ถูกโยนถึงมือท่านแบบที่ท่านก็คาดไม่ถึง โดยที่ ทั้งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค ต่างเอนเอียง เข้าข้างธรรมกาย ไม่รับคดีขึ้นฟ้อง
และดึงเรื่องแบบสุดความสามารถ จนรัฐมนตรีศึกษาที่ดูแลกรมศาสนาเวลานั้น รวบรัดว่า เรื่องนี้ ต้องถึงมหาเถรฯ เสียแล้ว และต่อมาเรื่องนี้ก็ตกมาถึงมือสมเด็จอุปัชฌายาจารย์ของผมจนได้
ผมจะปูพื้นเรื่องก่อน เพื่อให้คนไม่รู้-ได้รู้ เพราะในอนาคตถ้าหมดคนรุ่นผมไปแล้ว หลักฐานปฐมภูมิจะหมดไป
ในเวลานั้น มีคดีฟ้องของ "คุณมานพ พลไพรินทร์" ผู้เชี่ยวชาญกรมการศาสนา และ "คุณสมพร เทพสิทธา" ประธานยุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ได้ฟ้อง พระธัมมชโย และพระทัตตชีโว ในคดีละเมิดพระธรรมวินัย และละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ
ซึ่งคดีนั้น ใช้เทคนิคลากเรื่อง-ดองเรื่องจากทางวัดพระธรรมกายชนิดสุดฝีมือ
เริ่มจาก "เจ้าคณะปกครอง" มีอำนาจในการพิจารณา ได้ปัดสำนวนฟ้องทิ้ง อ้างเหตุว่า "ผู้ฟ้องไม่ได้กรอกแบบฟอร์มช่องหนึ่ง" ที่แจ้งว่า ตัวเองศาสนาอะไร?
จนทั้งสองท่าน เอาหลักฐานมาแสดงถึงยอมเดินเรื่องต่อให้ พอเรื่องเดินก็มาอีกมุก ว่าโจทย์เป็นฆราวาส ฟ้องพระไม่ได้ เจ้าคณะจังหวัดก็ไม่รับพิจารณา
โจทย์ไม่มีทางเลือก เลยไปฟ้องต่อเจ้าคณะภาคเสียเลย แต่เจ้าคณะภาคก็ตัดสินว่า "ฆราวาสไม่มีสิทธิ์ฟ้องเหมือนกัน"!
จนเรื่องถึงรัฐมนตรีศึกษา ทำเรื่องให้มหาเถรฯ พิจารณาซะเลย คราวนี้มหาเถรฯ บอกว่า "ทำไมจะฟ้องไม่ได้"
"อย่างนี้ จะพระ

อย่างไร ชาวบ้านก็ต้องทนหรืออย่างไร"?
คำนี้ ผมเอามาจากท่านสมเด็จพระมหาธีราจารย์ นั่งตบเข่า เล่าให้พ่อผมฟังเมื่อ ๑๔ ปีที่แล้ว ผมนั่งอยู่ด้วย ได้แต่อมยิ้มอยู่ข้างเสากุฏิ
ตามปกติ สมเด็จฯ ท่านจะพูดจาระวังคำพูด แต่กับคนใกล้ชิดแบบพ่อผม ท่านปลดเบรกพูดแบบสบายปากได้
พอมหาเถรฯ มีมติว่าฆราวาสฟ้องได้ แล้วให้เจ้าคณะภาคสั่งการให้เจ้าคณะจังหวัดรับฟ้องตามขั้นตอน แต่เจ้าคณะจังหวัดก็แจ้งไปยังเจ้าคณะภาคว่า
"มติเจ้าคณะภาคที่ว่าฆราวาสฟ้องไม่ได้ มีมาก่อนมติมหาเถรฯ" จะยังถือมติเดิมอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง!
ทุกคนก็รู้ ทั้งคณะภาค คณะจังหวัด ดึงเกมแบบรู้กัน ทางกระทรวงฯ เลยต้องเอาเรื่องเข้ามหาเถรฯ อีกรอบว่า "เจ้าคณะทั้งสองไม่ทำตามมติมหาเถรฯ สั่งการ"
มหาเถรฯ จึงสั่งเจ้าคณะภาคอีกรอบ คราวนี้ เจ้าคณะภาคบอก "จะรีบทำตามมติเร่งรัดคดี"
แต่ก็ดึงไปเรื่อยๆ จนมหาเถรฯ ครั้งนั้น ต้องแต่งตั้งให้ "สมเด็จพระมหาธีราจารย์" เข้ามากำกับดูแล
สมเด็จฯ ให้ส่งรายงานมาทั้งหมด แต่เจ้าคณะภาคก็ดึงเรื่อง ขอเวลาอีกเป็นเดือนๆ แล้วส่งมาแบบเขียนใส่ตั๋วรถเมล์สั้นๆ เท่านั้น
สมเด็จฯ ด่าเปิงกลับไป เพราะนิสัยของท่านตรงเป็นไม้บรรทัด แล้วสั่งให้ส่งรายงานแบบเต็มยศมาด่วน พอรายงานมาถึงมือ ท่านก็บอกว่า
"แบบนี้ชัดเจนว่าเจ้าคณะภาคขัดคำสั่งมหาเถรฯ ท่านจะว่าอย่างไร?"
คราวนี้เจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัด วิ่งไปพึ่งบารมีสมเด็จวัดสระเกศให้มาช่วย เพราะรู้กันว่า วัดสระเกศแบ็กอัพสายนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว สมเด็จวัดสระเกศบอกว่า ต้องส่งให้กฤษฎีกาตีความ "ฟ้องได้หรือไม่"?
แต่สมเด็จวัดชนะ ท่านซัดเข้าไปดอกใหญ่ในที่ประชุมมหาเถรฯ แบบไม่ไว้หน้า "เรื่องของพระ ส่งไปให้บ้านเมืองพิจารณาได้อย่างไร?"
เคยส่งไปแล้ว ก็โดนตีกลับมาทุกครั้ง ว่าเรื่องของพระก็ให้มหาเถรฯ จัดการกันเอง คนนอกวัดไม่อยากยุ่งด้วย เพราะเรื่องแบบนี้มีพระวินัยกำกับอยู่แล้ว คนไม่ใช่พระ จะมาชี้เรื่องพระวินัยได้อย่างไร?
สมเด็จวัดสระเกศ เจออัดเข้าจังๆ ถึงกับถอยกรูด เพราะรู้ว่า สมเด็จวัดชนะฯ ตรงเป็นไม้บรรทัด
ก็ดันเรื่องเข้ามหาเถรฯ ทันที แต่ก็โดนดึงต่อไปอีก หลังจากฝั่งสนับสนุนวัดธรรมกายตั้งขบวนกันติด และล็อบบี้กรรมการมหาเถรฯ บางรูปสำเร็จ
โดยให้เลื่อนการพิจารณาออกไป อ้างว่าบางรูปยังอ่านเอกสารไม่จบ ก็ดึงกันไปเรื่อยๆ อีกนานข้ามปี
จนที่สุด "สมเด็จพระญาณสังวร" พระสังฆราช ทรงทนไม่ไหว มีพระลิขิตออกมาฉบับแรกว่า
“การโกงสมบัติผู้อื่น ตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง ๓๐๐ บาทในปัจจุบัน ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ฐานผิดพระธรรมวินัย พ้นจากความเป็นพระทันที
ในกรณีนี้ ไม่ว่าจะมีผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะสั่งให้สึก ไม่ว่าจะจับสึก หรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยทันที”
พอมีพระลิขิตออกมา...วงแตก มหาเถรฯ ให้ติดตามว่าวัดธรรมกายมีปฏิกิริยาอย่างไรกับพระลิขิต แต่วัดธรรมกายก็ยังเฉย
สมเด็จพระสังฆราช ก็ทรงออกพระลิขิตเป็นฉบับที่ ๒-๓ จนฉบับที่ ๔ สุดท้ายออกมา
พระสังฆราชถูกกลุ่มสนับสนุนวัดธรรมกายขู่ปองร้าย ครม.ต้องมีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งตำรวจมาอารักขา
และเร่งให้สนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยด่วน "นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล" รมว.ศึกษาเวลานั้น เข้านมัสการสมเด็จวัดชนะฯ แจ้งว่า
จะนำคดีสู่ศาลอาญาทางโลก จะให้พระเป็นโจทก์ในคดีกฎนิคหกรรม ดำเนินการทางสงฆ์ เร่งให้ ธัมมชโยโอนที่ดินและทรัพย์ส่วนนี้กลับเข้าวัด
แต่ก็ได้รับคำตอบจากวัดธรรมกายว่า ให้การพิจารณาของมหาเถรฯ จบก่อน ว่าผิดจริงถึงจะโอนให้!
มหาเถรฯ ก็เตะถ่วง โดยเอาเรื่องอื่นๆ เข้าประชุม แทนที่จะรีบพิจารณาเรื่องที่นายมานพและนายสมพร ฟ้องในคดีกฎนิคหกรรม
คราวนี้ ประชาชนออกมาต่อต้านมหาเถรฯ กดดันให้มหาเถรฯ จัดการตามพระลิขิต
ในขั้นสอบสวนทางโลก ธัมมชโยเข้ามอบตัวและประกันตัวไป มหาเถรฯ ก็ยังเตะถ่วงเรื่อยๆ จนตำรวจส่งสำนวนให้อัยการฟ้องต่อศาล
ต่อมา สมเด็จฯ ได้กดดันที่ประชุมมหาเถรฯ ให้เจ้าคณะภาคสั่งอายัดเงินฝากวัดธรรมกาย
แต่ธรรมกายสู้ แจ้งว่า "อธิกรณ์ถึงที่สุดตามที่เจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัดไม่รับฟ้องเมื่อหลายปีก่อนไปแล้ว" จึงไม่ทำตาม
เพื่อลดความกดดัน ธัมมชโยยอมลาออกจากเจ้าอาวาส ให้ทัตตชีโว ขึ้นแทน แล้วใช้วิธีดึงคดีไปเรื่อยๆ โดยแจ้งว่าป่วย
จนที่สุด ยอมโอนที่ดินและทรัพย์สินกลับคืนวัด แล้ว "อัยการสั่งไม่ฟ้อง" โดยให้เหตุผลว่า
"ธัมมชโยกับพวก มอบทรัพย์สินซึ่งมีที่ดินและเงิน ๙๕๙ ล้านบาทคืนวัดพระธรรมกายแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของพระสังฆราชครบถ้วนทุกประการแล้ว อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้"
มหาเถรฯ ถือโอกาสรีบปิดคดีเช่นกัน.....
โดยไม่สอบสวนคดีกฎนิคหกรรมต่อ เหมือนทุกอย่างรีเซตตัวเองจบไปแล้ว โดยไม่คำนึงถึงพระลิขิตที่ทรงพิจารณาให้ ธัมมชโย สิ้นสภาพความเป็นพระไปก่อนหน้านั้น.
จาก
http://www.thaipost.net/?q=%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%88-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B9%82%E0%B8%A2
'ข้อเท็จ-ข้อจริง' คดีธัมมชโย
นี่คือ "มติมหาเถรสมาคม" เมื่อวาน (๑๐ กุมภา ๕๙)!
โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ซึ่งเป็นวัดพี่-วัดน้องกับวัดพระธรรมกาย ทำหน้าที่ประธาน
การประชุมครั้งนี้ มส.เห็นชอบในร่างหนังสือตอบกลับ DSI ที่เคยถามเรื่องนี้ด้วย ท่านหาอ่านได้จากข่าว
ส่วนวันนี้ ผมจะนำข้อความที่คุณ Pat Hemasuk เคยโพสต์ fb ไว้เมื่อ กุมภา ๕๘ มาให้อ่านกัน แล้วท่านจะทราบว่า
คำตอบมหาเถรฯ กับสำนักพุทธ นั้น "เท็จ-จริง" คืออะไร ใช่อย่างที่ตอบ DSI หรือไม่ ขอรวบรัดให้อ่านที่คุณ Pat Hemasuk เคยโพสต์ไว้เลย
"สมเด็จพระมหาธีราจารย์" วัดชนะสงคราม เมื่อครั้งเป็นคณะใหญ่หนกลาง ท่านมีความเที่ยงตรง ผิดก็ว่าผิด-ถูกก็ว่าถูก
สิ่งที่ผมคิดถึงคือ ย้อนหลังไปเมื่อ ๑๔ ปีก่อน ที่สมเด็จฯ ท่านต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกรณีธรรมกาย
เวลานั้น ผมยังวิ่งเข้า-วิ่งออกวัดชนะฯ อยู่ไม่ต่างกับเวลานี้ แม้ผมจะยุ่งอย่างไร ก็ต้องพาพ่อของผมเข้าวัดชนะอยู่ดี เมื่อท่านออกปาก
เพราะท่านจะเข้าไปคุยเฮฮากับท่านเจ้าคุณสอง-สามรูป ที่เป็นเพื่อนสมัยบวชด้วยกันตอนวัยหนุ่ม
แล้วก็ต้องไปกราบสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ที่เมตตาทุกคนในบ้านผมตั้งแต่ทวดลงมา นับแต่สมัยที่สมเด็จฯ ยังเป็นพระมหาเปรียญหนุ่ม
เรื่องนี้ ขึ้นมายุ่งกับสมเด็จฯ ตรงที่คดีธรรมกาย ถูกโยนถึงมือท่านแบบที่ท่านก็คาดไม่ถึง โดยที่ ทั้งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค ต่างเอนเอียง เข้าข้างธรรมกาย ไม่รับคดีขึ้นฟ้อง
และดึงเรื่องแบบสุดความสามารถ จนรัฐมนตรีศึกษาที่ดูแลกรมศาสนาเวลานั้น รวบรัดว่า เรื่องนี้ ต้องถึงมหาเถรฯ เสียแล้ว และต่อมาเรื่องนี้ก็ตกมาถึงมือสมเด็จอุปัชฌายาจารย์ของผมจนได้
ผมจะปูพื้นเรื่องก่อน เพื่อให้คนไม่รู้-ได้รู้ เพราะในอนาคตถ้าหมดคนรุ่นผมไปแล้ว หลักฐานปฐมภูมิจะหมดไป
ในเวลานั้น มีคดีฟ้องของ "คุณมานพ พลไพรินทร์" ผู้เชี่ยวชาญกรมการศาสนา และ "คุณสมพร เทพสิทธา" ประธานยุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ได้ฟ้อง พระธัมมชโย และพระทัตตชีโว ในคดีละเมิดพระธรรมวินัย และละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ
ซึ่งคดีนั้น ใช้เทคนิคลากเรื่อง-ดองเรื่องจากทางวัดพระธรรมกายชนิดสุดฝีมือ
เริ่มจาก "เจ้าคณะปกครอง" มีอำนาจในการพิจารณา ได้ปัดสำนวนฟ้องทิ้ง อ้างเหตุว่า "ผู้ฟ้องไม่ได้กรอกแบบฟอร์มช่องหนึ่ง" ที่แจ้งว่า ตัวเองศาสนาอะไร?
จนทั้งสองท่าน เอาหลักฐานมาแสดงถึงยอมเดินเรื่องต่อให้ พอเรื่องเดินก็มาอีกมุก ว่าโจทย์เป็นฆราวาส ฟ้องพระไม่ได้ เจ้าคณะจังหวัดก็ไม่รับพิจารณา
โจทย์ไม่มีทางเลือก เลยไปฟ้องต่อเจ้าคณะภาคเสียเลย แต่เจ้าคณะภาคก็ตัดสินว่า "ฆราวาสไม่มีสิทธิ์ฟ้องเหมือนกัน"!
จนเรื่องถึงรัฐมนตรีศึกษา ทำเรื่องให้มหาเถรฯ พิจารณาซะเลย คราวนี้มหาเถรฯ บอกว่า "ทำไมจะฟ้องไม่ได้"
"อย่างนี้ จะพระ
คำนี้ ผมเอามาจากท่านสมเด็จพระมหาธีราจารย์ นั่งตบเข่า เล่าให้พ่อผมฟังเมื่อ ๑๔ ปีที่แล้ว ผมนั่งอยู่ด้วย ได้แต่อมยิ้มอยู่ข้างเสากุฏิ
ตามปกติ สมเด็จฯ ท่านจะพูดจาระวังคำพูด แต่กับคนใกล้ชิดแบบพ่อผม ท่านปลดเบรกพูดแบบสบายปากได้
พอมหาเถรฯ มีมติว่าฆราวาสฟ้องได้ แล้วให้เจ้าคณะภาคสั่งการให้เจ้าคณะจังหวัดรับฟ้องตามขั้นตอน แต่เจ้าคณะจังหวัดก็แจ้งไปยังเจ้าคณะภาคว่า
"มติเจ้าคณะภาคที่ว่าฆราวาสฟ้องไม่ได้ มีมาก่อนมติมหาเถรฯ" จะยังถือมติเดิมอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง!
ทุกคนก็รู้ ทั้งคณะภาค คณะจังหวัด ดึงเกมแบบรู้กัน ทางกระทรวงฯ เลยต้องเอาเรื่องเข้ามหาเถรฯ อีกรอบว่า "เจ้าคณะทั้งสองไม่ทำตามมติมหาเถรฯ สั่งการ"
มหาเถรฯ จึงสั่งเจ้าคณะภาคอีกรอบ คราวนี้ เจ้าคณะภาคบอก "จะรีบทำตามมติเร่งรัดคดี"
แต่ก็ดึงไปเรื่อยๆ จนมหาเถรฯ ครั้งนั้น ต้องแต่งตั้งให้ "สมเด็จพระมหาธีราจารย์" เข้ามากำกับดูแล
สมเด็จฯ ให้ส่งรายงานมาทั้งหมด แต่เจ้าคณะภาคก็ดึงเรื่อง ขอเวลาอีกเป็นเดือนๆ แล้วส่งมาแบบเขียนใส่ตั๋วรถเมล์สั้นๆ เท่านั้น
สมเด็จฯ ด่าเปิงกลับไป เพราะนิสัยของท่านตรงเป็นไม้บรรทัด แล้วสั่งให้ส่งรายงานแบบเต็มยศมาด่วน พอรายงานมาถึงมือ ท่านก็บอกว่า
"แบบนี้ชัดเจนว่าเจ้าคณะภาคขัดคำสั่งมหาเถรฯ ท่านจะว่าอย่างไร?"
คราวนี้เจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัด วิ่งไปพึ่งบารมีสมเด็จวัดสระเกศให้มาช่วย เพราะรู้กันว่า วัดสระเกศแบ็กอัพสายนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว สมเด็จวัดสระเกศบอกว่า ต้องส่งให้กฤษฎีกาตีความ "ฟ้องได้หรือไม่"?
แต่สมเด็จวัดชนะ ท่านซัดเข้าไปดอกใหญ่ในที่ประชุมมหาเถรฯ แบบไม่ไว้หน้า "เรื่องของพระ ส่งไปให้บ้านเมืองพิจารณาได้อย่างไร?"
เคยส่งไปแล้ว ก็โดนตีกลับมาทุกครั้ง ว่าเรื่องของพระก็ให้มหาเถรฯ จัดการกันเอง คนนอกวัดไม่อยากยุ่งด้วย เพราะเรื่องแบบนี้มีพระวินัยกำกับอยู่แล้ว คนไม่ใช่พระ จะมาชี้เรื่องพระวินัยได้อย่างไร?
สมเด็จวัดสระเกศ เจออัดเข้าจังๆ ถึงกับถอยกรูด เพราะรู้ว่า สมเด็จวัดชนะฯ ตรงเป็นไม้บรรทัด
ก็ดันเรื่องเข้ามหาเถรฯ ทันที แต่ก็โดนดึงต่อไปอีก หลังจากฝั่งสนับสนุนวัดธรรมกายตั้งขบวนกันติด และล็อบบี้กรรมการมหาเถรฯ บางรูปสำเร็จ
โดยให้เลื่อนการพิจารณาออกไป อ้างว่าบางรูปยังอ่านเอกสารไม่จบ ก็ดึงกันไปเรื่อยๆ อีกนานข้ามปี
จนที่สุด "สมเด็จพระญาณสังวร" พระสังฆราช ทรงทนไม่ไหว มีพระลิขิตออกมาฉบับแรกว่า
“การโกงสมบัติผู้อื่น ตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง ๓๐๐ บาทในปัจจุบัน ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ฐานผิดพระธรรมวินัย พ้นจากความเป็นพระทันที
ในกรณีนี้ ไม่ว่าจะมีผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะสั่งให้สึก ไม่ว่าจะจับสึก หรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยทันที”
พอมีพระลิขิตออกมา...วงแตก มหาเถรฯ ให้ติดตามว่าวัดธรรมกายมีปฏิกิริยาอย่างไรกับพระลิขิต แต่วัดธรรมกายก็ยังเฉย
สมเด็จพระสังฆราช ก็ทรงออกพระลิขิตเป็นฉบับที่ ๒-๓ จนฉบับที่ ๔ สุดท้ายออกมา
พระสังฆราชถูกกลุ่มสนับสนุนวัดธรรมกายขู่ปองร้าย ครม.ต้องมีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งตำรวจมาอารักขา
และเร่งให้สนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยด่วน "นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล" รมว.ศึกษาเวลานั้น เข้านมัสการสมเด็จวัดชนะฯ แจ้งว่า
จะนำคดีสู่ศาลอาญาทางโลก จะให้พระเป็นโจทก์ในคดีกฎนิคหกรรม ดำเนินการทางสงฆ์ เร่งให้ ธัมมชโยโอนที่ดินและทรัพย์ส่วนนี้กลับเข้าวัด
แต่ก็ได้รับคำตอบจากวัดธรรมกายว่า ให้การพิจารณาของมหาเถรฯ จบก่อน ว่าผิดจริงถึงจะโอนให้!
มหาเถรฯ ก็เตะถ่วง โดยเอาเรื่องอื่นๆ เข้าประชุม แทนที่จะรีบพิจารณาเรื่องที่นายมานพและนายสมพร ฟ้องในคดีกฎนิคหกรรม
คราวนี้ ประชาชนออกมาต่อต้านมหาเถรฯ กดดันให้มหาเถรฯ จัดการตามพระลิขิต
ในขั้นสอบสวนทางโลก ธัมมชโยเข้ามอบตัวและประกันตัวไป มหาเถรฯ ก็ยังเตะถ่วงเรื่อยๆ จนตำรวจส่งสำนวนให้อัยการฟ้องต่อศาล
ต่อมา สมเด็จฯ ได้กดดันที่ประชุมมหาเถรฯ ให้เจ้าคณะภาคสั่งอายัดเงินฝากวัดธรรมกาย
แต่ธรรมกายสู้ แจ้งว่า "อธิกรณ์ถึงที่สุดตามที่เจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัดไม่รับฟ้องเมื่อหลายปีก่อนไปแล้ว" จึงไม่ทำตาม
เพื่อลดความกดดัน ธัมมชโยยอมลาออกจากเจ้าอาวาส ให้ทัตตชีโว ขึ้นแทน แล้วใช้วิธีดึงคดีไปเรื่อยๆ โดยแจ้งว่าป่วย
จนที่สุด ยอมโอนที่ดินและทรัพย์สินกลับคืนวัด แล้ว "อัยการสั่งไม่ฟ้อง" โดยให้เหตุผลว่า
"ธัมมชโยกับพวก มอบทรัพย์สินซึ่งมีที่ดินและเงิน ๙๕๙ ล้านบาทคืนวัดพระธรรมกายแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของพระสังฆราชครบถ้วนทุกประการแล้ว อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้"
มหาเถรฯ ถือโอกาสรีบปิดคดีเช่นกัน.....
โดยไม่สอบสวนคดีกฎนิคหกรรมต่อ เหมือนทุกอย่างรีเซตตัวเองจบไปแล้ว โดยไม่คำนึงถึงพระลิขิตที่ทรงพิจารณาให้ ธัมมชโย สิ้นสภาพความเป็นพระไปก่อนหน้านั้น.
จาก http://www.thaipost.net/?q=%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%88-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B9%82%E0%B8%A2