# เที่ยวกับเดอะแก๊ง ความสนุกล้นปรี่ เงินน้อย หลงเยอะ 6 วัน ณ โตเกียว #

สวัสดีคะ วันนี้จะมารีวิวทริปที่เพิ่งเกิดขึ้น ของจขกท.กับเดอะแก๊ง แก๊งของเราเป็นการรวมตัวสาวออฟฟิต 8 คน ซึ่งต่างอายุ ต่างความชอบ แต่เคมีตรงกัน นี่ไม่ใช่ทริปแรกของพวกเราแต่ดันเป็นทริปใหญ่สุดที่พวกเราเคยทำนี่สิคะ แถมดูท่าว่างบจะบานปลายสะด้วย ด้วยความที่ จขกท.รับอาสาวางแพลนทริปนี้ การหาข้อมูลครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น

เราตกลงกันว่าจะเดินทางในช่วงระหว่างวันที่ 4-10 ธันวาคม 2558 เมื่อตกลงกันได้ดังนั้นปฎิบัติการตามล่าตั๋วเครื่องบินราคาถูกก็เริ่มขึ้น จขกท.ก็หาตามเว็บที่กระทู้ในนี้แนะนำแหละคะ เพิ่มเติมอีกนิดตรงที่ลิสรายชื่อสายการบินไว้ด้วย พร้อมเข้าไปเช็คในเว็บของสายการบินนั้นโดยตรงอีกทางหนึ่ง ปิดท้ายด้วยการหารีวิวของคนที่เคยไปสายการบินนั้นมาก่อน ดูหลายขั้นตอนใช่ไหมคะ แต่ทำไงได้หละค่าตั๋วเครื่องบินเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่ตัดสินยอดเงินรวมของทั้งทริปได้เลย สุดท้ายเราเลือกจะเดินทางกับเวียดนามแอร์ไลน์คะ แต่มันต้องต่อเครื่องไม่ใช่เหรอ ใช่คะ จขกท.ไม่เคยต่อเครื่องมาก่อน คิดแค่ว่ามันต้องสนุกแน่ๆ ได้ต่อเครื่องกับเพื่อน (โลกสวยจริงๆเลย) แถมทั้งขาไปและขากลับต่อคนละสนามบินอีก นั่นไงกำไรชัดๆ ได้ไปตั้ง 2 สนามบิน อันนี้เป็นภาพที่วาดไว้ตอนวางแผน แต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่เหมือนที่วาดไว้เท่าไหร่หรอกนะคะ เพราะมันเหนื่อยกว่าที่คิด จากออฟฟิตใจกลางเมืองไปสุวรรณภูมิช่วงเย็นวันศุกร์หยุดยาว เครื่องออก 19.30 ถึง โฮจิมินห์ 21.30 เพื่อรอการเดินทางอีกครั้งตอน 00.25 แต่ดีเลย์คะ กว่าจะออกจริงๆก็ ตีหนึ่งครึ่ง ช่างเป็นวันที่ยาวนานเหนื่อยและง่วงสุดๆ

สำหรับประสบการณ์ครั้งแรกกับเวียดนามแอร์ไลน์  ถ้าไม่นับแอร์ที่วิ่งบนเครื่องบิน รถเข็นที่เข็นชนผู้โดยสาร กับพี่แอร์หน้าดุสักหน่อย อย่างอื่นก็ถือว่าดีเลย ส่วนขากลับเราไปต่อที่ฮานอย การเดินทางแบบ Full Service พร้อมน้ำหนักกระเป๋า 30 กิโล กับค่าใช้จ่าย 12,485 บาท เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับเราที่สุดในการเดินทางช่วงวันหยุดยาวแบบนี้

คราวนี้มาถึงที่พักกันบ้าง เราเลือกที่พักจาก 2 ปัจจัยเป็นหลัก คือที่ตั้งและราคา เราตั้งงบสำหรับที่พักไว้ที่ 5,000 บาท / คน ทั้งทริป โดยทางเลือกแรกต้องตั้งในย่าน UENO เพราะอะไรเหรอคะ ก็เพราะในทริปที่ผ่านๆมาช่วงเวลาการลากกระเป๋าใบใหญ่เพื่อเดินหาโรงแรมหรือตอนเดินมาขึ้นรถไปสนามบินเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยที่สุด ในเมื่อ UENO มีรถไฟไปถึงสนามบินโดยตรง เราก็เลือกตรงเนี้ยแหละ โรงแรมแรกที่เลือกเดินจากสถานี UENO ไม่ไกล
Ueno New IZU Hotel ห้อง Japanese Style สำหรับ 4 คน พร้อมโปรโมชั่นราคาพิเศษสำหรับ 3 คืนขึ้นไป ตกคนละ 1,200 บาท/คน/คืน เราเลือกพักที่นี่ คืนที่ 3 ถึง คืนที่ 5 ใครที่หาที่พักแถว UENO แนะนำคะ เดินจากสถานนีไม่ไกลเลย... (ย้ำกันอีกครั้ง) แถมตรงหน้าปากซอยโรงแรมเป็นทางลงสถานีที่มีลิฟท์พอดีด้วย ถ้าเดินลากกระเป๋าใบใหญ่เรียกว่าสะดวกสุดๆ สำหรับห้องพักด้วยความเป็น Japanese Style ทางโรงแรมก็จะเตรียมฟูกพร้อมผ้าห่ม 4 ชุดพับวางไว้ให้ แต่ห้องขนาดพอดีมาก เรียกว่าพอปูฟูกทั้ง 4 พร้อมกันก็ไม่มีที่เดินแล้ว ห้องน้ำก็ใหญ่และสะดวกมาก แบ่งเป็น 3 โซน เปิดประตูเข้าไปก็จะเจอโซนอ่างล้างหน้าสำหรับแต่งตัว แปรงฟัน ล้างหน้า และมีห้องน้ำอีก 2 ห้อง ห้องสำหรับอาบน้ำที่มีอ่างอาบน้ำ พร้อมเก้าอี้นั่งอาบเล็กๆ อีกห้องเป็นห้องน้ำทำธุระส่วนตัวโดยเฉพาะ ข้อดีที่สุดของที่นี่คือใกล้แหล่งชอปปิ้ง ข้อเสียมันเกินงบไปหน่อยส่งผลต่อการเลือกโรงแรมแห่งที่ 2




ที่มา : รูปมาจากเว็บไซด์โรงแรมนะคะ http://izuhotel.co.jp/english/

แล้วคืนแรกจะนอนไหนดีน้า...สุดท้ายได้ที่ K’s House Tokyo เป็นครั้งแรกที่ จกขท.ได้พัก Hostel เป็นประสบการณ์ที่สนุกดีคะ เรานอนรวมกันทั้งแปดคนกับห้อง Mixed dormitory สำหรับ 8 คนพอดี ไม่ต่างกับ Private room ในห้องจะมีอ่างล้างหน้า กับห้องน้ำสำหรับทำธุระอย่างเดียวนะคะ ถ้าจะอาบน้ำต้องไปห้องน้ำรวม การมีห้องน้ำในตัวทำให้แก้ปัญหาที่จขกท.กังวลเรื่องห้องน้ำไม่พอกับปริมาณคนได้หมด ที่สำคัญราคาถูก คนละ 800/คืน มีลิฟท์ ขนกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นลงได้สะดวกสบายและอยู่ใกล้กับสถานี Kuramae (Oedo line) มากกกก




ที่มา  : รูปจากเว็บไซด์โรงแรมเช่นกัน http://kshouse.jp/tokyo-e/

เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมก็ออกเดินทางกันเลย

เอ๊ะ!!! แต่เดี๋ยวก่อนคะ ทริปใหญ่ทั้งที่ต้องสร้างความพิเศษสักหน่อย อะไรดีน้า... มันคือ เสื้อทีม ไม่ใช่เสื้อคู่แต่เป็นเสื้อทีม 555 ฟังดูยิ่งใหญ่ ต้องยิ่งใหญ่สิคะไม่ได้ใส่แค่ 2 คนนี่ ใส่กันทั้งแก๊ง 8 คน เราจะเอางบมาจากไหน ไม่ใช่ปัญหาคะ เราหลอกล่อน้องคนหนึ่ง ไม่ใช่สิพูดให้ถูกเรียกว่า โน้มน้าวดีกว่า น้องในแก๊งเป็นเจ้าของร้านทำเสื้อขาย พวกเราช่วยกันจัดข้อเสนอล่อใจ ว่าการสนับสนุนเสื้อทีมครั้งนี้ เท่ากับการใช้งบโฆษณาประชาสัมพันธ์ในต่างประเทศก็ไม่ปาน ลงทุนน้อยๆรับรองผลตอบรับเพียบ ขายฝันไปก่อนคะ ทำได้จริงรึเปล่าค่อยคิดอีกที พูดกันคนละนิดละหน่อย เน้นพูดบ่อยๆ เดี๋ยวใจอ่อนเอง ในที่สุดเสื้อทีมก็มา...ฟรี... ถ้าใครที่อ่านอยู่คิดว่าน้องเขาคงขาดทุน ไม่ใช่นะคะ ผลตอบรับแรงกว่าที่คิดไว้มาก เพราะอะไรนะเหรอคะ ถ้าใครที่เคยไปญี่ปุ่นรู้สึกกันไหม ว่าคนที่นั่นชอบใส่สีดำ ไม่ก็สีขาว น้ำตาล ถ้าไม่ใช่แหล่งวัยรุ่นหาคนญี่ปุ่น ใส่เสื้อสีนี่น้อยนะคะ แต่เสื้อทีมไม่ใช่ทั้ง 3 สีนั้น และไม่ใช่สีเหลือง แดง เขียว แต่เป็นสีบานเย็น ย้ำบานเย็น และไม่ใช่ใส่คนเดียว ใส่ 8 คน เด่นสะ เด่นไป ใครโหวตสีนี้วะ มิน่าไปไหนก็มีคนช่วย ต่างชาติแน่ๆ เดินไม่กลัวหลง หากันเจอตลอด ได้ผลกว่าถือธง #ทีมบานเย็น แนวขำ โลกสวย



อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าเราเดินทางกับเวียดนามแอร์ โดยแบ่งเป็น 2 ขยัก (ศัพท์อะไร??) กรุงเทพ - เวียดนาม อันนี้นั่งแปบเดียว เครื่องลำเล็กๆ พอน่ารัก ที่นั่งจะเป็น 3 - 3 มีทางเดินตรงกลาง มีอาหารเลี้ยงจุบจิบ อันนี้มื้อแรกบนเครื่อง

แอบบอกว่าตอนนั้นหิวมากก รอคอยอาหารอย่างตั้งใจ และอาหารก็มาเป็นสลัด พร้อมขนมปังและผลไม้ โลกสวยเบาๆ ว่าเขาคงกลัวเราอ้วน ไม่อยากให้หนักมื้อดึก



สำหรับอาหารเช้า มาช่วงระหว่างเดินทางจากเวียดนามไปญี่ปุ่น รอบนี้เครื่องลำใหญ่กว่าเดิม ที่นั่ง 2-4-2 ในนี้เคยบอกว่าสามารถเห็นฟูจิ จากเครื่องบินได้ถ้ามาไฟล์เช้า น้องบางคนเห็นนะคะ ส่วนจขกท.กำลังหลับสบายอยู่เลย



อันนี้รูปอาหารเที่ยงกับเย็น ตอนไฟล์ขากลับคะ




เรามาเหยียบสนามบินนาริตะ ตอนเวลาประมาณ 9 โมงออกมาข้างนอกได้ก็เกือบๆ 10 โมง ซึ่งเลทกว่าที่คิดไว้มาก สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การหารถไฟเข้าเมือง เราตัดสินใจนั่งรถไฟ Keisei Line ไปที่สถานี Keisei-Takasago (สถานีนี้ไม่ต้องเคลื่อนตัวเพื่อเปลี่ยนสายรถไฟเลยคะ ลงตรงไหนขึ้นรถไฟต่อตรงนั้นได้ สะดวกมาก) เพื่อเปลี่ยนเป็น Keisei Oshiage Line ไปลง สถานี Kuramae





โปรแกรมเดิมวันแรกจะเที่ยว วัดอาสากุซะ กับโอไดบะ แต่ได้ข่าวมาว่า งานเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสีที่ Ginguu gaien ichou namiki จะจัดถึงวันที่ 6 ธันวาคม และเราไปถึงวันที่ 5 จะพลาดได้ไงคะ แล้วก็ไม่ผิดหวัง แนวต้นแปะก๊วยที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองทั้งถนนสวยมากจริงๆ







ใกล้ๆแนวต้นแปะก๊วย มีงานออกร้านของกิน ของใช้ ประดุจงานวัดย่อยๆ









หลังจากเดินถ่ายรูปกันจนจุใจ เป้าหมายต่อไป ศาลเจ้าเมจิ ข้อมูลที่หามาบอกว่าสามารถเดินไปได้เลย เราก็เดินสิคะ แต่เอ๊ะไปทางไหนหละ เราต้องถามทาง คนญี่ปุ่นคนแรกบอกว่า ไกลนะ ขึ้นรถไฟไปเถอะ เราก็เริ่มหวั่นใจแหละ แต่ยังคุยกันไม่ทันเสร็จเหมือนพรหมลิขิต หนุ่มหล่ออีกคนเดินผ่านมาพร้อมถามแก๊งต่างด้าวพวกนี้ว่าจะไปไหน เราก็ตอบไป เขากลับบอกว่าให้เดินตามมาเลย แล้วหล่อขนาดนั้นมีหรือที่แก๊งสาวล้วนอย่างพวกเราจะไม่หวั่นไหว ทำไงได้หละ ตามสิ ตามไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ มันไกลมากก บรรยายไม่ได้เลยคะ นี่คนญี่ปุ่นเขาเดินไกลขนาดนี้เลยเหรอ หรือเราเป็นพวกคนไม่ค่อยเดิน ตลอดทางคิดอย่างเดียว นี่เขามาส่งหรือเป็นทางผ่าน (ดูคิดเข้าข้างตัวเองเนอะ แต่ตอนนั้นคิดยังงี้กันทั้งแก๊ง) และด้วยความรู้ภาษาอังกฤษอันจำกัด เราก็ทำได้แค่พูดคำขอบคุณพร้อมสายตาซาบซึ้ง ประทับใจสาวไทยกันไป เป็นความประทับใจแรกของพวกเรา คนที่นี่น่ารักมากๆถ้าเขาช่วยได้จะช่วยเลย ถ้าช่วยไม่ได้ก็พยายามหาทางสุดฤทธิ์ สงสัยสาวไทยจะแพ้ทางหนุ่มญี่ปุ่นสะแล้ว



กลับมาสู่ความจริง เรายังเดินกันต่อไป และข่าวร้ายที่สุดของการเดินอันแสนไกลคือ ศาลเจ้าปิดแล้ว อ้าววววสะงั้น จริงๆเราคิดว่าจะปิด 5 โมง แต่คงเพราะเป็นหน้าหนาวเลยปิดตั้งแต่ 4 โมง

ปิดท้ายวันอันแสนเหนื่อยนี้ด้วยการไปแวะดูไฟที่สถานี Roppongi ซึ่งเป็นทางผ่านระหว่างกลับที่พัก สถานีนี้มีจุดเด่นๆ ของประดับไฟคือ Roppongi Hills และ Tokyo Midtown











อยากไปอีกหลายที่ แต่ 2 วัน 1 คืนที่ผ่านมากับการเดินทางอันยาวนาน ร่างจะไม่ไหวแล้ว

(มีต่อด้านล่างนะคะ)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่