คือพยายามหาข้อมูลทั้งเว็บไทย-เทศ แต่ยังไม่ค่อยเคลียร์เลยครับ
-------
เอาเท่าที่ใน website บอกที่แน่ๆคือมันมีหลาย factor ที่ทำให้เกิดร้อนในได้ แบ่งออกเป็น 2 ข้อใหญ่
มี 1. การกระทบด้วยของแข็ง และการกระแทกต่างๆ (แปรงสีฟันกระแทก, กัดพลาดไปโดนเนื้อ)
มี 2. เรื่องความเครียด ฮอร์โมน ภูมิแพ้ ความผิดปกติจากสารอาหาร ความเปรี้ยว เค็ม เผ็ด + etc.
ถ้าแบบนี้แสดงว่ามันไม่ได้เกิดจากแบคทีเรียหรือไวรัส ? ----แสดงว่าร้อนในไม่นับว่าเป็น "โรค"
โอเคและเราจะป้องกันการเกิดร้อนในได้อย่างไรในเมื่อสาเหตุที่แท้จริงมันยังไม่ค่อยเคลียร์ ตัวอย่างเช่น
การนอนดึกและไม่ดื่มน้ำอาจทำให้เกิดร้อนในได้ (แต่ไม่ใช่ 100%) หลายครั้งนอนดึกก็ไม่เกิดร้อนในขึ้นมา...
เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่ในอนาคตจะมีการผลิควัคซีนเพื่อป้องกันอาการร้อนใน หรือมีการค้นคว้าวิจัย เอาไปทำเป็น thesis เพื่อหาข้อมูลให้มากขึ้น..?
เพราะเนื่องจากใน wiki บอกว่า
At least 40% of people with aphthous stomatitis have a positive family history, suggesting that some people are genetically predisposed to suffering with oral ulceration.
มันมีความแตกต่างระหว่างกลุ่มคน แสดงว่าเราสามารถศึกษาเปรียบเทียบแล้วเอามารักษาให้อาการลดน้อยลงหรือเพิ่มภูมิคุ้มกันก็น่าจะเป็นไปได้ (มั้ย?)
ถามแพทย์หรือใครก็ได้****ร้อนในตกลงแล้วเกิดจากอะไรครับ
-------
เอาเท่าที่ใน website บอกที่แน่ๆคือมันมีหลาย factor ที่ทำให้เกิดร้อนในได้ แบ่งออกเป็น 2 ข้อใหญ่
มี 1. การกระทบด้วยของแข็ง และการกระแทกต่างๆ (แปรงสีฟันกระแทก, กัดพลาดไปโดนเนื้อ)
มี 2. เรื่องความเครียด ฮอร์โมน ภูมิแพ้ ความผิดปกติจากสารอาหาร ความเปรี้ยว เค็ม เผ็ด + etc.
ถ้าแบบนี้แสดงว่ามันไม่ได้เกิดจากแบคทีเรียหรือไวรัส ? ----แสดงว่าร้อนในไม่นับว่าเป็น "โรค"
โอเคและเราจะป้องกันการเกิดร้อนในได้อย่างไรในเมื่อสาเหตุที่แท้จริงมันยังไม่ค่อยเคลียร์ ตัวอย่างเช่น
การนอนดึกและไม่ดื่มน้ำอาจทำให้เกิดร้อนในได้ (แต่ไม่ใช่ 100%) หลายครั้งนอนดึกก็ไม่เกิดร้อนในขึ้นมา...
เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่ในอนาคตจะมีการผลิควัคซีนเพื่อป้องกันอาการร้อนใน หรือมีการค้นคว้าวิจัย เอาไปทำเป็น thesis เพื่อหาข้อมูลให้มากขึ้น..?
เพราะเนื่องจากใน wiki บอกว่า
At least 40% of people with aphthous stomatitis have a positive family history, suggesting that some people are genetically predisposed to suffering with oral ulceration.
มันมีความแตกต่างระหว่างกลุ่มคน แสดงว่าเราสามารถศึกษาเปรียบเทียบแล้วเอามารักษาให้อาการลดน้อยลงหรือเพิ่มภูมิคุ้มกันก็น่าจะเป็นไปได้ (มั้ย?)