"ฟิกๆไปภูกระดึงป่าว?"
สิ้นเสียงคำถามปุ๊ป ฟิกตอบแบบไม่คิดเลยว่า "ไป!!" เสียงหนักแน่นราวกับว่ายืนยันคำตอบในเกมส์โชว์
คืออยากไปมานานแล้วเหว่ยแก จะคิดให้เสียเวลาทำไม คิคิคิคิ
ทริปนี้ ขอบอกเลยว่ามีสมาชิกร่วมทริป 32 คน
เยอะใช่มั๊ยล่าาา ใช่ เยอะมาก ทุกคนล้วนคือสมาชิกชมรมมุสลิมมหาวิทยาลัยขอนแก่นนั่นเอง
บ้างก็เคยไปมาแล้ว บ้างก็ยัง
แต่สิ่งที่ได้ยินดังก้องหูจากตำนานเล่าขานของผู้มีประสบการณ์คือ...
ไปภูกระดึงนี่มันเหนื่อยนะ เหนื่อยมาก เหนื่อยที่สุด ปวดตรงนั้น ปวดตรงโน้น
สรุปคือ เหนื่อยหนักมาก
แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ฟิกกลัวเลย กลับทำให้อยากไปมาก
มันจะเหนื่อยสักแค่ไหนกันเชียว??^^
อีกอย่างอยากไปสัมผัสอากาศหนาวๆบนภูกระดึงให้ชื่นใจสักครั้ง
จากนั้นฟิกคนนี้ก็ไม่รีรอ
รีบสอบถามข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์
ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
...หลักๆเลย ร่างกายต้องพร้อม เท่านี้ไม่พอ ใจก็ต้องพร้อมยิ่งกว่าพร้อมเสียอีก
และที่ละเลยไม่ได้ร้องเท้าคู่ใจสักคู่
ขอแนะนำให้เป็นรองเท้านุ่มๆ น้ำหนักไม่มากและแข็งแรงทนทาน
(ส่วนตัวไปคัดมาจากรองเท้ามมือสองที่เปิดท้าย นอกจากจะได้ของดีแล้วถ้าพังเราจะได้ไม่เสียดายด้วย)
จากนั้นก็เตรียมข้าวของสัมภาระต่างๆให้พร้อม !!!ของไม่ต้องเยอะมากจ๊ะ
และวันเดินทางก็มาถึง
ผู้จัดทริปนัดสมาชิกมาชมรม เวลาประมาณ 03.30 น.
เพื่อให้เดินทางจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไปถึงภูกระดึงได้ทันเช้า
ด้วยความที่ตื่นเต้นกลัวว่าจะตกรถ ฟิกก็ไปตั้งแต่ 03.00 น.
ไปถึงหน้าชมรมก็มีสมาชิกชมรมกำลังตรวจสัมภาระตนเองบ้างล่ะ ของส่วนกลางบ้างล่ะ
ฟิกไม่รอช้า เค้าไปช่วยตรวจดูของส่วนกลาง
ซึ่งทำได้แค่ดูจริงๆ ห้าาาา (ก็เค้าจัดการเสร็จแล้วอ่ะ)
เมื่อสมาชิกพร้อมเพรียง เหล่าผู้ร่วมชะตากรรมก็ขนสัมภาระต่างๆ
ขึ้นรถบรรทุก6ล้อ และไม่ลืมที่จะเอาตัวเองขึ้นรถกันด้วย ฮึ๊บๆๆๆๆ
จิตใจพองโต สอดรับกับความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ
ที่จะได้ไปสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ ... รอก่อนนะพี่ภู ^^

รถบรรทุก6ล้อ ของลุงโบ้ที่แสนใจดี
ระหว่างที่รถกำลังแล่นไปข้างหน้า
ผู้โดยสารทุกท่านก็มีกิจกรรมสนุกสนานมาเล่นด้วยกัน
นั่นก็คือ เกมส์!!!! Killer นั้นเอง อื้อหือ
ฆ่ากันอย่างนองเลือด โหดร้ายและทารุณ 55555
ถือว่าระหว่างทางไม่มีเวลาให้เบื่อกันเลยทีเดียว
เมื่อนั่งรถได้สักพัก เวลาก็ล่วงมาถึง 05.30 โดยประมาณ
ในฐานะที่เป็นมุสลิม เราก็ไม่ลืมที่จะทำละหมาด
โดยลุงโบ้คนขับรถใจดีและสุดหล่อ ได้จอดปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง
ให้เหล่าผู้ร่วมทริปได้ทำละหมาดกัน

แชะภาพกันหน่อยหลังละหมาด

ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า เป็นสัญญานหมดเวลาหมาดเช้า
และได้เวลาเดินทางกันต่อ ไม่รีรอยี่ฮ่าาาาาาา ขึ้นรถเลยยยยยยยย
ระหว่างทางก็จะเจอต้นไม้นานาพรรณ ยืนตระหง่านต้อนรับไม่ขาดสาย
เป็นสัญญานว่าเราใกล้ถึง ภูกระดึงแล้ว เย้ๆๆ ดีใจมากๆแต่จะแสดงออกมากไม่ได้
เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราบ้านนอก 5555+
ไม่ทันได้ดีใจอะไรมากมายก็มาถึงภูกระดึงเป็นที่เรียบร้อย
สีหน้าทุกคนดูตื่นเต้น ดีใจ อยากเห็นได้ชัด
เราเองไม่รอช้ารีบกระโดดลงจากรถและรอรับสัมภาระ
และเมาท์มอยกับเพื่อนๆ พี่ๆ ถึงการเดินขึ้นเขาที่ได้เดินขึ้นไปแล้วในมโนจิต
(คือในใจคิดไว้ว่า เห้ย มันไม่ได้หนักหนาอะไรเหมือนที่ใครๆเค้าพูดหรอก)
เมาท์เพลินลากยาวไปจนพี่ที่จัดทริป(เฮียแกชื่อบังอามีน)แจกจ่ายอาหารเช้า
เราก็นั่งล้อมวงกันและนั่งทานข้าวเหนียวไก่ทอด
บรรยากาศจึงเงียบสงบไปสักพัก ^^

เมื่อเติมพลังให้ร่างกายเป็นที่เรียบร้อย
เหล่าบรรดาผู้ร่วมทริปก็เคลื่อนขบวนกันไปที่บริเวณหน้าอุทยาน
ซึ่งจะมีบริการลูกหาบให้ เพื่อนำสัมภาระของเราขึ้นไปบนภู
โดยค่าบริการกิโลกรัมละ 30 บาทถือว่าไม่แพง
ถ้าเราได้เห็นว่าลูกหาบต้องแบกของเราไปอย่างยากเย็นเพียงไร
ส่วนตัวมีกระเป๋าเป้สองใบ
ใบที่ใหญ่สุดก็ใช้บริการลูกหาบ
ประมาณ 7 กิโลกรัม ราคา210บาท
แอบน้ำตาไหลเบาๆ
ส่วนกระเป๋าเป้อีกใบซึ่งหนักราวๆ 4 กิโลกรัม เราแบกเอง

พี่ๆลูกหาบกำลังนำสัมภาระที่เราโหลด แพ๊คให้มั่น ยึดให้แน่น กับไม้ไผ่ทรงพลังของพี่ๆ
เกิดคำถามในใจขึ้นมาว่า Strong แค่ไหน แค่ไหนเรียก Strong
จากนั้นฟิกก็ได้เดินไปให้กำลังใจ พี่ๆลูกหาบ
"พี่คร๊าบบบบ สู้ๆนคร๊าบบบบบ"
พี่ๆตอบกลับมาว่า "สบายๆ เราเองก็สู้ๆนะแค่ 5 กิโล ก็ถึงหลังแปแล้ว" พร้อมทำหน้าสบายๆจริงๆ
เห้ยยยย พี่ๆแกพูดว่าแค่ 5 กิโล เออแสดงว่ามันไม่ได้หนักหนามากต้องชิวๆแน่ๆ
เมื่อเหล่าบรรดาพี่น้องผู้ร่วมทริปได้จัดแจงโหลดสัมภาระเป็นที่เรียบร้อย
เราก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปหมู่กัน
และฟิกก็ต้องขอขอบพระคุณคุณลุงและครอบครัวที่มาภูกระดึง ได้ถ่ายภาพให้คณะของเรา
และเพื่อเป็นการตอบแทนคุณลุงและครอบครัว
ฟิกและสมาชิกชมรมอีกท่าน ก็ได้ถ่ายรูปให้กับครอบครัวคุณลุงท่านนี้
นี่ยังไม่ได้เดินขึ้นเขานะ เรายังได้เห็นได้สัมผัสน้ำใจที่คนไทยมีให้ต่อกัน
นี่แหละคือเสน่ห์ของคนไทย เสนห์ของภูกระดึง
สิ่งสำคัญก่อนที่เราท่านจะขึ้นภูนั้น
เราควรรู้เส้นทางและระยะทาง เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเราเอง
หรือบางที ถ้าได้เห็นเส้นทาง อาจจะอยากนั่งรถกลับเลยก็เป็นได้ ห้าาาา
แต่ ณ ตอนนั้นเลือดนักสู้มันสูบฉีด ไม่มีอะไรมาล้มล้างความตั้งใจในการพิชิตภูกระดึงได้

บังอิมรอนผู้มาภูกระดึงหลายครั้งแล้ว ได้บอกกล่าวถึงเส้นทางที่เราจะได้เดินขึ้นไป

และนี้คือเป้าหมายของเรา จากตีนเขา สู่หลังแป
ระยะทางขึ้นเขาประมาณ 5.5 กิโลเมตร ชิวๆ
เมื่อเราท่านพร้อมแล้ว เริ่มมมมมมมม!!! ขณะนี้เวลาประมาณ 09.00น.
ด่านแรกเตรียมเงิน 40บาท(ราคานักท่องเที่ยวชาวไทย ผู้ใหญ่) เพื่อซื้อบัตรผ่านประตูสู่บททดสอบ
เมื่อผ่านประตูไปเราจะพบกับบรรยากาศความร่มรื่น และหลักกิโลที่ใหญ่โต ตั้งอยู่ตรงหน้า

เพื่อตอกย้ำจุดมุ่งหมายของผู้ที่มาเยือนทุกคน
จากนั้นเหล่าบรรดาผู้พิชิตภูกระดึงก็เดินหน้าต่อไป
ตามเทคนิคและความสามารถของแต่ละคน
บ้างเดินขึ้นอย่างรวดเร็วและชำนาญ
บ้างก็เดินเรื่อยเพื่อออมแรงไว้
ซึ่งฟิกจะเป็นอย่างหลัง ห้าาาาาา
ก็ตั้งหลายกิโล ออมแรงสักหน่อยย
ช่วงแรกของการเดินขึ้นภูอาจจะมีทางราบบ้างเล็กน้อย
แต่เมื่อเดินมาไกลขึ้น ได้แต่หันหลังกลับไปแล้วพูดกับตัวเองว่า
"ลาก่อนทางราบ สวัสดีทางชัน"
ทางเดินก็ชันเรื่อยๆเดินง่ายบาง ยากบ้างปะปนกันไป
แต่สิ่งหนึ่งที่พบเห็นตลอดทางคือ
ความมุ่งมั่นของผู้พิชิตภูกระดึงทุกคน
ที่มีความตั้งใจแน่วแน่ว่าครั้งหนึ่งเราต้องพิชิตภูกระดึงให้ได้

เส้นทางชันขึ้น แต่เราก็ไม่ท้อ

ยิ่งเดินขึ้นเรื่อยๆ ความสวยงามก็จะค่อยๆเผยให้เราได้เห็นตลอดทางเดิน
จนถึงตอนนี้ การเดินขึ้นเขาในมโนจิตไม่เหมือนกับความเป็นจริงเลย
ขอบอกเลยว่าเหนื่อยมาก
นี่ขนาดยังขึ้นไม่ถึงครึ่งทาง ขอบอกเลยว่านอกจากร่างกายจะพร้อมแล้ว
จิตใจต้องเข้มแข็งด้วย
แต่ถ้าหากเราเหนื่อยมากๆ เราก็สามารถนั่งพักระหว่างทางได้
เมื่อเดินขึ้นมาได้ราวๆ 1 กิโลเมตร ผู้พิชิตทุกคนจะพบกับสิ่งที่ตั้งหน้าตั้งรอและวอนขอตลอดทาง
นั้นคืออออออ จุดพักจุดแรก ซึ่งมีชื่อว่าซำแฮก มาจากการที่นักท่องเที่ยวมาถึงแล้วเหนื่อย หอบแฮกๆๆๆๆ เลยเรียกว่าซำแฮก อันนี้เขาเล่ามา ห้าา
ซึ่งจุดนี้มีบริการอาหาร เครื่องดื่ม และต่างๆมากมาย

ขอแสดงพลังดีใจหน่อย ย๊ากกกกกกกก
ขึ้นมาได้ 1 กิโลเมตรแล้ว หลืออีก 4 กว่ากิโลเมตร
เมื่อพักได้ที่ก็ไม่รีรอ รีบเดินหน้าต่อไป
ทางก็จะชันขึ้นเรื่อย มีอุปสรรคมากขึ้นเรื่อย
โดยระหว่างทางเดินนั้นเราจะพบกับ ซำต่างอีกประมาณ 5 ซำ
คือ ซำบอน ซำกกกอก ซำกกหว้า ซำกกไผ่ ซำกกโดน
โดยซำกกหว้าและซำกกไผ่จะไม่มีร้านค้า จะมีเพียงที่พักเท่านั้น
ตลอดทางเดินเราจะได้ยินเสียงให้กำลังใจจากผู้ที่จะขึ้นไปพิชิตภูกระดึงด้วยกัน
และจากผู้ที่ได้พิชิตเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเดินส่วนทางกันลงมา "สู้นะครับ อีกไม่ไกลแล้วววว"
ตั้งแต่เริ่มเดินจะได้ยินว่าไม่ไกลแล้ว ซึ่งความจริงคือ อื้ออออหืออออออีกหลายกิโลเลยจ้าาาา
แต่ทุกครั้งที่เหนื่อยฟิกจะนึกถึงพวกเขาเหล่านี้

เขาเหนื่อยกว่าเราอย่างมาก ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย
ทำให้เป็นแรงผลักดันให้เราเดินต่อไป

ระหว่างทางเราก็เจอกับธรรมชาติที่สวยงาม
ผู้คนที่เหน็ดเหนื่อยและมุ่งมั่น
หนทางชันมากขึ้น นี่เป็นสัญญานบอกว่าเราใกล้สู่จุดหมายปลายทางแล้ว
และด่านเกือบสุดท้ายที่ผู้พิชิตทุกคนจะต้องเจอคือสิ่งนี้

บันไดแสนจะชัน
เมื่อมาถึงตรงนี้ เราจะเหนื่อยมาก และต้องมีสติในการขึ้นบันไดมากๆด้วย
ฟิก กับผู้ร่วมทริปที่เดินมาด้วยกันตลอดทางอีก1คน ซึ่งเป็นรุ่นน้อง ชื่อวี่
ให้กำลังใจกันแล้วเดินต่อไป
ซึ่งตอนนี้ สมาชิกชมรมต่างกระจัดกระจายกัน
บ้างก็ยังตามหลังอยู่ บ้างก็ใกล้ถึงแล้ว
แต่ตอนนี้ ฟิกกับวี่ ใกล้ถึงหลังแปแล้ว อ๊ากกกกกกกกก
และเราก็ไต่บันไดสุดโหดนี้ไปอย่างทุลักทุเล
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น
เป็นประโยคที่เราได้ยินบ่อยที่สุด และใช้ได้จริงที่สุด
แท๊นแท่นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน นี่คือหลังแป ^^
ถึงแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!

เมื่อมาถึงความเหนื่อยหายไปหมดอย่างปลิดทิ้ง
สิ่งแรกที่ต้องคือถ่ายรูปเก็บไว้รัวๆ
โดยมีสมาชิกชมรม ที่ล่วงหน้ามาแล้วมาร่วมเฟรมด้วย
ขออนุญาตไล่เรียงชื่อผู้ร่วมเฟรมนะครับ
ซ้ายล่าง ฟิก
ซ้ายบน วี่
ขวาบน นาดา
ขวาล่าง ลูต
ความเหนื่อยหายไปตอนนี้สิ่งที่มีคือ ถ่ายรูป ถ่ายรูป แล้วก็ถ่ายรูป
จากนั้นสมาชิกท่านอื่นๆ ก็ทยอยกันมาถึง
และนี่คือสภาพของพวกเขา

ถ้าเหนื่อยนักแค่พักหลับตาลองหยุดไขว่คว้า ค่อยผ่อนคลายยย
พักกันก่อนนาจาาาาา เหนื่อยมากจริงๆ แฮ๊กๆๆ ><
[CR] แบกเป้ขึ้นหลัง เที่ยวไทย ณ "ภูกระดึง"
เส้นทางจากตีนเขาสู่หลังแปที่แสนทรหด
ความอดทน ความช่วยเหลือ และมิตรภาพ
บททดสอบที่ควรค่าแก่การสัมผัส
รักเธอ "ภูกระดึง"
สิ้นเสียงคำถามปุ๊ป ฟิกตอบแบบไม่คิดเลยว่า "ไป!!" เสียงหนักแน่นราวกับว่ายืนยันคำตอบในเกมส์โชว์
คืออยากไปมานานแล้วเหว่ยแก จะคิดให้เสียเวลาทำไม คิคิคิคิ
ทริปนี้ ขอบอกเลยว่ามีสมาชิกร่วมทริป 32 คน
เยอะใช่มั๊ยล่าาา ใช่ เยอะมาก ทุกคนล้วนคือสมาชิกชมรมมุสลิมมหาวิทยาลัยขอนแก่นนั่นเอง
บ้างก็เคยไปมาแล้ว บ้างก็ยัง
แต่สิ่งที่ได้ยินดังก้องหูจากตำนานเล่าขานของผู้มีประสบการณ์คือ...
ไปภูกระดึงนี่มันเหนื่อยนะ เหนื่อยมาก เหนื่อยที่สุด ปวดตรงนั้น ปวดตรงโน้น
สรุปคือ เหนื่อยหนักมาก
แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ฟิกกลัวเลย กลับทำให้อยากไปมาก
มันจะเหนื่อยสักแค่ไหนกันเชียว??^^
อีกอย่างอยากไปสัมผัสอากาศหนาวๆบนภูกระดึงให้ชื่นใจสักครั้ง
จากนั้นฟิกคนนี้ก็ไม่รีรอ
รีบสอบถามข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์
ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
...หลักๆเลย ร่างกายต้องพร้อม เท่านี้ไม่พอ ใจก็ต้องพร้อมยิ่งกว่าพร้อมเสียอีก
และที่ละเลยไม่ได้ร้องเท้าคู่ใจสักคู่
ขอแนะนำให้เป็นรองเท้านุ่มๆ น้ำหนักไม่มากและแข็งแรงทนทาน
(ส่วนตัวไปคัดมาจากรองเท้ามมือสองที่เปิดท้าย นอกจากจะได้ของดีแล้วถ้าพังเราจะได้ไม่เสียดายด้วย)
จากนั้นก็เตรียมข้าวของสัมภาระต่างๆให้พร้อม !!!ของไม่ต้องเยอะมากจ๊ะ
และวันเดินทางก็มาถึง
ผู้จัดทริปนัดสมาชิกมาชมรม เวลาประมาณ 03.30 น.
เพื่อให้เดินทางจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไปถึงภูกระดึงได้ทันเช้า
ด้วยความที่ตื่นเต้นกลัวว่าจะตกรถ ฟิกก็ไปตั้งแต่ 03.00 น.
ไปถึงหน้าชมรมก็มีสมาชิกชมรมกำลังตรวจสัมภาระตนเองบ้างล่ะ ของส่วนกลางบ้างล่ะ
ฟิกไม่รอช้า เค้าไปช่วยตรวจดูของส่วนกลาง
ซึ่งทำได้แค่ดูจริงๆ ห้าาาา (ก็เค้าจัดการเสร็จแล้วอ่ะ)
เมื่อสมาชิกพร้อมเพรียง เหล่าผู้ร่วมชะตากรรมก็ขนสัมภาระต่างๆ
ขึ้นรถบรรทุก6ล้อ และไม่ลืมที่จะเอาตัวเองขึ้นรถกันด้วย ฮึ๊บๆๆๆๆ
จิตใจพองโต สอดรับกับความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ
ที่จะได้ไปสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ ... รอก่อนนะพี่ภู ^^
รถบรรทุก6ล้อ ของลุงโบ้ที่แสนใจดี
ระหว่างที่รถกำลังแล่นไปข้างหน้า
ผู้โดยสารทุกท่านก็มีกิจกรรมสนุกสนานมาเล่นด้วยกัน
นั่นก็คือ เกมส์!!!! Killer นั้นเอง อื้อหือ
ฆ่ากันอย่างนองเลือด โหดร้ายและทารุณ 55555
ถือว่าระหว่างทางไม่มีเวลาให้เบื่อกันเลยทีเดียว
เมื่อนั่งรถได้สักพัก เวลาก็ล่วงมาถึง 05.30 โดยประมาณ
ในฐานะที่เป็นมุสลิม เราก็ไม่ลืมที่จะทำละหมาด
โดยลุงโบ้คนขับรถใจดีและสุดหล่อ ได้จอดปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง
ให้เหล่าผู้ร่วมทริปได้ทำละหมาดกัน
แชะภาพกันหน่อยหลังละหมาด
ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า เป็นสัญญานหมดเวลาหมาดเช้า
และได้เวลาเดินทางกันต่อ ไม่รีรอยี่ฮ่าาาาาาา ขึ้นรถเลยยยยยยยย
เป็นสัญญานว่าเราใกล้ถึง ภูกระดึงแล้ว เย้ๆๆ ดีใจมากๆแต่จะแสดงออกมากไม่ได้
เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราบ้านนอก 5555+
ไม่ทันได้ดีใจอะไรมากมายก็มาถึงภูกระดึงเป็นที่เรียบร้อย
สีหน้าทุกคนดูตื่นเต้น ดีใจ อยากเห็นได้ชัด
เราเองไม่รอช้ารีบกระโดดลงจากรถและรอรับสัมภาระ
และเมาท์มอยกับเพื่อนๆ พี่ๆ ถึงการเดินขึ้นเขาที่ได้เดินขึ้นไปแล้วในมโนจิต
(คือในใจคิดไว้ว่า เห้ย มันไม่ได้หนักหนาอะไรเหมือนที่ใครๆเค้าพูดหรอก)
เมาท์เพลินลากยาวไปจนพี่ที่จัดทริป(เฮียแกชื่อบังอามีน)แจกจ่ายอาหารเช้า
เราก็นั่งล้อมวงกันและนั่งทานข้าวเหนียวไก่ทอด
บรรยากาศจึงเงียบสงบไปสักพัก ^^
เมื่อเติมพลังให้ร่างกายเป็นที่เรียบร้อย
เหล่าบรรดาผู้ร่วมทริปก็เคลื่อนขบวนกันไปที่บริเวณหน้าอุทยาน
ซึ่งจะมีบริการลูกหาบให้ เพื่อนำสัมภาระของเราขึ้นไปบนภู
โดยค่าบริการกิโลกรัมละ 30 บาทถือว่าไม่แพง
ถ้าเราได้เห็นว่าลูกหาบต้องแบกของเราไปอย่างยากเย็นเพียงไร
ส่วนตัวมีกระเป๋าเป้สองใบ
ใบที่ใหญ่สุดก็ใช้บริการลูกหาบ
ประมาณ 7 กิโลกรัม ราคา210บาท
แอบน้ำตาไหลเบาๆ
ส่วนกระเป๋าเป้อีกใบซึ่งหนักราวๆ 4 กิโลกรัม เราแบกเอง
พี่ๆลูกหาบกำลังนำสัมภาระที่เราโหลด แพ๊คให้มั่น ยึดให้แน่น กับไม้ไผ่ทรงพลังของพี่ๆ
เกิดคำถามในใจขึ้นมาว่า Strong แค่ไหน แค่ไหนเรียก Strong
จากนั้นฟิกก็ได้เดินไปให้กำลังใจ พี่ๆลูกหาบ
"พี่คร๊าบบบบ สู้ๆนคร๊าบบบบบ"
พี่ๆตอบกลับมาว่า "สบายๆ เราเองก็สู้ๆนะแค่ 5 กิโล ก็ถึงหลังแปแล้ว" พร้อมทำหน้าสบายๆจริงๆ
เห้ยยยย พี่ๆแกพูดว่าแค่ 5 กิโล เออแสดงว่ามันไม่ได้หนักหนามากต้องชิวๆแน่ๆ
เมื่อเหล่าบรรดาพี่น้องผู้ร่วมทริปได้จัดแจงโหลดสัมภาระเป็นที่เรียบร้อย
เราก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปหมู่กัน
และฟิกก็ต้องขอขอบพระคุณคุณลุงและครอบครัวที่มาภูกระดึง ได้ถ่ายภาพให้คณะของเรา
และเพื่อเป็นการตอบแทนคุณลุงและครอบครัว
ฟิกและสมาชิกชมรมอีกท่าน ก็ได้ถ่ายรูปให้กับครอบครัวคุณลุงท่านนี้
นี่ยังไม่ได้เดินขึ้นเขานะ เรายังได้เห็นได้สัมผัสน้ำใจที่คนไทยมีให้ต่อกัน
นี่แหละคือเสน่ห์ของคนไทย เสนห์ของภูกระดึง
สิ่งสำคัญก่อนที่เราท่านจะขึ้นภูนั้น
เราควรรู้เส้นทางและระยะทาง เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเราเอง
หรือบางที ถ้าได้เห็นเส้นทาง อาจจะอยากนั่งรถกลับเลยก็เป็นได้ ห้าาาา
แต่ ณ ตอนนั้นเลือดนักสู้มันสูบฉีด ไม่มีอะไรมาล้มล้างความตั้งใจในการพิชิตภูกระดึงได้
บังอิมรอนผู้มาภูกระดึงหลายครั้งแล้ว ได้บอกกล่าวถึงเส้นทางที่เราจะได้เดินขึ้นไป
และนี้คือเป้าหมายของเรา จากตีนเขา สู่หลังแป
ระยะทางขึ้นเขาประมาณ 5.5 กิโลเมตร ชิวๆ
เมื่อเราท่านพร้อมแล้ว เริ่มมมมมมมม!!! ขณะนี้เวลาประมาณ 09.00น.
ด่านแรกเตรียมเงิน 40บาท(ราคานักท่องเที่ยวชาวไทย ผู้ใหญ่) เพื่อซื้อบัตรผ่านประตูสู่บททดสอบ
เมื่อผ่านประตูไปเราจะพบกับบรรยากาศความร่มรื่น และหลักกิโลที่ใหญ่โต ตั้งอยู่ตรงหน้า
เพื่อตอกย้ำจุดมุ่งหมายของผู้ที่มาเยือนทุกคน
จากนั้นเหล่าบรรดาผู้พิชิตภูกระดึงก็เดินหน้าต่อไป
ตามเทคนิคและความสามารถของแต่ละคน
บ้างเดินขึ้นอย่างรวดเร็วและชำนาญ
บ้างก็เดินเรื่อยเพื่อออมแรงไว้
ซึ่งฟิกจะเป็นอย่างหลัง ห้าาาาาา
ก็ตั้งหลายกิโล ออมแรงสักหน่อยย
ช่วงแรกของการเดินขึ้นภูอาจจะมีทางราบบ้างเล็กน้อย
แต่เมื่อเดินมาไกลขึ้น ได้แต่หันหลังกลับไปแล้วพูดกับตัวเองว่า
"ลาก่อนทางราบ สวัสดีทางชัน"
ทางเดินก็ชันเรื่อยๆเดินง่ายบาง ยากบ้างปะปนกันไป
แต่สิ่งหนึ่งที่พบเห็นตลอดทางคือ
ความมุ่งมั่นของผู้พิชิตภูกระดึงทุกคน
ที่มีความตั้งใจแน่วแน่ว่าครั้งหนึ่งเราต้องพิชิตภูกระดึงให้ได้
เส้นทางชันขึ้น แต่เราก็ไม่ท้อ
ยิ่งเดินขึ้นเรื่อยๆ ความสวยงามก็จะค่อยๆเผยให้เราได้เห็นตลอดทางเดิน
จนถึงตอนนี้ การเดินขึ้นเขาในมโนจิตไม่เหมือนกับความเป็นจริงเลย
ขอบอกเลยว่าเหนื่อยมาก
นี่ขนาดยังขึ้นไม่ถึงครึ่งทาง ขอบอกเลยว่านอกจากร่างกายจะพร้อมแล้ว
จิตใจต้องเข้มแข็งด้วย
แต่ถ้าหากเราเหนื่อยมากๆ เราก็สามารถนั่งพักระหว่างทางได้
เมื่อเดินขึ้นมาได้ราวๆ 1 กิโลเมตร ผู้พิชิตทุกคนจะพบกับสิ่งที่ตั้งหน้าตั้งรอและวอนขอตลอดทาง
นั้นคืออออออ จุดพักจุดแรก ซึ่งมีชื่อว่าซำแฮก มาจากการที่นักท่องเที่ยวมาถึงแล้วเหนื่อย หอบแฮกๆๆๆๆ เลยเรียกว่าซำแฮก อันนี้เขาเล่ามา ห้าา
ซึ่งจุดนี้มีบริการอาหาร เครื่องดื่ม และต่างๆมากมาย
ขอแสดงพลังดีใจหน่อย ย๊ากกกกกกกก
ขึ้นมาได้ 1 กิโลเมตรแล้ว หลืออีก 4 กว่ากิโลเมตร
เมื่อพักได้ที่ก็ไม่รีรอ รีบเดินหน้าต่อไป
ทางก็จะชันขึ้นเรื่อย มีอุปสรรคมากขึ้นเรื่อย
โดยระหว่างทางเดินนั้นเราจะพบกับ ซำต่างอีกประมาณ 5 ซำ
คือ ซำบอน ซำกกกอก ซำกกหว้า ซำกกไผ่ ซำกกโดน
โดยซำกกหว้าและซำกกไผ่จะไม่มีร้านค้า จะมีเพียงที่พักเท่านั้น
ตลอดทางเดินเราจะได้ยินเสียงให้กำลังใจจากผู้ที่จะขึ้นไปพิชิตภูกระดึงด้วยกัน
และจากผู้ที่ได้พิชิตเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเดินส่วนทางกันลงมา "สู้นะครับ อีกไม่ไกลแล้วววว"
ตั้งแต่เริ่มเดินจะได้ยินว่าไม่ไกลแล้ว ซึ่งความจริงคือ อื้ออออหืออออออีกหลายกิโลเลยจ้าาาา
แต่ทุกครั้งที่เหนื่อยฟิกจะนึกถึงพวกเขาเหล่านี้
เขาเหนื่อยกว่าเราอย่างมาก ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย
ทำให้เป็นแรงผลักดันให้เราเดินต่อไป
ระหว่างทางเราก็เจอกับธรรมชาติที่สวยงาม
ผู้คนที่เหน็ดเหนื่อยและมุ่งมั่น
หนทางชันมากขึ้น นี่เป็นสัญญานบอกว่าเราใกล้สู่จุดหมายปลายทางแล้ว
และด่านเกือบสุดท้ายที่ผู้พิชิตทุกคนจะต้องเจอคือสิ่งนี้
บันไดแสนจะชัน
เมื่อมาถึงตรงนี้ เราจะเหนื่อยมาก และต้องมีสติในการขึ้นบันไดมากๆด้วย
ฟิก กับผู้ร่วมทริปที่เดินมาด้วยกันตลอดทางอีก1คน ซึ่งเป็นรุ่นน้อง ชื่อวี่
ให้กำลังใจกันแล้วเดินต่อไป
ซึ่งตอนนี้ สมาชิกชมรมต่างกระจัดกระจายกัน
บ้างก็ยังตามหลังอยู่ บ้างก็ใกล้ถึงแล้ว
แต่ตอนนี้ ฟิกกับวี่ ใกล้ถึงหลังแปแล้ว อ๊ากกกกกกกกก
และเราก็ไต่บันไดสุดโหดนี้ไปอย่างทุลักทุเล
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น
เป็นประโยคที่เราได้ยินบ่อยที่สุด และใช้ได้จริงที่สุด
แท๊นแท่นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน นี่คือหลังแป ^^
ถึงแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!
เมื่อมาถึงความเหนื่อยหายไปหมดอย่างปลิดทิ้ง
สิ่งแรกที่ต้องคือถ่ายรูปเก็บไว้รัวๆ
โดยมีสมาชิกชมรม ที่ล่วงหน้ามาแล้วมาร่วมเฟรมด้วย
ขออนุญาตไล่เรียงชื่อผู้ร่วมเฟรมนะครับ
ซ้ายล่าง ฟิก
ซ้ายบน วี่
ขวาบน นาดา
ขวาล่าง ลูต
ความเหนื่อยหายไปตอนนี้สิ่งที่มีคือ ถ่ายรูป ถ่ายรูป แล้วก็ถ่ายรูป
จากนั้นสมาชิกท่านอื่นๆ ก็ทยอยกันมาถึง
และนี่คือสภาพของพวกเขา
ถ้าเหนื่อยนักแค่พักหลับตาลองหยุดไขว่คว้า ค่อยผ่อนคลายยย
พักกันก่อนนาจาาาาา เหนื่อยมากจริงๆ แฮ๊กๆๆ ><