พอร์ตผมตอนนี้ครับ ลงทุนไปทั้งหมด ตามนี้ (ไม่ได้บันทึกช่วงแรกๆไว้ เพิ่งทำเอาปีที่แล้วครับ)

อันนี้เป็นรายรับที่ผมใส่เข้าพอร์ตทุกเดือนเฉพาะปี2015ครับ เพิ่งเริ่มทำได้ปีเดียว

ราว75%เป็นเงินเก็บที่หามาเองครับ เงินที่ได้จากหุ้นแค่ราว25% ถึงยังงั้น หุ้นก็สามารถซื้อเวลาให้ผมได้4เดือนต่อปีแล้วครับ (ปันผล40k แบ่งเป็นเดือนละ10k)
ตอนเป็นเม่าแรกๆก็เหมือนเม่าทุกๆคนได้บ้างเสียบ้าง เครียด ดีใจบ้างตามประสา ลองเล่นมันทุกแนว เลยรู้ว่าตัวเองเล่นได้แค่ผิวเผินเท่านั้น รู้ไม่ลึกทุกแนว ก็เลยเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า ไหนๆก็หากินกับส่วนต่างราคาหุ้นไม่ค่อยได้ หรือสู้เทพๆไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปสนมันละ ซื้อถือปันผลเฉยๆดีกว่า
ก็เลยจัดพอร์ตใหม่ตามภาพน่ะแหละครับ ย้อนกลับมาดูตอนปีแรก เงินเริ่มต้นสองแสน จนผ่านมา5ปีก็มีล้านแรกแล้ว(ในภาพผมไม่ได้นับรวมเงินสดนะครับ นับแค่มูลค่าหุ้นที่ถือเฉยๆ) ส่วนตัวที่เหลือก็ค่อยๆหาเงินทยอยซื้อไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าอาจตัดสินใจผิดไปบางตัว และบางตัวก็ซื้อแพงไป แต่โดยรวมไม่รู้สึกแย่กับตลาดหุ้นมากนัก เพราะเราทำเป้าหมายแรกได้สำเร็จแล้ว
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเล่นหุ้นตอนนี้
- การลงทุนไม่มีสูตรตายตัว ต้องดูเป็นcase by case เช่นตัวนี้จ่ายปันผลเยอะเพราะผลประกอบการดี อีกตัวอาจจะปันผลเยอะเพราะถูกบีบให้จ่ายหนักไรงี้
- หุ้นดีก็อย่าลืมดูตัวผู้บริหารด้วย ส่วนวิธีคงต้องดูตามวิธีการของตัวเราเอง พฤติกรรมผู้บริหารมันเป็นอะไรที่ตัดสินด้วยตัวเลขยากในสายตาของพวกเรา
- EPSขึ้น ราคาหุ้นขึ้น ปันผลขึ้นตาม ในทางปฎิบัติ=จริง(แต่ไม่ทุกครั้ง ประสบการณ์จะสอนให้เรากรองได้เอง)
- ต่อจากข้างบน วิธีผมคือถ้าราคาขึ้นแพงไป เช่นCPALL ก็ต้องดูว่าจะปันผลตามนโยบายปกติ(เช่นร้อยละ50ของกำไรสุทธิ)หรือปันผลให้%ของyieldมันตามกับราคาหุ้นมั้ย(เช่นราคาขึ้นเว่อร์ epsตามไม่ทัน แต่กลับจ่ายปันผลจ่ายเกิน eps แบบนี้ไม่ค่อยน่าซื้อ มีแนวโน้มว่าผู้บริหารอาจfocusที่ราคาหุ้นมากไป(มีแนวโน้มว่าเน้นจิตวิทยาการเงินมากกว่าผลประกอบการ) ทว่าเหตุผลที่focusอะไรแบบนี้มีทั้งฟังขึ้นและฟังไม่ขึ้น เพราะงั้นไม่ต้องด่าเค้า เสียเวลา)
- ต่อจากข้างบนอีกรอบ ไม่น่าซื้อเพราะเหมือนจ่ายปันผลหนักเพราะกลัวผู้ถือหุ้นเก่าเทขาย เลยต้องปันผลเยอะๆเลี้ยงผู้ถือหุ้นไว้ไม่ให้เทขาย ราคาหุ้นจะได้ไม่ลง(หรือลงน้อย) [ถ้าอิทธิพลผู้ถือหุ้นใหญ่สามารถผลักดันให้บริษัทเติบโตได้ กรณีแบบนี้มีผลกับบริษัทนะ คงเคยได้ยินบางประโยคในบอร์ดใช่มั้ยครับ ประมาณว่า “ผู้ถือหุ้นบีบบริษัทให้ปันผลเพิ่มขึ้น ไม่งั้นรายใหญ่นู่นนี่นั่นจะขายหุ้นทั้งหมด” อะไรแบบนี้ ดูเผินๆเหมือนก็ไม่มีอะไรนะ แต่หลังฉากไม่ใช่แค่หุ้นลงไง มันตัดสัมพันธ์ทางการค้าด้วย555 เพียงแต่เค้าไม่บอกให้ภายนอกอย่างเรารับรู้ไง เราเลยคิดว่า ก็แค่หุ้นลงเฉยๆ]
- แต่ถ้าลงแล้ว เค้าก็(อาจ)ปันผลให้น้อยลงตามไปด้วย อาจเพราะผลประกอบการไม่ดี กำไรน้อย ปันเลยน้อย หรืออาจเพราะที่ผ่านมาจ่ายปันผลหนักเลี้ยงผู้ถือหุ้นเก่าไว้เยอะแล้ว ตอนนี้ราคาลง เลยจ่ายน้อยลงเพื่อลดภาระบริษัท ก็ต้องดูเป็นcase by caseไป เพราะการลงทุนมันไม่มีสูตรและเหตุผลตายตัวอ่ะ(ความคิดตรงนี้ เริ่มจุดประกายผมทำให้เลี่ยงของแพงมากขึ้น555)
- ถ้าศึกษาอะไรซักอย่างไปนานๆ ถึงจุดนึงจะเริ่มมององค์ประกอบรอบข้างชัดขึ้น ช้าเร็ว แล้วแต่คน)
- บางครั้งการใส่ใจแบบข้างบนก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าที่เราทำอยู่มันไม่ใช่ทางจริงๆ
ตอนนี้ก็พยามศึกษาไปเรื่อยๆ เริ่มมองลู่ทางหาเงินหลายๆทาง ผิดถูกบ้างช่างมัน แต่สร้างทางเซฟของตัวเองไว้ให้ดีก็พอ ปีนี้สู้ๆนะครับทุกคน
รีวิวพอร์ตหุ้นเม่าตัวเอง ให้กำลังใจเม่าด้วยกัน
อันนี้เป็นรายรับที่ผมใส่เข้าพอร์ตทุกเดือนเฉพาะปี2015ครับ เพิ่งเริ่มทำได้ปีเดียว
ราว75%เป็นเงินเก็บที่หามาเองครับ เงินที่ได้จากหุ้นแค่ราว25% ถึงยังงั้น หุ้นก็สามารถซื้อเวลาให้ผมได้4เดือนต่อปีแล้วครับ (ปันผล40k แบ่งเป็นเดือนละ10k)
ตอนเป็นเม่าแรกๆก็เหมือนเม่าทุกๆคนได้บ้างเสียบ้าง เครียด ดีใจบ้างตามประสา ลองเล่นมันทุกแนว เลยรู้ว่าตัวเองเล่นได้แค่ผิวเผินเท่านั้น รู้ไม่ลึกทุกแนว ก็เลยเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า ไหนๆก็หากินกับส่วนต่างราคาหุ้นไม่ค่อยได้ หรือสู้เทพๆไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปสนมันละ ซื้อถือปันผลเฉยๆดีกว่า
ก็เลยจัดพอร์ตใหม่ตามภาพน่ะแหละครับ ย้อนกลับมาดูตอนปีแรก เงินเริ่มต้นสองแสน จนผ่านมา5ปีก็มีล้านแรกแล้ว(ในภาพผมไม่ได้นับรวมเงินสดนะครับ นับแค่มูลค่าหุ้นที่ถือเฉยๆ) ส่วนตัวที่เหลือก็ค่อยๆหาเงินทยอยซื้อไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าอาจตัดสินใจผิดไปบางตัว และบางตัวก็ซื้อแพงไป แต่โดยรวมไม่รู้สึกแย่กับตลาดหุ้นมากนัก เพราะเราทำเป้าหมายแรกได้สำเร็จแล้ว
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเล่นหุ้นตอนนี้
- การลงทุนไม่มีสูตรตายตัว ต้องดูเป็นcase by case เช่นตัวนี้จ่ายปันผลเยอะเพราะผลประกอบการดี อีกตัวอาจจะปันผลเยอะเพราะถูกบีบให้จ่ายหนักไรงี้
- หุ้นดีก็อย่าลืมดูตัวผู้บริหารด้วย ส่วนวิธีคงต้องดูตามวิธีการของตัวเราเอง พฤติกรรมผู้บริหารมันเป็นอะไรที่ตัดสินด้วยตัวเลขยากในสายตาของพวกเรา
- EPSขึ้น ราคาหุ้นขึ้น ปันผลขึ้นตาม ในทางปฎิบัติ=จริง(แต่ไม่ทุกครั้ง ประสบการณ์จะสอนให้เรากรองได้เอง)
- ต่อจากข้างบน วิธีผมคือถ้าราคาขึ้นแพงไป เช่นCPALL ก็ต้องดูว่าจะปันผลตามนโยบายปกติ(เช่นร้อยละ50ของกำไรสุทธิ)หรือปันผลให้%ของyieldมันตามกับราคาหุ้นมั้ย(เช่นราคาขึ้นเว่อร์ epsตามไม่ทัน แต่กลับจ่ายปันผลจ่ายเกิน eps แบบนี้ไม่ค่อยน่าซื้อ มีแนวโน้มว่าผู้บริหารอาจfocusที่ราคาหุ้นมากไป(มีแนวโน้มว่าเน้นจิตวิทยาการเงินมากกว่าผลประกอบการ) ทว่าเหตุผลที่focusอะไรแบบนี้มีทั้งฟังขึ้นและฟังไม่ขึ้น เพราะงั้นไม่ต้องด่าเค้า เสียเวลา)
- ต่อจากข้างบนอีกรอบ ไม่น่าซื้อเพราะเหมือนจ่ายปันผลหนักเพราะกลัวผู้ถือหุ้นเก่าเทขาย เลยต้องปันผลเยอะๆเลี้ยงผู้ถือหุ้นไว้ไม่ให้เทขาย ราคาหุ้นจะได้ไม่ลง(หรือลงน้อย) [ถ้าอิทธิพลผู้ถือหุ้นใหญ่สามารถผลักดันให้บริษัทเติบโตได้ กรณีแบบนี้มีผลกับบริษัทนะ คงเคยได้ยินบางประโยคในบอร์ดใช่มั้ยครับ ประมาณว่า “ผู้ถือหุ้นบีบบริษัทให้ปันผลเพิ่มขึ้น ไม่งั้นรายใหญ่นู่นนี่นั่นจะขายหุ้นทั้งหมด” อะไรแบบนี้ ดูเผินๆเหมือนก็ไม่มีอะไรนะ แต่หลังฉากไม่ใช่แค่หุ้นลงไง มันตัดสัมพันธ์ทางการค้าด้วย555 เพียงแต่เค้าไม่บอกให้ภายนอกอย่างเรารับรู้ไง เราเลยคิดว่า ก็แค่หุ้นลงเฉยๆ]
- แต่ถ้าลงแล้ว เค้าก็(อาจ)ปันผลให้น้อยลงตามไปด้วย อาจเพราะผลประกอบการไม่ดี กำไรน้อย ปันเลยน้อย หรืออาจเพราะที่ผ่านมาจ่ายปันผลหนักเลี้ยงผู้ถือหุ้นเก่าไว้เยอะแล้ว ตอนนี้ราคาลง เลยจ่ายน้อยลงเพื่อลดภาระบริษัท ก็ต้องดูเป็นcase by caseไป เพราะการลงทุนมันไม่มีสูตรและเหตุผลตายตัวอ่ะ(ความคิดตรงนี้ เริ่มจุดประกายผมทำให้เลี่ยงของแพงมากขึ้น555)
- ถ้าศึกษาอะไรซักอย่างไปนานๆ ถึงจุดนึงจะเริ่มมององค์ประกอบรอบข้างชัดขึ้น ช้าเร็ว แล้วแต่คน)
- บางครั้งการใส่ใจแบบข้างบนก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าที่เราทำอยู่มันไม่ใช่ทางจริงๆ
ตอนนี้ก็พยามศึกษาไปเรื่อยๆ เริ่มมองลู่ทางหาเงินหลายๆทาง ผิดถูกบ้างช่างมัน แต่สร้างทางเซฟของตัวเองไว้ให้ดีก็พอ ปีนี้สู้ๆนะครับทุกคน