ไม่มีปริญญา ผมใช้ประสบการณ์ค่อยๆสร้างอนาคต
เรื่องที่ผมจะแชร์ต่อไปนี้ จะเป็นการให้กำลังใจตัวเองและผู้อ่านทุกท่าน
มาทำให้โลกรู้จักคำว่า
“ความจน ไม่สามารถกลืนกินถ้าเราขยัน”
แต่กลับเป็นแรงพลักดันให้ผมต้อง(แอค)
ถีบ ตัวเอง เพื่อให้
หลุดพ้นจากคำๆนี้
(
สู้ต่อไป ท า เ ค ชิ ) !!!!!!!!!!!!
เชื่อสิ่งไหนจงทำในสิ่งนั้น
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมครับ
หากมีอะไรผิดพลาดขอใช้พื้นที่ตรงนี้กล่าวคำว่า
”ขอโทษ”ครับผม
ขอระลึกชาติก่อนน่ะคร้าบบบบบบบ จะได้ไม่ งง ว่าไอ้ที่เรียกว่าแย่มันแย่ขนาดไหน
.
.
.
เริ่มเลยแล้วกัน ^^
ชี วิ ต ผ ม ก็ เ ห มื อ น กั บ ค น อื่ น ๆ แหละ
อยากได้อยากมี



แต่ความจนมันทำให้ผมพลาดในหลายๆเรื่อง
ผมเป็นผู้ชายคนโต ของบ้าน มีพี่สาวสองคน(เรียนหนังสือทั้งคู่เลย) และมีน้องๆตัวเล็กๆอีก 4 คน พ่อทำงานคนเดียว
เรียกง่ายๆคือ เสาหลักของบ้านนั่นเอง บ้านทำธุรกิจเล็กๆ รับทำทุกอย่างเกี่ยวกับ เ ห ล็ ก แ ล ะ ส แ ต น เ ล ส
ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้านอย่างเดียวลูกเยอะเล็กๆทั้งนั้น ไหนจะทำงานบ้านอีก(งานแม่หนักพอๆกับพ่อเลย)
อ๋อ แม่ผมทอดข้าวเกรียบไปส่งตามร้านด้วยน่ะครับ ถุงละบาทสองบาทสมัยนั้น ^^

เหมือนจะHappy ดีใช่ไหมละครับ
.
.
เปล่าเลย....แค่เหมือนจะดีแต่สถานการณ์ตอนนั้นไม่ใช่ไม่ดี เรียกว่าแย่ก็ยังได้
พี่สาวเรียนก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ค่าโน่นนี่นั่น ประหยัดเท่าที่จะประหยัดได้
.
.
ส่วนผมไม่ได้เรียน ม.ต้นให้จบ เพราะผมเลือกที่จะทำงาน
(เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเท่าไหร่) ผมเรียนหนังสือไม่เก่ง
และสมัยนั้นจำเป็นต้องหยุดเรียนเพื่อทำงานแลกเงิน
แ ต่ ต อ น นี้
จบ ม.6 แล้วนะคร้าบบบบบบ(ภูมิใจมาก) 

แต่กว่าจะจบไม่ง่ายเลย...
สำหรับผม ผมจบตอน อายุ 21
นั่นหมายความว่า
ผมเพิ่งจบ ม.6 เมื่อต้นปี 2558
(ทุกท่านคงได้ทราบอายุของผมแล้วเป็นนัยน์ๆฮ๋าาาาาาาา)
หน้าผมอาจจะล้ำหน้าอายุไปนิดนึง
คิดไว้ว่า "ถ้ารวยเมื่อไหร่เดี๋ยวหน้ามันก็หล่อใสขึ้นมาเอง"
ส่วนตอนนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดไปก่อน
(ความคิดไม่แพ้พระเอกในทีวีไม๊ละคร้าบบบบบบอิอิขำๆน่ะ)

ชีวิตยังไม่จบ การเรียนจบคือการเริ่มต้น
"
"
ผมก็ยังต้องทำงานเดิม ที่เดิม ช่วยกันทำกับพ่อสองคน มีพี่สาวมาช่วยทาสีบ้างดัดเหล็กบ้าง
ผมกับพี่ๆช่วยกันทาสีตลอดหลังจากที่พ่อประกอบร่างทุกอย่างเสร็จ ทุกคนได้วิชาการเป็นนายช่างเบื้องต้นครบสูตร ^^
สมัยนั้นเป็นช่วงที่ครอบครัวเจอจุดที่ดิ่งลงต่ำที่สุด พ่อทำงานหนักจนสายตามีปัญหาเกิดจากการเชื่อมเหล็กติดต่อกันหลายๆปีสุขภาพก็ไม่สู้ดี ร้านก็มีงานน้อยลงเพราะพ่อป่วย ทุกอย่างเริ่มแย่ลง สถานการณ์ยิ่งบีบคั้น
เครียดเอาหนัก มีงานเข้าแต่ไม่มีเงินลุงทุน เงินมัดจำงานเอามาหมุนใช้ (แย่มากกกกกกกก)
กินข้าวต้มกับน้ำปลาผมกินจนจำรสมันได้ ผักบุ้ง 1 กำ ยังแพงสำหรับพวกเราตอนนั้น
ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายหมดครับ คนที่เครียดที่สุดคนไม่ใช่ผมแน่ๆ กลับเป็นพ่อกับแม่แบกรับทุกอย่าง
พ่อทำทุกวิธีที่จะทำให้พวกเรามีกินมีใช้ แม่ก็แบกหน้าไปหยิบยืมจากญาติ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
หนีไม่พ้น คำนินทา แต่ทำยังไงได้หล่ะครับ แต่ชีวิตพวกเราไม่ได้จบอยู่แค่นี้ >>>>
พ่อไปเจอแหล่งขุมทรัพย์ ขุมทรัพย์จริงๆเลยน่ะ มันคือ ริมทะเล ทางเข้ารกมาก ต้องแว้นผ่าน ดินลื่นๆเหนียวๆ
ป่ารกข้างทาง เปลี่ยวเอาการ ไม่ค่อยมีคนเข้าไปหรอกครับ
"ในน้ำมีปลาในนามีข้าว" ปัตตานีมีแหล่งอาหารที่สมบูรณ์มากครับ
" ใ น ค ว า ม โ ช ค ร้ า ย ยั ง มี ค ว า ม โ ช ค ดี "
พ่อกับแม่ไปหากุ้งหอยปูปลา หลังๆเพิ่งจะชวนผมไป และ มีพี่สาวสองคนตามมาทีหลัง
ยังจำได้อยู่เลย พ่อแม่ผมและพี่สาว ซ้อนท้าย รถมอร์เตอร์ไซค์คันเก่งเก่าๆ
เพื่อไปหลังสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์(จ.ปัตตานี) ไปจับกุ้ง กุ้ง กุ้ง
"ผ ม ไ ด้ เ รี ย น รู้ วิ ธี ก า ร จั บ กุ้ ง แ ล ะ ก า ร ดั ก ป ล า จ า ก พ่ อ ก็ ค ร า ว นี้ แ ห ล ะ"

ต อ น นั้ น ส นุ ก ม า ก ยิ่งตอนคลำเจอหนวดกุ้ง ลุ้นตัวโก่ง ค่อยๆจับกลับมันจะดิ้นหลุดไป
ครอบครัวผมเป็นกลุ่มแรกๆที่ไปจับกุ้งแถวนั้น แต่เพียงไม่นานก็มีอีกหลายๆกลุ่มตามมาเยอะเลย
ทะเลกว้างใหญ่ แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ จับเท่าที่อยากกิน เราเลยได้หม่ำๆปลา,กุ้งทะเลสดๆทุกวัน (บางวันโชคดีพ่อก็จับปูได้)
ผมกับพี่ๆมีอุปกรณ์เก็บกุ้งที่พ่อทำมาจากขวดน้ำให้คนละขวด ปลิ้มมากกกกกกกกกก
สมัยนั้นก็ดำน้ำดื่มด่ำไม่สนว่าจะดำหรือคล้ำ รู้แค่ว่าก่อนตะวันตกดินเราต้องทำสถิติ !!!!!!
โชว์กุ้งใครได้มากกว่ากัน พ่อผมชนะทุกครั้ง ได้เยอะกว่าตลอดดดดดดดดดด
เมนูหลักๆที่แม่ทำให้หม่ำๆก็คือ....
ปลาเค็มทอด ผัดผักบุ้ง มีกุ้ง ต้องแบบนี้ สามมื้อ ทุกวัน หลายเดือน เบื่อก็ต้องกิน ยังดีที่มีกิน
เราไม่ค่อยใช้ตังค์(เพราะไม่มีให้ใช้) พูดแล้วก็อยากกินอีก

ปู่ ย่า คอยเอาผักบุ้งมาให้บ้าง โชคดีที่ ญาติๆส่วนใหญ่ก็เมตตาครอบครัวเรา
"พระคุณที่ไม่มีวันลืม"
ขอบคุณพี่กุ้งด้วยคร้าบบบบบบบบที่ยอมให้ผมจับดีดีแม้จะแทงมือผมไปหลายรอบ
^_____________________^
สวนสมเด็จฯตอนนั้นยังไม่มี ร้านอาหารมาวางขายและไม่มีใครมาเปิดธุรกิจขายของเหมือนทุกวันนี้...
อากาศยังดีเหมือนเดิม ที่เติ่มเติมคือกลายเป็นที่ท่องเที่ยวชื่อดังของชาวปัตตานีไปแล้ว....
แต่ชีวิตผมยังไม่จบแค่นั้น...หลังจากที่สนุกกับการจับกุ้งแล้ว...
#เดี๋ยวมาต่อใหม่นะครับ ^^
ปล.เสียดายที่สมัยนั้นบ้านเราไม่มีกล้อง ไม่งั้นจะเอารูปมาลงแล้ว อิอิ
ไม่มีปริญญา จึงใช้ประสบการณ์ค่อยๆสร้างอนาคต(เด็กปัตตานี)
เรื่องที่ผมจะแชร์ต่อไปนี้ จะเป็นการให้กำลังใจตัวเองและผู้อ่านทุกท่าน
มาทำให้โลกรู้จักคำว่า “ความจน ไม่สามารถกลืนกินถ้าเราขยัน”
แต่กลับเป็นแรงพลักดันให้ผมต้อง(แอค)ถีบ ตัวเอง เพื่อให้หลุดพ้นจากคำๆนี้
(สู้ต่อไป ท า เ ค ชิ ) !!!!!!!!!!!!
เชื่อสิ่งไหนจงทำในสิ่งนั้น
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมครับ
หากมีอะไรผิดพลาดขอใช้พื้นที่ตรงนี้กล่าวคำว่า”ขอโทษ”ครับผม
ขอระลึกชาติก่อนน่ะคร้าบบบบบบบ จะได้ไม่ งง ว่าไอ้ที่เรียกว่าแย่มันแย่ขนาดไหน
.
.
.
เริ่มเลยแล้วกัน ^^
ชี วิ ต ผ ม ก็ เ ห มื อ น กั บ ค น อื่ น ๆ แหละ
อยากได้อยากมี
ผมเป็นผู้ชายคนโต ของบ้าน มีพี่สาวสองคน(เรียนหนังสือทั้งคู่เลย) และมีน้องๆตัวเล็กๆอีก 4 คน พ่อทำงานคนเดียว
เรียกง่ายๆคือ เสาหลักของบ้านนั่นเอง บ้านทำธุรกิจเล็กๆ รับทำทุกอย่างเกี่ยวกับ เ ห ล็ ก แ ล ะ ส แ ต น เ ล ส
ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้านอย่างเดียวลูกเยอะเล็กๆทั้งนั้น ไหนจะทำงานบ้านอีก(งานแม่หนักพอๆกับพ่อเลย)
อ๋อ แม่ผมทอดข้าวเกรียบไปส่งตามร้านด้วยน่ะครับ ถุงละบาทสองบาทสมัยนั้น ^^
เหมือนจะHappy ดีใช่ไหมละครับ
.
.
เปล่าเลย....แค่เหมือนจะดีแต่สถานการณ์ตอนนั้นไม่ใช่ไม่ดี เรียกว่าแย่ก็ยังได้
พี่สาวเรียนก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ค่าโน่นนี่นั่น ประหยัดเท่าที่จะประหยัดได้
.
.
ส่วนผมไม่ได้เรียน ม.ต้นให้จบ เพราะผมเลือกที่จะทำงาน (เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเท่าไหร่) ผมเรียนหนังสือไม่เก่ง
และสมัยนั้นจำเป็นต้องหยุดเรียนเพื่อทำงานแลกเงิน
แ ต่ ต อ น นี้ จบ ม.6 แล้วนะคร้าบบบบบบ(ภูมิใจมาก)
แต่กว่าจะจบไม่ง่ายเลย...
สำหรับผม ผมจบตอน อายุ 21
นั่นหมายความว่า
ผมเพิ่งจบ ม.6 เมื่อต้นปี 2558
(ทุกท่านคงได้ทราบอายุของผมแล้วเป็นนัยน์ๆฮ๋าาาาาาาา)
หน้าผมอาจจะล้ำหน้าอายุไปนิดนึง
คิดไว้ว่า "ถ้ารวยเมื่อไหร่เดี๋ยวหน้ามันก็หล่อใสขึ้นมาเอง"
ส่วนตอนนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดไปก่อน
(ความคิดไม่แพ้พระเอกในทีวีไม๊ละคร้าบบบบบบอิอิขำๆน่ะ)
ชีวิตยังไม่จบ การเรียนจบคือการเริ่มต้น
"
"
ผมก็ยังต้องทำงานเดิม ที่เดิม ช่วยกันทำกับพ่อสองคน มีพี่สาวมาช่วยทาสีบ้างดัดเหล็กบ้าง
ผมกับพี่ๆช่วยกันทาสีตลอดหลังจากที่พ่อประกอบร่างทุกอย่างเสร็จ ทุกคนได้วิชาการเป็นนายช่างเบื้องต้นครบสูตร ^^
สมัยนั้นเป็นช่วงที่ครอบครัวเจอจุดที่ดิ่งลงต่ำที่สุด พ่อทำงานหนักจนสายตามีปัญหาเกิดจากการเชื่อมเหล็กติดต่อกันหลายๆปีสุขภาพก็ไม่สู้ดี ร้านก็มีงานน้อยลงเพราะพ่อป่วย ทุกอย่างเริ่มแย่ลง สถานการณ์ยิ่งบีบคั้น
เครียดเอาหนัก มีงานเข้าแต่ไม่มีเงินลุงทุน เงินมัดจำงานเอามาหมุนใช้ (แย่มากกกกกกกก)
กินข้าวต้มกับน้ำปลาผมกินจนจำรสมันได้ ผักบุ้ง 1 กำ ยังแพงสำหรับพวกเราตอนนั้น
ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายหมดครับ คนที่เครียดที่สุดคนไม่ใช่ผมแน่ๆ กลับเป็นพ่อกับแม่แบกรับทุกอย่าง
พ่อทำทุกวิธีที่จะทำให้พวกเรามีกินมีใช้ แม่ก็แบกหน้าไปหยิบยืมจากญาติ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
หนีไม่พ้น คำนินทา แต่ทำยังไงได้หล่ะครับ แต่ชีวิตพวกเราไม่ได้จบอยู่แค่นี้ >>>>
พ่อไปเจอแหล่งขุมทรัพย์ ขุมทรัพย์จริงๆเลยน่ะ มันคือ ริมทะเล ทางเข้ารกมาก ต้องแว้นผ่าน ดินลื่นๆเหนียวๆ
ป่ารกข้างทาง เปลี่ยวเอาการ ไม่ค่อยมีคนเข้าไปหรอกครับ
"ในน้ำมีปลาในนามีข้าว" ปัตตานีมีแหล่งอาหารที่สมบูรณ์มากครับ
" ใ น ค ว า ม โ ช ค ร้ า ย ยั ง มี ค ว า ม โ ช ค ดี "
พ่อกับแม่ไปหากุ้งหอยปูปลา หลังๆเพิ่งจะชวนผมไป และ มีพี่สาวสองคนตามมาทีหลัง
ยังจำได้อยู่เลย พ่อแม่ผมและพี่สาว ซ้อนท้าย รถมอร์เตอร์ไซค์คันเก่งเก่าๆ
เพื่อไปหลังสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์(จ.ปัตตานี) ไปจับกุ้ง กุ้ง กุ้ง
"ผ ม ไ ด้ เ รี ย น รู้ วิ ธี ก า ร จั บ กุ้ ง แ ล ะ ก า ร ดั ก ป ล า จ า ก พ่ อ ก็ ค ร า ว นี้ แ ห ล ะ"
ต อ น นั้ น ส นุ ก ม า ก ยิ่งตอนคลำเจอหนวดกุ้ง ลุ้นตัวโก่ง ค่อยๆจับกลับมันจะดิ้นหลุดไป
ครอบครัวผมเป็นกลุ่มแรกๆที่ไปจับกุ้งแถวนั้น แต่เพียงไม่นานก็มีอีกหลายๆกลุ่มตามมาเยอะเลย
ทะเลกว้างใหญ่ แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ จับเท่าที่อยากกิน เราเลยได้หม่ำๆปลา,กุ้งทะเลสดๆทุกวัน (บางวันโชคดีพ่อก็จับปูได้)
ผมกับพี่ๆมีอุปกรณ์เก็บกุ้งที่พ่อทำมาจากขวดน้ำให้คนละขวด ปลิ้มมากกกกกกกกกก
สมัยนั้นก็ดำน้ำดื่มด่ำไม่สนว่าจะดำหรือคล้ำ รู้แค่ว่าก่อนตะวันตกดินเราต้องทำสถิติ !!!!!!
โชว์กุ้งใครได้มากกว่ากัน พ่อผมชนะทุกครั้ง ได้เยอะกว่าตลอดดดดดดดดดด
เมนูหลักๆที่แม่ทำให้หม่ำๆก็คือ....
ปลาเค็มทอด ผัดผักบุ้ง มีกุ้ง ต้องแบบนี้ สามมื้อ ทุกวัน หลายเดือน เบื่อก็ต้องกิน ยังดีที่มีกิน
เราไม่ค่อยใช้ตังค์(เพราะไม่มีให้ใช้) พูดแล้วก็อยากกินอีก
ปู่ ย่า คอยเอาผักบุ้งมาให้บ้าง โชคดีที่ ญาติๆส่วนใหญ่ก็เมตตาครอบครัวเรา
"พระคุณที่ไม่มีวันลืม"
ขอบคุณพี่กุ้งด้วยคร้าบบบบบบบบที่ยอมให้ผมจับดีดีแม้จะแทงมือผมไปหลายรอบ
^_____________________^
สวนสมเด็จฯตอนนั้นยังไม่มี ร้านอาหารมาวางขายและไม่มีใครมาเปิดธุรกิจขายของเหมือนทุกวันนี้...
อากาศยังดีเหมือนเดิม ที่เติ่มเติมคือกลายเป็นที่ท่องเที่ยวชื่อดังของชาวปัตตานีไปแล้ว....
แต่ชีวิตผมยังไม่จบแค่นั้น...หลังจากที่สนุกกับการจับกุ้งแล้ว...
#เดี๋ยวมาต่อใหม่นะครับ ^^
ปล.เสียดายที่สมัยนั้นบ้านเราไม่มีกล้อง ไม่งั้นจะเอารูปมาลงแล้ว อิอิ