ปัญหาเรื่องการทำงานของบริษัทที่บ้านกับน้อง และการแบ่งสมบัติ ขอความเห็นครับ

ก่อนอื่นต้องบอกว่าเล่น Pantip มาตั้งแต่ปี 2002 ครับ แต่ต้องเอา Login ใหม่มาตั้งกระทู้ เพราะกลัวเพื่อนจะรู้ความในบ้าน ส่วนน้องผมที่เล่น Pantip ประจำก็คงได้อ่าน ก็ถือว่าผมจะบอกกล่าวอีกทางละกัน เพราะว่าตั้งแต่หัวค่ำที่ยังไม่ทันกินข้าวเสร็จก็ทะเลาะกันแล้วขับรถออกไปเลย ก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย หวังว่าจะเข้าใจพี่อย่างผมด้วยนะครับ

ใครจะว่าผมใจร้ายก็ว่าได้นะครับ แต่ขอให้อ่านละเอียดนิดนึงก่อนว่าผมครับ

เรื่องมีอยู่อย่างนี้ครับ

ตัวผมเรียนจบป.ตรีจากมหาลัยราม ตอนเอนทรานต์ ไม่ติดครับ เพราะไม่ฉลาด เลือกคณะที่เรียนง่าย ไม่ได้หวังไปทำงานบริษัทอะไร เพราะหวังว่าจะสานต่อธุรกิจที่บ้านตั้งแต่สมัยเด็กอยู่แล้วครับ โดยผมทำเต็มตัวตั้งแต่ปี 2007 ครับ ธุรกิจก็ขยายตัวเรื่อยมา น้องสาวผมจบมหาลัยอันดับนึงของไทย ได้เกียรตินิยม เรียนจบหลังจากผมได้ 3 ปีครับ พ่อแม่ภูมิใจมาก ผมเองตรงนี้ผมรู้สึกด้อยค่าอยู่ทุกวันที่พ่อแม่ไม่เคยเห็นเรามีคุณค่าเลย แต่ก็รู้สึกแค่ตอนลูกค้าชมถามว่าน้องผมจบจากที่นี่เลยเหรอ แล้วผมจบอะไร แล้วก็มีการเปรียบเทียบเท่านั้น

พอน้องสาวผมจบ ผมก็ถามว่าจะมาทำงานที่บ้านเลยไหม เพราะผมทำงานคุมทีมเซลล์อยู่ เหนื่อยมาก ต้องการหาคนช่วย ผมจะโฟกัสไปที่การหาของมาขายแทน น้องผมบอกไม่อยากติดต่อคนเยอะ ขอทำงานภายใน ซึ่งตอนนั้นบ้านผม ยังไม่ได้ตั้งเป็นบริษัทเลยด้วยซ้ำ ก็เลยไม่รู้จะให้มาทำอะไร น้องก็เลยไปทำอยู่กับบริษัทใหญ่ก่อน ทำได้ไม่ถึงปี ก็ลาออกไปเรียนต่อ

น้องผมไปเรียนมากมายเต็มไปหมด ไปตั้งแต่ ออสเตรเรีย > อเมริกา และมาสุดท้ายที่อังกฤษ ซึ่งค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนนั้นสูงเป็นแสนๆ บาทเลย เพราะน้องผมบอกต้องการโฟกัสไปที่การเรียนอย่างเดียว ไม่หางานทำ อยากได้เกรดดีๆ สุดท้ายจบมาตั้งแต่ปีก่อนโน้น จะให้มาทำงานที่บ้านก็ยังไม่มา บอกขอใช้ชีวิตเพื่อการท่องเที่ยวก่อน ผมก็โอเค ให้เปิดโลกใหม่ๆ ไปเที่ยวทุกเดือน ไปน่าจะ 10 กว่าประเทศได้แล้วครับ

พอมาสิ้นปีนี้ ผมไม่รู้ว่าเป็นยังไงเพราะไม่ได้คุยกับน้องมากนัก ขนาด facebook ส่วนตัวของน้องผม เขายัง unfriend ผมเลย ผมเลยไม่ค่อยรู้อะไรมาก แต่พอมาคุยว่าให้ทำงานที่บ้าน ตำแหน่งอะไรก็ได้ ขอแค่ลดภาระของผมไปได้ส่วนนึง สรุปคือ ไม่มาทำ และไปสมัครงานที่บริษัทใหญ่ไว้แล้ว และเขารับทำงานโดยจะไปเริ่มงานวันแรกวันที่ 4 นี้แล้ว และจะมาขอให้พ่อผมให้เปลี่ยนรถให้ใหม่ด้วย เพราะงานของน้องผมต้องเดินทางไประหว่างสาขา รถที่ใช้อยู่กินน้ำมันมาก (ตอนกลับมาผมให้เลือกรถเลย เอารถคันไหนของผมไปใช้ก็ได้ น้องผมเลือกเอา Impreza STI A-Line ไปใช้) ผมบอกขอรถใหม่ให้ไม่ได้ ถ้าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนคันไหนของที่บ้านไปก็ได้ น้องผมก็บอกว่าไปรูดบัตรเครดิตจอง ActiveHybrid 5 ไว้สองแสนแล้ว เพราะได้ส่วนลดเยอะ และไม่กินน้ำมัน ผมก็โวยวายเลย เพราะมันเรื่องอะไรที่ผมต้องไปออกเงินซื้อรถ เพื่อให้น้องไปใช้ในการทำงานเพื่อบริษัทอื่น

น้องผมเลยยกเรื่องแฟนผมมาเป็นประเด็น บอกทำไมแฟนผมซื้อ 420i ได้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไร แล้วก็บินไปนอกบ่อยเหมือนกัน (แฟนผมบินไปจีนอย่างเดียว เพื่อหาของมาขาย) แล้วก็ยังไม่ได้แต่งงานด้วย มาหลอกเอาเงินหรือเปล่า แฟนผมอายุน้อยกว่าเลยไม่กล้าเถียง แต่ก็ร้องไห้ ผมยิ่งโมโหหนัก

พอเถียงกันไปมากลางร้านอาหาร น้องผมบอก ให้คำนวนมูลค่าบริษัท และ ทรัพย์สินอื่นๆ ณ วันนี้เลย แล้วหาร 2 ให้ผมหาเงินไปจ่ายให้ ไม่เกินกลางเดือนนี้ แล้วก็ขับรถออกไปเลย โทรศัพท์ก็ปิดเครื่อง ใน Line ขึ้นสเตตัสว่า ครอบครัวบัดซบ ผมเห็นแล้วอยากจะเรียกกลับมาด่า

ตอนก่อนมาโพสต์กระทู้นี้
1. ผมยังเคลียร์กับแฟนไม่ค่อยจะได้ เพราะแฟนผมบอกว่า เขาก็เหนื่อยนะ ทำงานเขาก็ทุ่มเท บริษัททำกำไรได้เป็นส่วนใหญ่ ตรงส่วนนี้ก็ควรจะกลับมาหาเราหรือเปล่า แล้วก็มาว่าผมเรื่องแต่งงานอีก คือ ผมไม่แต่งงานสักที ผมไม่อยากออกงาน เชิญแขกอะไรไร้สาระ ผมบอกว่าถ้าจดทะเบียนสมรสอย่างเดียวผมโอเค แต่ถ้าต้องจัดงานแต่งงานด้วยผมยังไม่พร้อม ก็ทะเลาะกันไปอีก
2. พ่อกับแม่ผมบอกว่า จะแบ่งหุ้นในบริษัทใหม่ จากเดิมผมถือ 99% แบ่งเป็น ผมถือ 49% น้องผมถือ 49% และพ่อถือ 1% และแม่ถือ 1% ตรงนี้ผมไม่ยอม เพราะธุรกิจแม้ผมรับมาต่อจากที่บ้าน แต่บริษัทมันเติบโตขึ้นมากก็เพราะผมมันมา ผมบอกว่าถ้ามรดกจะแบ่งก็ควรจะคำนวนจาก ณ วันที่น้องผมเรียนจบ แล้วไม่อยากมาทำงานที่บ้าน ณ วันนั้น มีทรัพย์เท่าไหร่ หารกันไปเลย (ซึ่งตอนนั้นมีไม่มาก) ไม่ใช่มาคำนวนตอนวันที่ผมสร้างบริษัทจนเติบโตมาจนถึงวันนี้ แล้วผมรู้สึกเกลียดมากเลย คำพูดที่ว่า ไม่มาทำงานที่บริษัทผมหรอก เพราะอายเพื่อน
3. พ่อกับแม่ผมบอกว่า น่าจะจ่ายเงินเดือนให้น้องผมด้วย เพราะไปทำงานบริษัทอื่น เงินเดือนคงไม่พอ พ่อผมจะจ่ายให้อีกเดือนละสามหมื่น พร้อมจ่ายบัตรเครดิตเหมือนเดิม ผมบอกว่าไม่จ่าย เพราะรถก็มีให้ขับ บ้านก็มีให้เลือกอยู่หลายที่ ไม่ต้องเช่า แม่บ้านก็มีให้ ไม่ต้องจ่ายค่าอะไรเลย ถ้าบริหารดีๆ เงินก็น่าจะพอ แล้วบัตรเครดิตก็จะไม่จ่ายให้ด้วย เพราะที่ผ่านมาจ่ายบัตรเครดิตให้ทุกเดือน เดือนละแสนกว่าบาท บางเดือนเด้งไปสามแสนกว่า ใช้เยอะซะจนเอาแต้มไปแลกไมล์มาอัพเกรดตั๋วได้ทุกครั้งที่บิน
4. ผมจะตัดปัญหาเรื่องแบ่งมรดกเลย โดยผมจะยอมเอาเงินเก็บที่ผมมีทั้งหมด (เกือบ 10 ล้าน) เอาให้ไปหมดเลย โอนบ้านที่น้องผมต้องการให้ 1 หลัง แล้วจะผ่อน ActiveHybrid 5 ที่ต้องการให้ด้วย แต่จากนี้อย่ามายุ่งกันอีก แต่แม่ผมบอกว่า เป็นพี่น้องกัน อย่าตัดขาดจากกันเลย แล้วแม่ผมก็ร้องไห้เสียใจว่าถ้าทำธุรกิจจนเติบโตแล้วลูกๆ ต้องมาทะเลาะกันแบบนี้ สู้ทำธุรกิจเล็กๆ แบบเดิมดีกว่า ผมก็งงว่าแม่คิดมาได้ยังไง

ผมขอจบแค่นี้ครับ อยากถามใครมีประสบการณ์ใกล้เคียงกัน ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับ ว่าแก้ปัญหากันยังไงบ้าง คือ ผมโพสต์ก็พูดทางนึง ถ้าเป็นน้องผมโพสต์ก็คงจะต่อว่าผมว่าไม่ดูแลเขาดีเหมือนเป็นคนในครอบครัวมั๊ง เอาเป็นว่าขอแชร์ประสบการณ์ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
ตอนเเรกอ่านของจขกท ชั่งใจอยู่ว่าเชื่อได้มากเเค่ไหน ยังไม่ออกความเห็น พอมาอ่านของน้อง จขกท อยากบอกเลยว่า
น้องคุณโดน spoil อย่างมาก แถมยังไม่มีความเคารพ อีกต่างหาก เรื่องอื่นไม่ออกความเห็น เพราะไม่รู้เป็นการป้ายสีกันหรือไม่ แต่ตามที่อ่านจากน้องเขียนเอง น้องจขกทเป็นคนเห็นแก่ตัวคนนึงทีเดียว อยากเรียน แต่รถต้องเทียบเท่ากับเพื่อน ใช้เงินมากมายสุดท้ายเอามาเพิ่ม port ให้ตัวเอง กลับมาแทนที่จะช่วยแบ่งเบาได้บ้าง กลับอยากได้ bm ใหม่ แต่ทำงานที่อื่น คือจะให้ส่งเสียจนแก่เลยว่างั้น  สงสัยจริงๆที่ดูถูกพี่ชายเนี่ย ไม่ละอายใจหรอ ถ้าไม่มีพ่อเเม่พี่เป็นได้เเค่เซลแมน พูดมาได้ยังไง หนักไม่เอาเบาไม่สู้ยังดูถูกคนอื่นอีก เท่าที่อ่านมามีเเต่ me me me อีโก้ยังทะลุเพดานเเล้วอีกอย่างเป็น เจ้าของบริษัทต้องทำงานมากกว่าลูกน้องอยู่เเล้ว นอกเสียจากว่าทุกอย่างอยู่ตัว ระบบเริ่ด ไม่ต้องเข้าก็ได้
    ส่วนคุณจขกท มี connection เเล้วขายของเก่ง ยังไงก็รวย ขอให้มั่นใจในตัวเองมากๆนะคะ ถึงไม่ใช่บริษัทนี้คุณก็ต้องรวยอยู่เเล้ว เพราะคุณมี process เเละ จับจุดสำคัญของการทำธุรกิจได้ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ยังไงเสีย บริษัทนี้พ่อเเม่คุณก็เป็นคนสร้าง เค้าจะตัดสินใจอย่างไรควรให้เป็นสิทธิของเค้า เเล้วไม่ควรนำแฟนเข้าไปออกความเห็นใดๆมากนัก ธุรกิจของครอบครัวจะได้ไม่มีปัญหามากกว่าที่มันเป็นอยู่นะคะ
ความคิดเห็นที่ 13
หยั่งกะอ่านเรื่องตัวเอง 555555+

โอเคใจเย็นๆก่อนครับ

ผมเองมีน้องสาวอยู่ คนเดียว ผมเป็นพี่คนโต เป็นหลานคนโตของตระกูลด้วย
คงไม่ต่างจากคุณเท่าไหร่หรอก เรื่องเปรียบเทียบลูกบ้านนั้นบ้านนี้ ผมโคตรเบื่อเลยสมัยนั้นน่ะ(ทั้งๆที่ผมเป็นฝ่ายถูกยกให้ดีกว่า)

ถ้าพูดแบบตรงๆก็คือ ผมเรียนเก่งกว่าน้องเยอะ แต่ผมก็เลือกที่จะไม่เรียนต่อโท
เพราะผมคิดแบบคุณแลยครับ ลูกชายคนโตอย่างพวกเรา ทนได้ที่ไหนที่ให้ป๊ากับม๊าลำบาก(ผมเหลือม๊าคนเดียวแล้วด้วย)

ผมจบตรีมา ผมก็มุ่งมาทำงานที่บ้านเลย ทั้งๆในใจผมก็อยากออกไปทำอะไรของตัวเอง
สร้างเอง วางระบบเอง เหนื่อยเอง แต่อย่างน้อยก็เป็นของเรา อยากเรียนต่ออย่างที่ฝัน

แต่เราก็คงต้องเลิก มโนเพราะ คำว่าลูกชายคนโต มันค้ำคอ ภาระนี้ใครไม่เป็นไม่มีทางรู้หรอก

น้องสาวผมก็เรียนดีครับ ตอนจบตรีผมก็นึกว่า จะได้มีคนมาช่วยที่บ้านซักที ที่ไหนได้ไปเรียนต่ออย่างไว
ธุรกิจที่บ้านพวกเรามีศักยภาพ แค่มันไม่มีคนช่วยแค่นั้นแหละ
ยิ่งจะหาคนที่ไว้ใจได้เรื่องเงินๆทองๆ ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัว จะหาจากไหน

ผมก็มองเหมือนคุณว่ามันยังไปได้อีกไกล ขอแค่มีคนช่วยแบ่งเบาเถอะ
แต่น้องผมต่างจากคุณตรงที่มันไม่ค่อยใช้เงินเท่าไหร่ (เผลอๆประหยัดกว่าผมอีก)

โอเคกลับมาเรื่องของคุณกัน

ม๊าสอนผมไว้อย่างนึงครับ

"ถ้าม๊ารวยแล้วทำให้หนูๆต้องทะเลาะกัน ครอบครัวไม่มีความสุข ม๊าก็เสียใจที่เลี้ยงพวกหนูมาไม่ได้อย่างที่ม๊าหวัง
ป๊าหนูก็ชิงไปสบายก่อนม๊าแล้ว ม๊ามีแค่พวกหนู ถ้าครอบครัวเราไม่มีความสุข ความพยายามของม๊า 20กว่าปี ก็สูญเปล่า"

ผมเจอคำนี้ไปผมจุกเลยล่ะ

แต่ก่อนผมก็คิดแบบคุณ ทำไมน้องไม่สนใจที่บ้านเลยวะ ทำไมเราต้องทำอะไรแบบนี้คนเดียว
พวกเรามันนักธุรกิจครับ เราคิดเรื่องความคุ้มค่า เป็นหลัก

เราคิดว่าน้องของเราคือทรัพยากรบุคคลที่ดี ถ้าเราตายไป วันนึงมันก็จะมาทำแทนเราได้(ถ้าเราสอนมันดีๆ)

แต่วิธีคิดเหล่านั้น มันใช้ไม่ได้กับคนในครอบครัวครับ
ผมอยากให้คุณเริ่มจาก ปล่อยวางน้องเถอะ

มันอยากทำอะไรให้มันทำ อยากใช้ชีวิตแบบไหนให้มันเลือกเอง น้องคุณยังเด็ก แบบที่คุณกับผมคิดนี่แหละว่ามันเด็ก
อายุหรือการศึกษาไม่ได้เป็นตัวกำหนด EQ ของคนหรอก ขึ้นอยู่กับคนล้วนๆ น่าเศร้าที่พวกเราสอนคนอื่นได้ แต่สอนน้องตัวเองไม่ได้
มันเป็นความล้มเหลวของเราเองครับ อย่าโทษใครเลย

เริ่มจาก ต้องพูดดีๆใจเย็นๆ นิ่งๆ พยายามคุมอารมณ์ ถามน้องตรงๆว่าจะมาช่วยเรามั้ย ถ้าไม่ช่วยก็คือไม่ช่วย เฮียไม่ห้าม
(เราจะได้ move องค์กรเราถูกซักทีว่ากิจการเราจะไม่มีมันนะ ไม่ใช่ปล่อยให้เราหวังล้มแล้งๆว่าจะมีคนช่วย)

ถ้าคำตอบคือช่วย ก็ค่อยมาคุยรายละเอียด

แต่ถ้าไม่ช่วย ก็คือจบ

เรื่องค่าใช้จ่ายของน้อง ผมว่าให้น้องไปทำงานเองเลยครับ
บอกเฮียให้เงิน ให้รถ ให้บ้านไปให้มันอยู่ แล้วหลังจากนี้ เฮียจะไม่ช่วยเรื่องเงินอะไรอีก

ลองไปใช้ชีวิตของตัวเองอย่างที่อยากทำดู ต่อจากนี้เฮียจะไม่ว่าไม่บ่น

เงินทองเสียไป หาใหม่ได้ แต่เฮียเสียเอ็งไปไม่ได้ วันนี้เอ็งคิดแบบนี้
แต่เฮียเชื่อว่าวันนึงเอ็งจะต้องรู้ว่าที่เฮียเหนื่อยมาขนาดนี้ เพื่ออะไร
คำว่าความสุขคืออะไร ลองไปหาความหมายของมันดู

พี่น้องกันอย่าตัดขาดกันครับ
น้องมันยังเด็ก ให้โอกาสมันได้ไปเจ็บอย่างที่มันอยากลองเถอะ
(วันนึงถ้าเค้าคิดได้ เค้าจะกลับมาครับ ยังไงมันก็น้องเรา)

ทำให้ครอบครัวมีความสุข อย่างอื่นจะดีเองครับ

เราโตแล้ว ผมเชื่อว่า เราทำบริษัทได้ โดยที่ไม่มีน้องได้อยู่แล้ว
แค่เราคาดหวังกับน้องมันมากเกินไป จนเราลืมคิดไปว่าเราเห็นแก่ตัวไปรึเปล่า

เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดดีกว่า

สู้ๆครับ
ความคิดเห็นที่ 34
ไปอ่านกระทู้ของน้องสาวมาแล้ว ขอแนะนำดังนี้ค่ะ

1. จขกท.และพ่อแม่ต้องใจแข็งค่ะ บอกน้องไปเลยว่าโตแล้ว จงหาเงินเอง เพราะคนเป็นผู้ใหญ่เขาทำกันแบบนั้น ให้รถคันเดียวพอ ห้ามให้หุ้น ปิดบัตรเครดิต ห้ามซัพพอร์ตยกเว้นน้องเจ็บป่วย นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำเลยค่ะ เพราะที่ผ่านมาน้องคุณไม่รู้ว่า "การหาเงินให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิตมันลำบากแค่ไหน" เตือนพ่อแม่นะคะว่าถ้ายอมให้หุ้น ยอมให้เงินซัพพอร์ต น้องคุณจะเป็นเด็กตลอดไป อนาคตน้องจะเดือดร้อนยิ่งกว่านี้เพราะจมไม่ลง ทั้งคุณและพ่อแม่ต้องอย่าทำตัวเป็น "พ่อแม่รังแกฉัน" ค่ะ

2. เงินเก็บ 10 ล้านของคุณ เก็บไว้กับตัวเถอะค่ะ ให้ไปไม่มีประโยชน์ คิดบ้างว่าถ้าบ.ล้มขึ้นมา หรือพ่อแม่เจ็บป่วยหนักกระทันหันจะทำยังไง อย่าเอาเงินที่เก็บมาอย่างดีไปใช้อย่างไร้ค่าด้วยการเอาเงินไปให้คนไม่รู้คุณค่าใช้ค่ะ

3. อย่าตัดขาดกัน พ่อแม่จะเสียใจมาก แต่ก็ไม่ต้องซัพพอร์ตน้องก็พอค่ะ

4. แนะนำให้จัดพิธีแต่งงานกับแฟนนะคะ เข้าใจว่าคุณไม่อยากจัดงาน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันคงทำให้แฟนคุณเสียใจมาก คุณไม่เสียใจเหรอคะที่ให้คนอื่นว่ามาแฟนคุณแบบนี้ได้ คุณไม่แต่งงานกันน้องเลยหาว่าแฟนคุณจะมาหลอกเอาเงิน คุณควรรักษาศักดิ์ศรีของแฟนหน่อยนะคะ เข้าใจว่าอยู่กินกันมานานแล้ว แถมฐานะคุณก็ไม่ได้กระจอก แฟนคุณดีกับคุณมามาก แค่คุณจัดงานเล็ก ๆ แค่พอเป็นเกียรติให้เธอวันเดียวคุณน่าจะอดทนได้นะคะ เท่าที่อ่านแฟนคุณก็ท่าทางจะอยากให้มีงานแต่งด้วย "กรุณาอดทนเพื่อเธอสักครั้ง" นะคะถ้าคุณรักเธอจริง จะได้ไม่เกิดปัญหาแบบนี้อีก

5. กรุณามีสตินะคะ ไม่ใช่เอะอะจะยกทรัพย์สินครึ่งนึงให้น้องเพื่อตัดปัญหา คุณโตแล้วนะคะ คิดถึงคนข้างหลังบ้าง พ่อ แม่ ภรรยา ลูกในอนาคตของคุณ เก็บทรัพย์สินไว้ให้พวกเขาเถอะค่ะ ไอ้วิธียกทรัพย์สินให้น้องเพื่อตัดปัญหามันทำให้คุณดูมีวุฒิภาวะน้อยมาก ไม่คิดหน้าคิดหลัง ยังหาประโยชน์จากวิธีนี้ไม่ได้เลยค่ะ นอกจากเป็นการทำให้ตัวเองเสียทรัพย์ พ่อแม่เสียใจ แฟนรู้สึกไม่ดีที่คุณยกหุ้นให้คนอื่นไป กรุณา "มีสติยั้งคิด" ก่อนจะตัดสินใจนะคะ

ขออภัยที่พูดแรง แต่เห็นสิ่งที่คุณยื่นเงื่อนไขให้น้องแล้วเป็นห่วงค่ะ
ความคิดเห็นที่ 94
*** แก้ไข ครั้งสุดท้าย ***

ส่วนตัวเรา ขอจบเรื่องราวของกระทู้นี้ ไว้ตรงนี้
คงไม่สืบสาวหาหลักฐานอะไรอีก

ความมุ่งหมายเราตั้งแต่แรก คือ ไม่อยากให้เจ้าของกระทู้มีพฤติกรรมแก้ปัญหาผิดๆ
ที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาวเท่านั้น เราจึงเข้ามาให้ความเห็น ด้วยความเป็นห่วงจากใจจริงๆ

สิ่งที่คุณทำ คุณอาจคิดว่าไม่มีใครจับได้ แต่ที่จริงแล้ว คนรู้อาจไม่อยากพูด
เราไม่ได้ต้องการเข้ามาโชว์ภูมิ แค่อยากเตือน จขกท ให้ดูแลใจตัวเองอย่างเหมาะสมในขณะที่ยังทำได้

ถ้าคุณอ่านหลายความเห็น จะพบว่า มีคนเป็นห่วงคุณมากมาย ตอบความเห็นดีๆ ให้คุณปรับใช้ดูแลตนเอง
ในเมื่อมีคนห่วงคุณด้วยความจริงใจขนาดนี้ คุณก็ควรห่วงตัวเอง โดยการไม่ทำร้ายใจตัวเองด้วย
ที่สำคัญ อย่าทำร้ายคนที่หวังดีกับคุณ สนุกสนานอยู่บนความจริงใจของคนอื่นแบบนี้อีก
การกระทำของคุณ จะทำให้คนลำบากจริงๆ ต้องสูญเสียโอกาสไป สังคมดีๆ ควรมีไว้เกื้อกูลกัน
ไม่ควรมีความหวาดระแวง เพราะเรื่องราวหลอกลวง


ตอนนี้กระทู้บานปลายใหญ่โต จนกระทบผู้ไม่เกี่ยวข้อง
เรารู้สึกไม่สบายใจ นึกสงสารครอบครัว พ่อแม่ น้องสาว ที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา
ทั้งที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วย  แล้วยังอาจกระทบถึงกิจการที่คนรุ่นเก่าบากบั่นสร้างขึ้น
เราไม่ได้ต้องการเข้ามาทำร้ายคุณ ไม่ได้อยากหาหลักฐานมาจับให้มั่นคั้นให้ตาย
อันที่จริง เราอยากให้คุณมีความสุขกับชีวิตบนโลกแห่งความจริง มากกว่ามารยาหลอกๆ ที่คุณสร้างขึ้นมาด้วยซำ้


"หากสิ่งที่มันเกิดขึ้นตอนนี้ทำให้คุณและครอบครัวไม่มีความสุข เราก็ขอโทษจากใจจริง"


เรื่องราวในกระทู้นี้ คงมีแต่คุณและครอบครัวที่รู้ว่าจริงหรือไม่จากรายละเอียดทั้งหมด
ส่วนตัวเราคนเดียว ไม่ต้องการการพิสูจน์อะไร เราเป็นคนไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านเท่าไหร่ 555
แค่ได้ทำตามความมุ่งหมาย ที่อยากเตือนให้ทุกคนดูแลใจตัวเองในทางที่ถูกต้อง ก็พอใจแล้ว ^_^


เราจะลบข้อความที่เชื่อมโยงกับบุคคลอื่นออกทั้งหมด
เพราะเราคิดว่าไม่ยุติธรรม ที่ผู้ไม่เกี่ยวข้องต้องตกเป็นเหยื่อสังคม เพียงเพราะคนๆ เดียว
เราไม่อยากเห็นครอบครัวใครแตกแยก เพียงเพราะกระทู้ไร้สาระกระทู้หนึ่งแค่นั้น

ขอให้กิจการคุณเจริญรุ่งเรือง ครอบครัวมีความสุขค่ะ


======================================
((แก้ไขลบออกบางส่วน))
======================================

แก้ไขข้อความเก่าใส่สปอยล์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความคิดเห็นที่ 8
ขอออกความเห็นนะ

1. ณ วันนี้ น้องจะแบ่งก็แบ่ง แยกกันไปเลย เพราะยิ่งนานวันยิ่งเรื้อรัง น้องไม่ยอม ยิ่งอีกหน่อยต่างมีครอบครัวจะยิ่งร้าวฉาน

2. ที่คุณทำมา คุณอาจคิดว่าควรได้มากกว่า แต่ระหว่างทำงานคุณได้เงินเดือนหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ก็นำมาคำนวณดู แต่ถ้าได้ก็ถือว่าคุณได้เงินค่าแรงไปแล้ว แต่ที่ว่าน้องใช้เงินเที่ยวมากมาย คุณก็อาจขอเพิ่มเป็นส่วนต่างหากดูรับได้ แต่ถ้าไม่คิดมาก ถือว่าน้องสาวยังไม่แต่งออก ก็เป็นหน้าที่พ่อแม่เจือจุนกับลูก  วันหน้าถ้าคุณมีลูกสาว ลูกชาย คุณจะเข้าใจพ่อแม่มากขึ้น มีน้องสาวคนเดียวให้เธอบ้างน่าจะดีสำหรับพี่ใหญ่

3. อย่าไปน้อยใจเรื่องเรียน คนอื่นไม่คิดมากเท่าคุณเองหรอก เชื่อสิคุณต้องเก่งแน่นอน ถึงบริหารธุรกิจจนมาได้ไกลขนาดนี้  น้องอาจจะเรียนเก่งเพราะโอกาสดีกว่า ความเป็นผู้หญิงไม่เก เท่าผุ้ชายช่วงวัยรุ่น แต่ ณ วันนี้คุณเก่งกว่าแน่นอน ภูมิใจตัวเองได้เลย  ผลงานเป็นประกัน  การเรียนมาน้อยกว่า หรือไม่ได้เข้า ม. ดัง ไม่ใช่ ปม แมนๆ คุณกับน้อง DNA  พี่น้องกัน คิดว่า IQ ไม่ห่างกันหรอก

4.เงินทองหาใหม่ได้เรื่อยๆ แต่ความสงบสุขในครอบครัวในตระกูล ถ้าแตกร้าวมากแล้ว จะประสานกลับได้ยาก  พ่อแม่ให้ร่างกาย แขนขามาครบ ให้ความมั่นคง ทำให้ท่านสบายใจน่าจะดี แบ่งสมบัติกับน้อง แบ่งด้วยสันติ จะดีที่สุด หนักนิดเบาหน่อย ก็อลุ้มอล่วยไป

5.สำหรับแฟน คิดว่าอย่าให้เข้ามามีส่วนตัดสินใจในธุรกิจครอบครัวดีกว่า ส่วนแฟนอยากให้จ้ดงานแต่ง ถามก่อนรักเธอจริงไหม จะรับเป็นภรรยา และแม่ของลูกใช่ไหม ถ้าใช่ ควรไปสู่ขอแต่งให้เรียบร้อย ทำพิธีเล็กๆในครอบครัวก็ได้ สำหรับคนที่คุณจะอยู่ด้วย ให้ความรักแล้วควรให้เกียรติตั้งแต่เริ่มด้วย ทั้งเธอและครอบครัว วันหน้าลูกๆโต จะพูดได้เต็มปากว่า นี่ไงรูปวันแต่งงานของพ่อกับแม่
ถ้ายังไม่เข้าใจอารมณ์ครอบครัวฝ่ายหญิง  ลองคิดว่าถ้าคุณมีลูกสาว อยากให้แฟนเธอมาสู่ขอให้เรียบร้อยหรือ ให้ไปอยู่กันเลย

ทั้งหมดตัดสินใจยังไงก็คุยกับพ่อแม่ดู
สุดท้ายขอให้มีความสุขปีใหม่ และปีต่อๆไปนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่