เอแบค มีปัญหาอะไรกันครับ

มีใครทราบปัญหา รบกวนอธิบายสั้นๆ ก็ได้ครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
ว่าด้วยเรื่องเอแบค (30/12/58)

ขอเล่าแบบให้ได้ใจความให้ศิษย์เก่าและสาธารณชนทั่วไปได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เรื่องมีอยู่ว่าเอแบคเป็นมหาวิทยาลัยที่ถูกจัดตั้งโดยมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 ตามที่จริงมูลนิธิฯ ได้เริ่มก่อนตั้งโรงเรียนแรกคือโรงเรียนอัสสัมชัญ (บางรัก) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2428 ปัจจุบันมีโรงเรียนในเครือมูลนิธิฯ รวม 19 แห่งทั่วประเทศไทย การจัดตั้งและดำเนินการให้การศึกษาที่มีคุณภาพจนเป็นที่ประจักษ์ของสังคมไทยนี้เกิดขึ้นจากความพากเพียรของนักบวชในคณะผู้ซึ่งได้ปฏิญาณตนต่อพระเจ้าเพื่อถือ ความยากจน ความบริสุทธิ์ และความนบนอบ ทำงานรับใช้พระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ด้วยการอุทิศตน เสียสละ รับใช้ผู้อื่นดังพี่น้อง โดยมุ่งที่จะให้บริการศึกษาอบรมที่เป็นความรู้ทางโลกและทางธรรมแก่สังคม โรงเรียนในเครือฯ ทั้งหมดถึงแม้เป็นโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเอกชนแต่ก็ต้องดำเนินการภายใต้ พรบ. ที่เกี่ยวข้อง ในกรณีของโรงเรียนก็ต้องอยู่ภายใต้ พรบ. โรงเรียนเอกชน ในกรณีของมหาวิทยาลัยก็ต้องอยู่ภายใต้ พรบ. สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ซึ่งภายใต้ พรบ. นี้มีการกำหนดให้การบริหารต้องทำในรูปแบบสภามหาวิทยาลัย ดังนั้นเอแบคจึงต้องมีสภามหาวิทยาลัยถึงแม้ว่าจะมีเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว แน่นอนที่สุดมูลนิธิฯ ต้องแต่ตั้งตัวแทนจากมูลนิธิมานั่งเป็นประธานสภามหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และได้เชิญกรรมการจำนวนหนึ่งเพื่อให้ครบองค์ประกอบของสภาฯ กรรมการเหล่านี้ถูกเชิญมาในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิที่จะต้องมาให้คำปรึกษาและชี้แนะในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับการพัฒนามหาวิทยาลัย

อยู่มาวันหนึ่งกรรมการเหล่านี้รวมตัวเป็นเสียงข้างมากในสภาฯ แล้วกระด้างกระเดื่องโดยมีข้ออ้างว่าเอแบคมีปัญหาเรื่องทุจริต จากนั้นก็จัดประชุมกันเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากประธานสภาฯ โดยอ้างว่าเป็นเสียงข้างมากและได้อุปโลกน์นายสุทธิพรขึ้นมาเป็นอธิการแทนท่านอธิการบัญชาเลย การประชุมอย่างนี้จริงๆ ก็เป็นโมฆะตั้งแต่แรกอยู่แล้วเพราะไม่มีประธานสภาฯ ในที่ประชุม แต่พวกนี้ก็กระทำการแต่งตั้งประธานในที่ประชุมขึ้นมาแบบดื้อๆ ซ้ำร้ายคนพวกนี้ก็ได้นำเอกสารมติสภาฯ ที่ปลอมๆ และโมฆะอันนี้ส่งไปเป็นข้อหารือกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ พรบ. กำหนดให้มีหน้าที่กำกับดูแลมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนทั่วประเทศไทย หารือว่าตั้งนายสุทธิพรเป็นรักษาการอธิการตามมติสภาฯ ได้หรือไม่ สกอ. ก็พิจารณาตามหลักฐาน (ที่เป็นโมฆะ) แล้วตอบว่าได้และลงนามโดยที่ปรึษาเลขาธิการ สกอ. ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการ สกอ. (เมื่อเรื่องเริ่มปานปลายและประกอบกับมีการปรับ ครม. ที่ปรึกษานายนี้ก็ถูกปลดเด้งเข้ากรุอย่างฉับพลัน) จากนั้นคนพวกนี้ก็นำหนังสือที่ สกอ. ตอบมานำไปให้ศาลแพ่งเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวกับคำว่ารักษาการอธิการบดี ศาลท่านก็ให้ตามหลักฐานหนังสือที่นำไปยื่น ซึ่งหนังสือพวกนี้มีที่มาตั้งต้นอย่างไรไม่ได้มีการสืบเสาะ การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการปลอมแปลงเอกสารและให้ความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ สกอ. และศาล เท่ากับเป็นการปล้นความเป็นเจ้าของๆมหาวิทยาลัยไปอย่างหน้าตาเฉย เสมือนหยิบของๆ คนอื่นมาเป็นของๆ ตนอย่างดื้อๆ การกระทำของกรรมการกลุ่มนี้เป็นการละเมิดสิทธิ์เพราะไม่มีความเป็นเจ้าของหรือความเป็นตัวแทนของเจ้าของแม้แต่นิดเดียว นี่คือการปล้นทรัพย์อย่างหนึ่ง ตรงนี้ต้องขอเพิ่มเติมด้วยว่าหนึ่งในกรรมการพวกนั้นเป็นนายกสมาคมศิษย์เก่า (นายอุดม) ซึ่งตอนนี้กลายเป็นอดีตนายกฯ ไปแล้วเพราะศิษย์เก่าจำนวนมากได้แสดงพลังในการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ เมื่อวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมาทำให้ผู้สมัครที่สนับสนุนเอแบคมีคะแนนชนะขาดผู้สมัครที่เป็นผู้สนับสนุนนายกฯ คนเดิมและนายสุทธิพรด้วยคะแนน 925 ต่อ 570 คะแนน เป็นการชนะเกือบครึ่งๆ ดูอย่างนี้แล้วพอจะบอกได้มั้ยว่าประชาคมเอแบคเขาต้องการใคร พระหรือมาร

ไหนๆ ก็ร่ายยาวมาแล้ว อยากฝากถึงกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่สำคัญผิดและคอยอยู่เบื้องหลังนายสุทธิพรก็คือกลุ่มสมาคมศิษย์เก่าอัสสัมชัญบางรัก ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นผู้หวังดีทั้งสิ้น แต่เสียดายที่ก็ถูกบิดเบือนความจริงจนเข้าใจผิดในหลายๆ ประเด็น เพียงแต่คิดว่าจะสนับสนุนภารดาท่านหนึ่งให้มีอำนาจแล้วสำคัญผิดเอามาบนกับเรื่องของเอแบค ซ้ำร้ายสมาชิกกลุ่มนี้ก็ถูกปั่นหัวว่านี่คือสิ่งถูกต้องเหมือนกับที่เคยก่อการต่อต้านอดีตอธิการอัสสัมชัญบางรักได้สำเร็จ ถ้าประชาคมอัสสัมชัญมีสติสักนิดขอให้แยกเรื่องให้ดีๆ ในกรณีท่านอดีตอธิการอัสสัมชัญบางรักไม่ขอตัดสินว่าใครถูกใครผิด จริงๆ มันอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีสำหรับการพัฒนาแบบก้าวกระโดดอย่างยั่งยืนของอัสสัมชัญบางรักก็ได้ สุดแล้วแต่ศิษย์เก่าก็แล้วกัน อยากให้ศิษย์อนาคตต้องขี่คอกันเรียน มีสนามบอลแน่นเหมือนปลากระป๋องเหมือนรุ่นของท่านก็สุดแล้วแต่ สิ่งที่ท่านอดีตอธิการทำมันอาจถูกต้องแต่ไม่ถูกใจท่านก็ไม่ว่ากัน แต่สุดท้ายท่านอธิการก็ยอมถอยแบบที่พวกท่านคิดว่าท่านชนะ แต่ท่านไม่รู้หรอกว่าเบื้องหลังท่านอธิการถอยเพราะอะไร ท่านคิดได้ว่าควรถอยเพราะรักษาชื่อเสียงของคณะฯ ไม่อยากให้เรื่องไปถึงศาล มันเสียชื่อเสียงของสถาบัน ท่านก็ถอย แต่ประเด็นคือว่าเมื่อท่านถอย คณะฯ ก็ส่งอธิการท่านใหม่มาแทน อธิการท่านใหม่นี้ก็ยังเป็นตัวแทนของเจ้าของคนเดิมอยู่ดี อันนี้ก็ยังถือว่ามีความกระด้างกระเดื่องแต่ก็ยังอยู่ในความชอบธรรม ทำไมพวกท่านไม่เสนอนายอะไรสักนายมากเป็นอธิการอัสสัมบางรักแทนหล่ะ แต่ตอนนี้ท่านกลับสนับสนุนนายสุทธิพรมาเป็นอธิการเอแบค คิดดูดีๆ ถูกใครปั่นซะจนสับสนได้ขนาดนี้

กลับมาเรื่องเอแบค มีบางคนชอบพูดว่าเอแบคเป็นสถาบันที่ต้องมีความโปร่งใสเพราะเป็นองค์กรสาธารณะ ต้องเหมือนบริษัทมหาชนอะไรประมาณนั้น ตามที่จริงเจ้าของกิจการทุกประเภทและทุกคนย่อมคิดแบบเจ้าของกิจการอยู่แล้ว คือต้องทำกิจการให้อยู่ได้ อยู่รอด เจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนให้ได้ มิเช่นนั้นก็จะต้องปิดกิจการไปในที่สุด เอแบคก็เป็นกิจการอย่างหนึ่งถึงแม้จะเป็นกิจการที่ไม่หวังผลกำไร จะทำสิ่งใดเจ้าของกิจการจะต้องคิดเรื่องผลลัพธ์และผลกระทบต่อกิจการตัวเองเสมอ ในกรณีของเอแบค มีการกล่าวหาโดยคนที่ไม่ใช่เจ้าของว่าผู้ซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายบริหารของเจ้าของ (ท่านอธิการภารดาบัญชา) ได้กระทำการทุจริต ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็เป็นเรื่องของเจ้าของ (มูลนิธิฯ โดยผ่านทางประธานสภา ม. อัสสัมชัญ) ที่จะดำเนินการใดๆ เพื่อความเหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบกับกิจการ แต่พวกผู้หวังดีประสงค์ร้ายกลุ่มนี้ใช้ช่องโหว่ของสภาฯ ตามที่กล่าวข้างต้น ฆ่าตัดตอนความชอบธรรมของเจ้าของตามอำเภอใจ แกนนำของกลุ่มคนพวกนี้มีประวัติโชกโชกโชนถึงขั้นถูกไล่ออกจากราชการมาแล้ว สังคมไม่เคยรู้เรื่องเหล่านี้ พูดถึงตรงนี้แล้วลองใช้ตรรกะของบุถุชนไตร่ตรองดูว่า ถ้าจะมีการโกงกันจริง เจ้าของโกงเจ้าของ หรือโจรจะโกงเจ้าของ อะไรน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่ากัน

จากศิษย์เก่าคนหนึ่งที่รักเอแบค


เครดิต เพจ "AU Scholarship Working Staff"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่