6. มิวนิคแบบชิลล์ๆ
ทิวทัศน์ระหว่างทางจากซูริค สวิตเซอร์แลนด์มามิวนิค เยอรมันก็สวยงามตามรูปแบบของชนบทประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ปลูกหญ้า เลี้ยงวัว และต้นอะไรอีกสารพัดที่มองไม่ออกว่าเป็นต้นอะไร ช่วงที่พวกเราไปนี่กำลังจะเข้าหน้าหนาวอยู่รอมร่อทำให้เห็นเกษตรกรหรือคนที่เลี้ยงวัวในสวิตเกี่ยวหญ้าแล้วนำมาม้วนด้วยพลาสติคเป็นก้อนกลมๆ วางเรียงกันเป็นระเบียบเพื่อเก็บไว้เป็นอาหารวัวในช่วงหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง บนรถมีบริการ wifi ฟรีตลอดเส้นทางด้วยนะครับเลยจัดการโทรกลับเมืองไทยผ่าน Line เผื่อรายงานตัวกันพอหอมปากหอมคอ รวมทั้งมีร้านค้าเล็กๆ อยู่ที่ชั้นล่างของรถโดยขายอาหารง่ายๆ ประเภทขนมปัง แซนด์วิช น้ำดื่ม นอกจากนี้ยังดูไม่ออกอีกด้วยว่าบริเวณไหนที่เป็นชายแดนของแต่ละประเทศเพราะวิ่งผ่านไปโดยไม่ต้องมีการผ่านด่านตรวจใดๆ ทั้งสิ้น เส้นทางของรถบัสนั้นจะตัดผ่านทางตะวันตกของออสเตรียช่วงหนึ่งโดยผ่านเส้นทางที่พวกเราเคยไปเมื่อปีที่แล้วคือเลียบผ่านทะเลสาบคอนสแตนซ์ ที่เมืองเบรเกนซ์ทำให้ได้ทบทวนความหลังกันเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าประเทศเยอรมันผ่านทางหลวงหมายเลข 96 สองข้างทางก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างจากเส้นทางในสวิตเซอร์แลนด์เลย แต่ก็สวยงามแปลกตาดี ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ เห็นการใช้โซลาร์เซลล์กันอย่างแพร่หลาย ทั้งแบบโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่แบบสุดลูกหูลูกตากับขนาดย่อมๆ มีไม่กี่สิบแผง กับแบบที่ติดอยู่บนหลังคาบ้าน
จากรูปจะเห็นได้ว่าถนนมีขนาดไม่ใหญ่มากฝั่งละ 2 เลนเท่านั้น แต่รถก็ไม่ติด เพราะว่ามีรถวิ่งกันไม่มากนัก ไม่มีรถติดหรือว่าต้องชะลอเป็นระยะทางยาวๆ เห็นแล้วน่าอิจฉาจริงๆ พวกเรานั่งเพลินๆ จนไม่ได้กินอะไรที่เตรียมมาเลยตลอดเส้นทางมีแค่ดื่มน้ำกันเท่านั้น รูปก็ถ่ายไม่ได้มากนัก เพราะรถวิ่งค่อนข้างเร็ว จนเวลาประมาณ 14:59 น. รถก็เลี้ยวเข้าสถานีขนส่งที่เมืองมิวนิคซึ่งอยู่ด้านหลังสถานีรถไฟหลักของเมืองมิวนิค München Hauptbahnhof แบบเยอรมัน หรือ Munich Hauptbahnhof แบบคุ้นปากคนไทย รถมาจาดด้านนอกอาคารเพราะภายในค่อนข้างแน่น ที่นี่ดูเป็นสถานีขนส่งมากกว่าที่ ซูริค เมื่อตอนเช้าเพราะว่ามีอาคาร และช่องจอดในร่มเรียงเป็นตับ คล้ายๆ กับขนส่งหมอชิตที่ไทย ลงจากรถแล้วไปรับกระเป๋าเดินทางด้านหลังรถ คุณพี่แกไม่เห็นจะดูกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ให้เรามาเลย ยกลงมาวางแล้วเจ้าของกระเป๋าเขาก็มาลากกันไปเอง สุดท้ายเหลือของพวกเราที่อยู่ด้านในสุด และหนักที่สุด (มั้ง) เมื่อตอนยกขึ้นช่วยคุณพี่คนขับยกตอนยกลงเลยต้องช่วยยกลงเหมือนเดิม ขอบคุณคุณพี่แกแล้วก็เข็นกระเป๋าออกมา
ไปเที่ยวคราวนี้มีแฟ้มเอกสารคู่ชีพที่ใช้บรรจุใบจองโรงแรม จองรถไฟ รถบัส แผนที่ ตั๋วเครื่องบิน สวิสพาส นั่นนี่เต็มแฟ้มอยู่ 1 อัน มีกระทั่งสำเนาพาสสปอร์ต บัตรประชาชน รูปถ่ายสำหรับติดบัตรของทุกคน รวมทั้งเอกสารต่างๆ ที่ได้รับมาในช่วงที่ไปเที่ยว ผมต้องหลบมุมเพื่อนำเอกสารการจองโรมแรมออกมาเพื่อดูทิศทางก่อนว่าออกมาถูกทางหรือเปล่า แต่ด้วยความที่ภรรยาเชี่ยวชาญเรื่องทิศทาง และแผนที่ของโรงแรมต่างๆ เพราะว่าภรรยาผมเป็นคนเช็คตำแหน่งโรงแรมว่าสะดวกกับการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ภายในเมืองนั้นมั้ย เลยส่งแผนที่ให้ภรรยาผมดู จากนั้นพอมองออกว่าพวกเราออกมาถูกทางแล้วแค่ตรงไปเลี้ยวซ้าย และเลี้ยวขวาก็ถึงแล้วพร้อมกับชี้มือชี้ไม้ประกอบกันไป ระหว่างนั้นมีผู้หญิงชาวเยอรมันมาสอบถามว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ยพวกเราก็ไม่อยากขัดศรัทธาเลยส่งแผนที่ให้เธอดู ปรากฎว่าเธอก็ยืนยันว่าสิ่งที่เราคิดกันนั้นถูกต้องแล้วโรงแรมไปทางที่พวกเราคิดไว้จริงๆ เลยได้โอกาสในการเผยแผ่วัฒนธรรมไทยโดยการขอบคุณแบบไทยๆ ไป พวกเรา 3 คนเดินเข็นกระเป๋าออกจากสถานีรถบัสข้ามรางรถราง และถนนมาสักประมาณ 700 เมตรก็ถึงโรงแรม Hotel Alfa Munich ที่จองไว้
โรงแรมเล็ก มีทางเข้าเป็นล็อบบี้อยู่ด้านหน้า แล้วห้องพักจะเป็นอาคาร 4 – 5 ชั้นอีก 2 – 3 อาคารอยู่ด้านหลังโดยทุกคนที่จะไปยังอาคารด้านหลังต้องผ่านทางล็อบบี้เท่านั้น ยื่นเอกสารการจองของ Booking.com ให้กับพนักงานผู้ชายร่างใหญ่ (สูง 2 เมตรได้มั้ง) ยืนรอสักครู่ก็ได้รับกุญแจห้องมาพร้อมกับบอกว่าห้องเราไปทางไหน รวมทั้งบอกเวลาอาหารเช้ามาเริ่มเวลา 6:30 น. สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าที่โรงแรมนี้ wifi เสียเงินนะโดยคิดอัตรา 5 ยูโรต่อ 1 อุปกรณ์ต่อเวลาในการเชื่อมต่อรวม 24 ชั่วโมง ดังนั้นเลยจ่ายเงินไป 10 ยูโรสำหรับ 2 อุปกรณ์ คือโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง จากนั้นก็เดินเข็นกระเป๋าไปที่อาคาร C ที่ห้องพักของพวกเราอยู่ โดยต้องขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 5 แต่เดินเข้าไปในอาคารกลับหาลิฟต์ไม่เจอแล้วทำไมเจ้าหน้าที่โรงแรมบอกว่ามีลิฟทนะ ในขณะที่กำลังจะก้มหน้ายอมรับชะตากรรมว่าต้องแบกกระเป๋าทั้ง 3 ใบขึ้นไปชั้น 5 พร้อมๆ กับก่นด่าเข้าหน้าที่คนนั้นอยู่ในใจอยู่นั้น ภรรยาผมก็เหลือบไปเห็นประตูบานนี้พอดี พอดึงประตูเปิดออกมาก็ปรากฏว่านี่คือลิฟต์ที่พวกเรากำลังตามหาอยู่นั่นเอง
แต่มีขนาดเล็กมากๆ เอากระเป๋า 3 ใบกับคนได้ 1 – 2 คนเท่านั้น ผมเลยต้องเอากระเป๋าขึ้นมาก่อน อีกอย่างคือไม่มั่นใจเรื่องของความปลอดภัยถ้าจะขึ้นพร้อมกันทั้งหมด จากนั้นก็ให้ภรรยากับแม่ยายตามขึ้นมาทีหลัง
เนื่องจากเราจองห้องที่สามารถนอนได้ 3 คน เลยห้องที่ได้เป็นห้องชั้นบนสุดที่แบ่งเป็นห้องขนาดเล็ก 2 ห้อง แต่ไม่มีประตูปิดนะครับเป็นแค่ผนังกั้นไว้เท่านั้นโดย 1 ห้องสามารถวางเตียงเดี่ยวได้ 2 เตียงพอดีโดยเว้นพื้นที่ระหว่างเตียง และตรงปลายเตียงด้านหน้าประตูไว้วางกระเป๋าได้เล็กน้อย ส่วนอีกห้องเป็นห้องนอนขนาดเล็กมากวางเตียงเดี่ยวได้ 1 เตียงและโต๊ะทานอาหารกับเก้าอี้ 2 ตัว กับที่ว่างวางกระเป๋า เมื่อจัดการกับเรื่องของที่นอน ที่เก็บกระเป๋า และปลดทุกข์กันเรียบร้อยแล้วก็ออกจากโรงแรมเพื่อเดินไปยังจตุรัสมาเรียนพลาทซ์เพื่อให้ทันก่อน 5 โมงเย็น โดยจตุรัสอยู่ห่างออกไปประมาณ 1.7 กิโลเมตรตามที่ Google Map บอกไว้ และยังบอกอีกว่าใช้เวลาในการเดินประมาณ 7 นาที (แหมแสนรู้จริงๆ) แต่พวกเราแน่นอนว่าเพื่อไม่ให้หลุดคอนเซ็ปท์จึง “เดินช้าๆ ฝ่าลมหนาว” ไปเรื่อยๆ ผ่านจัตุรัส Karlsplatz (Stachus) ที่อยู่ตรงทางแยกของถนนสายสำคัญหลายสาย และมีศูนย์การค้า Galeria Kaufnof และร้านทั้งบนดิน ใต้ดินอยู่ในบริเวณนี้อีกเป็นจำนวนมากรวมทั้งยังเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางขนส่งของมิวนิคอีกด้วย เพราะมีทั้งรถไฟ รถราง รถบัส ผ่านหลายสายเลยเหมือน MBK ที่ประเทศไทย เดินลอดประตูเมืองหรือ Karlstor ที่ในอดีตอันรุ่งเรืองของมิวนิคประตูนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองเก่าทางด้านทิศตะวันตกเพื่อเข้าสู่ถนน Neuhauser ซึ่งน่าจะเป็นถนนคนเดินที่มีความคึกคักมากที่สุดของเมืองมิวนิค เพราะที่นี่เป็นเสมือนศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวนานาชาติ รวมทั้งคนที่อยู่อาศัยในมิวนิคเองที่พากันจูงลูก จูงหมามาเดินเล่น นอกจากถนนจะมีความร่มรื่นจากเงาตึกทั้ง 2 ฝั่งที่ช่วยบดบังแสงอาทิตย์แล้ว ยังมีร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหาร แผงลอย หรือการแสดงข้างถนนอยู่ตลอดเส้นทางจนถึงกระทั่งถึงจัตุรัสมาเรียนพลาทซ์
เดินไปเรื่อยๆ แบบแวะนั่งบ้าง แวะเก็บภาพสองข้างทางบ้างแต่ก็ต้องคอยระวังไม่ให้ไปเกะกะฝรั่งตัวใหญ่ๆ เหมือนกันเพราะอาจจะเจอชนปลิวได้ถ้าไปขวางเดินพี่เขา เพราะพี่เขาจะเดินไม่ค่อยหลบอะไรเท่าไหร่เหมือนขีดเส้นก่อนออกมาจากบ้านว่าต้องเดินมาตามทางนี้เท่านั้น จนกระทั่งมองเห็นยอดของโบสถ์ Frauenkirche หรือที่คนไทยอย่างเราๆ อาจจะผ่านหูผ่านตามาบ้างว่า “โบสถ์หัวหอม” อันโด่งดังของเมืองมิวนิค แสดงว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงจัตุรัสมาเรียนพลาทซ์แล้ว โดยโบสถ์นี้เหมือนเป็นอีกสัญลักษณ์ที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือนมาเรียนพลาทซ์ต้องถ่ายรูปให้เห็นโบสถ์นี้ทุกครั้งที่ถ่ายรูปที่จัตุรัสมาเรียนพลาทซ์
สองฝั่งถนนคนเดินนี้มีร้านค้าแบรนด์เนมหลายร้าน แต่ละร้านก็มีลูกค้าอยู่ภายในร้านกันหลายคนแต่เท่าที่มองส่วนใหญเป็นลูกค้าจากเอเซียเกือบทั้งนั้น โดยเฉพาะคนจีน ไม่เพียงแค่นั้นระหว่างทางยังเดินสวนหรือว่ามีคนจีน ญี่ปุ่น และเอเซียชาติอื่นๆ เดินแซงไปเป็นระยะๆ แสดงให้เห็นว่าคนเอเซียมาเที่ยวที่นี่กันไม่น้อยเลย และมีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่มากันเองไม่ได้มากับบริษัททัวร์เพราะเดินกันเป็นคู่ๆ หรือ 3 – 4 คน อีกทั้งมองไม่เห็นคนถือธงเดินนำหน้าแต่อย่างใด
[CR] เดินช้าๆ ฝ่าลมหนาวที่สวิส เยอรมัน และออสเตรีย ตอนที่ 3
ทิวทัศน์ระหว่างทางจากซูริค สวิตเซอร์แลนด์มามิวนิค เยอรมันก็สวยงามตามรูปแบบของชนบทประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ปลูกหญ้า เลี้ยงวัว และต้นอะไรอีกสารพัดที่มองไม่ออกว่าเป็นต้นอะไร ช่วงที่พวกเราไปนี่กำลังจะเข้าหน้าหนาวอยู่รอมร่อทำให้เห็นเกษตรกรหรือคนที่เลี้ยงวัวในสวิตเกี่ยวหญ้าแล้วนำมาม้วนด้วยพลาสติคเป็นก้อนกลมๆ วางเรียงกันเป็นระเบียบเพื่อเก็บไว้เป็นอาหารวัวในช่วงหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง บนรถมีบริการ wifi ฟรีตลอดเส้นทางด้วยนะครับเลยจัดการโทรกลับเมืองไทยผ่าน Line เผื่อรายงานตัวกันพอหอมปากหอมคอ รวมทั้งมีร้านค้าเล็กๆ อยู่ที่ชั้นล่างของรถโดยขายอาหารง่ายๆ ประเภทขนมปัง แซนด์วิช น้ำดื่ม นอกจากนี้ยังดูไม่ออกอีกด้วยว่าบริเวณไหนที่เป็นชายแดนของแต่ละประเทศเพราะวิ่งผ่านไปโดยไม่ต้องมีการผ่านด่านตรวจใดๆ ทั้งสิ้น เส้นทางของรถบัสนั้นจะตัดผ่านทางตะวันตกของออสเตรียช่วงหนึ่งโดยผ่านเส้นทางที่พวกเราเคยไปเมื่อปีที่แล้วคือเลียบผ่านทะเลสาบคอนสแตนซ์ ที่เมืองเบรเกนซ์ทำให้ได้ทบทวนความหลังกันเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าประเทศเยอรมันผ่านทางหลวงหมายเลข 96 สองข้างทางก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างจากเส้นทางในสวิตเซอร์แลนด์เลย แต่ก็สวยงามแปลกตาดี ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ เห็นการใช้โซลาร์เซลล์กันอย่างแพร่หลาย ทั้งแบบโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่แบบสุดลูกหูลูกตากับขนาดย่อมๆ มีไม่กี่สิบแผง กับแบบที่ติดอยู่บนหลังคาบ้าน
จากรูปจะเห็นได้ว่าถนนมีขนาดไม่ใหญ่มากฝั่งละ 2 เลนเท่านั้น แต่รถก็ไม่ติด เพราะว่ามีรถวิ่งกันไม่มากนัก ไม่มีรถติดหรือว่าต้องชะลอเป็นระยะทางยาวๆ เห็นแล้วน่าอิจฉาจริงๆ พวกเรานั่งเพลินๆ จนไม่ได้กินอะไรที่เตรียมมาเลยตลอดเส้นทางมีแค่ดื่มน้ำกันเท่านั้น รูปก็ถ่ายไม่ได้มากนัก เพราะรถวิ่งค่อนข้างเร็ว จนเวลาประมาณ 14:59 น. รถก็เลี้ยวเข้าสถานีขนส่งที่เมืองมิวนิคซึ่งอยู่ด้านหลังสถานีรถไฟหลักของเมืองมิวนิค München Hauptbahnhof แบบเยอรมัน หรือ Munich Hauptbahnhof แบบคุ้นปากคนไทย รถมาจาดด้านนอกอาคารเพราะภายในค่อนข้างแน่น ที่นี่ดูเป็นสถานีขนส่งมากกว่าที่ ซูริค เมื่อตอนเช้าเพราะว่ามีอาคาร และช่องจอดในร่มเรียงเป็นตับ คล้ายๆ กับขนส่งหมอชิตที่ไทย ลงจากรถแล้วไปรับกระเป๋าเดินทางด้านหลังรถ คุณพี่แกไม่เห็นจะดูกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ให้เรามาเลย ยกลงมาวางแล้วเจ้าของกระเป๋าเขาก็มาลากกันไปเอง สุดท้ายเหลือของพวกเราที่อยู่ด้านในสุด และหนักที่สุด (มั้ง) เมื่อตอนยกขึ้นช่วยคุณพี่คนขับยกตอนยกลงเลยต้องช่วยยกลงเหมือนเดิม ขอบคุณคุณพี่แกแล้วก็เข็นกระเป๋าออกมา
ไปเที่ยวคราวนี้มีแฟ้มเอกสารคู่ชีพที่ใช้บรรจุใบจองโรงแรม จองรถไฟ รถบัส แผนที่ ตั๋วเครื่องบิน สวิสพาส นั่นนี่เต็มแฟ้มอยู่ 1 อัน มีกระทั่งสำเนาพาสสปอร์ต บัตรประชาชน รูปถ่ายสำหรับติดบัตรของทุกคน รวมทั้งเอกสารต่างๆ ที่ได้รับมาในช่วงที่ไปเที่ยว ผมต้องหลบมุมเพื่อนำเอกสารการจองโรมแรมออกมาเพื่อดูทิศทางก่อนว่าออกมาถูกทางหรือเปล่า แต่ด้วยความที่ภรรยาเชี่ยวชาญเรื่องทิศทาง และแผนที่ของโรงแรมต่างๆ เพราะว่าภรรยาผมเป็นคนเช็คตำแหน่งโรงแรมว่าสะดวกกับการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ภายในเมืองนั้นมั้ย เลยส่งแผนที่ให้ภรรยาผมดู จากนั้นพอมองออกว่าพวกเราออกมาถูกทางแล้วแค่ตรงไปเลี้ยวซ้าย และเลี้ยวขวาก็ถึงแล้วพร้อมกับชี้มือชี้ไม้ประกอบกันไป ระหว่างนั้นมีผู้หญิงชาวเยอรมันมาสอบถามว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ยพวกเราก็ไม่อยากขัดศรัทธาเลยส่งแผนที่ให้เธอดู ปรากฎว่าเธอก็ยืนยันว่าสิ่งที่เราคิดกันนั้นถูกต้องแล้วโรงแรมไปทางที่พวกเราคิดไว้จริงๆ เลยได้โอกาสในการเผยแผ่วัฒนธรรมไทยโดยการขอบคุณแบบไทยๆ ไป พวกเรา 3 คนเดินเข็นกระเป๋าออกจากสถานีรถบัสข้ามรางรถราง และถนนมาสักประมาณ 700 เมตรก็ถึงโรงแรม Hotel Alfa Munich ที่จองไว้
โรงแรมเล็ก มีทางเข้าเป็นล็อบบี้อยู่ด้านหน้า แล้วห้องพักจะเป็นอาคาร 4 – 5 ชั้นอีก 2 – 3 อาคารอยู่ด้านหลังโดยทุกคนที่จะไปยังอาคารด้านหลังต้องผ่านทางล็อบบี้เท่านั้น ยื่นเอกสารการจองของ Booking.com ให้กับพนักงานผู้ชายร่างใหญ่ (สูง 2 เมตรได้มั้ง) ยืนรอสักครู่ก็ได้รับกุญแจห้องมาพร้อมกับบอกว่าห้องเราไปทางไหน รวมทั้งบอกเวลาอาหารเช้ามาเริ่มเวลา 6:30 น. สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าที่โรงแรมนี้ wifi เสียเงินนะโดยคิดอัตรา 5 ยูโรต่อ 1 อุปกรณ์ต่อเวลาในการเชื่อมต่อรวม 24 ชั่วโมง ดังนั้นเลยจ่ายเงินไป 10 ยูโรสำหรับ 2 อุปกรณ์ คือโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง จากนั้นก็เดินเข็นกระเป๋าไปที่อาคาร C ที่ห้องพักของพวกเราอยู่ โดยต้องขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 5 แต่เดินเข้าไปในอาคารกลับหาลิฟต์ไม่เจอแล้วทำไมเจ้าหน้าที่โรงแรมบอกว่ามีลิฟทนะ ในขณะที่กำลังจะก้มหน้ายอมรับชะตากรรมว่าต้องแบกกระเป๋าทั้ง 3 ใบขึ้นไปชั้น 5 พร้อมๆ กับก่นด่าเข้าหน้าที่คนนั้นอยู่ในใจอยู่นั้น ภรรยาผมก็เหลือบไปเห็นประตูบานนี้พอดี พอดึงประตูเปิดออกมาก็ปรากฏว่านี่คือลิฟต์ที่พวกเรากำลังตามหาอยู่นั่นเอง
แต่มีขนาดเล็กมากๆ เอากระเป๋า 3 ใบกับคนได้ 1 – 2 คนเท่านั้น ผมเลยต้องเอากระเป๋าขึ้นมาก่อน อีกอย่างคือไม่มั่นใจเรื่องของความปลอดภัยถ้าจะขึ้นพร้อมกันทั้งหมด จากนั้นก็ให้ภรรยากับแม่ยายตามขึ้นมาทีหลัง
เนื่องจากเราจองห้องที่สามารถนอนได้ 3 คน เลยห้องที่ได้เป็นห้องชั้นบนสุดที่แบ่งเป็นห้องขนาดเล็ก 2 ห้อง แต่ไม่มีประตูปิดนะครับเป็นแค่ผนังกั้นไว้เท่านั้นโดย 1 ห้องสามารถวางเตียงเดี่ยวได้ 2 เตียงพอดีโดยเว้นพื้นที่ระหว่างเตียง และตรงปลายเตียงด้านหน้าประตูไว้วางกระเป๋าได้เล็กน้อย ส่วนอีกห้องเป็นห้องนอนขนาดเล็กมากวางเตียงเดี่ยวได้ 1 เตียงและโต๊ะทานอาหารกับเก้าอี้ 2 ตัว กับที่ว่างวางกระเป๋า เมื่อจัดการกับเรื่องของที่นอน ที่เก็บกระเป๋า และปลดทุกข์กันเรียบร้อยแล้วก็ออกจากโรงแรมเพื่อเดินไปยังจตุรัสมาเรียนพลาทซ์เพื่อให้ทันก่อน 5 โมงเย็น โดยจตุรัสอยู่ห่างออกไปประมาณ 1.7 กิโลเมตรตามที่ Google Map บอกไว้ และยังบอกอีกว่าใช้เวลาในการเดินประมาณ 7 นาที (แหมแสนรู้จริงๆ) แต่พวกเราแน่นอนว่าเพื่อไม่ให้หลุดคอนเซ็ปท์จึง “เดินช้าๆ ฝ่าลมหนาว” ไปเรื่อยๆ ผ่านจัตุรัส Karlsplatz (Stachus) ที่อยู่ตรงทางแยกของถนนสายสำคัญหลายสาย และมีศูนย์การค้า Galeria Kaufnof และร้านทั้งบนดิน ใต้ดินอยู่ในบริเวณนี้อีกเป็นจำนวนมากรวมทั้งยังเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางขนส่งของมิวนิคอีกด้วย เพราะมีทั้งรถไฟ รถราง รถบัส ผ่านหลายสายเลยเหมือน MBK ที่ประเทศไทย เดินลอดประตูเมืองหรือ Karlstor ที่ในอดีตอันรุ่งเรืองของมิวนิคประตูนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองเก่าทางด้านทิศตะวันตกเพื่อเข้าสู่ถนน Neuhauser ซึ่งน่าจะเป็นถนนคนเดินที่มีความคึกคักมากที่สุดของเมืองมิวนิค เพราะที่นี่เป็นเสมือนศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวนานาชาติ รวมทั้งคนที่อยู่อาศัยในมิวนิคเองที่พากันจูงลูก จูงหมามาเดินเล่น นอกจากถนนจะมีความร่มรื่นจากเงาตึกทั้ง 2 ฝั่งที่ช่วยบดบังแสงอาทิตย์แล้ว ยังมีร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหาร แผงลอย หรือการแสดงข้างถนนอยู่ตลอดเส้นทางจนถึงกระทั่งถึงจัตุรัสมาเรียนพลาทซ์
เดินไปเรื่อยๆ แบบแวะนั่งบ้าง แวะเก็บภาพสองข้างทางบ้างแต่ก็ต้องคอยระวังไม่ให้ไปเกะกะฝรั่งตัวใหญ่ๆ เหมือนกันเพราะอาจจะเจอชนปลิวได้ถ้าไปขวางเดินพี่เขา เพราะพี่เขาจะเดินไม่ค่อยหลบอะไรเท่าไหร่เหมือนขีดเส้นก่อนออกมาจากบ้านว่าต้องเดินมาตามทางนี้เท่านั้น จนกระทั่งมองเห็นยอดของโบสถ์ Frauenkirche หรือที่คนไทยอย่างเราๆ อาจจะผ่านหูผ่านตามาบ้างว่า “โบสถ์หัวหอม” อันโด่งดังของเมืองมิวนิค แสดงว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงจัตุรัสมาเรียนพลาทซ์แล้ว โดยโบสถ์นี้เหมือนเป็นอีกสัญลักษณ์ที่นักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือนมาเรียนพลาทซ์ต้องถ่ายรูปให้เห็นโบสถ์นี้ทุกครั้งที่ถ่ายรูปที่จัตุรัสมาเรียนพลาทซ์
สองฝั่งถนนคนเดินนี้มีร้านค้าแบรนด์เนมหลายร้าน แต่ละร้านก็มีลูกค้าอยู่ภายในร้านกันหลายคนแต่เท่าที่มองส่วนใหญเป็นลูกค้าจากเอเซียเกือบทั้งนั้น โดยเฉพาะคนจีน ไม่เพียงแค่นั้นระหว่างทางยังเดินสวนหรือว่ามีคนจีน ญี่ปุ่น และเอเซียชาติอื่นๆ เดินแซงไปเป็นระยะๆ แสดงให้เห็นว่าคนเอเซียมาเที่ยวที่นี่กันไม่น้อยเลย และมีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่มากันเองไม่ได้มากับบริษัททัวร์เพราะเดินกันเป็นคู่ๆ หรือ 3 – 4 คน อีกทั้งมองไม่เห็นคนถือธงเดินนำหน้าแต่อย่างใด