สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
1 มารดาของรัชกาลที่ 4 มิได้เป็นมุสลิม แต่เป็นสมเด็จพระศรีสุลาไลยมารดาของรัชกาลที่ 3 ต่างหาก (และเอาจริงก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าสมเด็จพระศรีสุลาไลยเป็นมุสลิม หลักฐานที่มีคือสืบเชื่อสายมาจากมุสลิมสุหนี่เท่านั้น แถมยังมีบันทึกว่าสมเด็จพระศรีสุลาไลยเคยหุงข้าวใส่บาตรพระด้วย)
2 ชาตินิยมแบบจอมพลแปลกไม่มีปัญหา คำนี้ๆสะท้อนให้เห็นว่าคนพูดไม่มีความรู้เลย สมัยรัฐนิยมของจอมพลแปลกนั้นสร้างความเดือดร้อนให้มุสลิมหนักหนาที่สุดยิ่งกว่ายุคใดๆ พยายามจะบีบให้มุสลิมต้องหันมาเป็นพุทธ
3 ตามข้อมูลหะยีสุหลงได้ไปร่ำเรียนศาสนาที่มักกะฮเมื่อปี 2450 และอยู่ที่นั้นยาวมากว่า 20 ปีจนกระทั่งสถาปนาซาอุดิอาระเบียและราชวงศ์ซาอูดสนับสนุนวะฮาบีย์-ซาลาฟีย์รวมทั้งค้ำชูให้มีการสอนแนววะฮาบีย์-ซาลาฟีย์โดยทั่วไป รวมทั้งในสมัยนั้นที่ตะวันออกกลางมีแนวคิดชาตินิยมรุนแรงจาก Young Turk และการรวบรวมชนเผ่าในอาหรับเพื่อสถาปนาซาอุดิอาระเบียที่หะยีสุหลงได้รับอิทธิพลมาเต็มที่ เมื่อหะยีสุหลงกลับมาปัตตานีในปี 2470 หะยีสุหลงก็ไม่พอใจอย่างมากที่พบว่าอิสลามในไทยได้เสื่อมโทรมลงเสียแล้วด้วยการหลงใหลไปในทางไสยศาสตร์ มุสลิมทั้งหลายก็เฉื่อยเนือย เขาจึงต้องการเปลี่ยนแปลงอิสลามในไทยและสั่งสอนศาสนาอิสลามไปตามที่ร่ำเรียนมาจากซาอุดิอาระเบีย และก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของอิสลามในไทย
4 กษัตริย์อยู่จุดสูงสุดของปิรามิดนี่น่ากลัวคนพูดจะเมา กษัตริย์ไทยต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหนก็ยังต้องกราบพระ และไม่สามารถสั่งประหารพระได้ง่ายๆทั้งๆที่เป็นเจ้าชีวิตและสมมุติเทพ
5 ราชสำนักไทยและรัฐบาลไทยไม่เคยกดขี่รึบีบบังคับมุสลิมให้เปลี่ยนความเชื่ออะไรเลยมีแต่โอนอ่อนอนุโลมให้ มีการออกกฎหมายอิสลามตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 5 งดรัชชูปการให้มุสลิมหลายจำพวก อนุโลมให้สุหนี่ในไทยแยกออกไปไม่ขึ้นกับจุฬาราชมนตรีที่เป็นชีอะห์ได้ มีแต่ยุครัฐนิยมของจอมพลแปลกเท่านั้นที่เอารัฐนาฏกรรมชนชาติไทยมาบีบบังคับให้มุสลิมต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเพื่อบังคับให้เปลี่ยนเป็นพุทธ
6 ขนาดแม้ในสมัยที่สภาของไทยมีประธานสภาเป็นมุสลิมอย่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงให้คำแนะนำแก่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทาว่าพิธีอะไรที่ขัดต่อศาสนาอิสลามอย่างเช่นการจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยก็ไม่ต้องฝืนทำให้รองประธานทำแทน
7 จากจดหมายเหตุหลวงอุดมสมบัติการส่งกองทัพลงไปยังไทรบุรีสมัยรัชกาลที่ ๓ ทรงตรัสช่วงหนึ่งเป็นห่วงใยชาวตานี และทรงทราบว่า "อ้ายแขกตานีไม่กินหมู ให้หาข้าวปลาอาหารจัดเป็นเสบียงให้ดี" เป็นการยืนยันว่าทางไทยให้ความสำคัญแก่พลเมืองอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
2 ชาตินิยมแบบจอมพลแปลกไม่มีปัญหา คำนี้ๆสะท้อนให้เห็นว่าคนพูดไม่มีความรู้เลย สมัยรัฐนิยมของจอมพลแปลกนั้นสร้างความเดือดร้อนให้มุสลิมหนักหนาที่สุดยิ่งกว่ายุคใดๆ พยายามจะบีบให้มุสลิมต้องหันมาเป็นพุทธ
3 ตามข้อมูลหะยีสุหลงได้ไปร่ำเรียนศาสนาที่มักกะฮเมื่อปี 2450 และอยู่ที่นั้นยาวมากว่า 20 ปีจนกระทั่งสถาปนาซาอุดิอาระเบียและราชวงศ์ซาอูดสนับสนุนวะฮาบีย์-ซาลาฟีย์รวมทั้งค้ำชูให้มีการสอนแนววะฮาบีย์-ซาลาฟีย์โดยทั่วไป รวมทั้งในสมัยนั้นที่ตะวันออกกลางมีแนวคิดชาตินิยมรุนแรงจาก Young Turk และการรวบรวมชนเผ่าในอาหรับเพื่อสถาปนาซาอุดิอาระเบียที่หะยีสุหลงได้รับอิทธิพลมาเต็มที่ เมื่อหะยีสุหลงกลับมาปัตตานีในปี 2470 หะยีสุหลงก็ไม่พอใจอย่างมากที่พบว่าอิสลามในไทยได้เสื่อมโทรมลงเสียแล้วด้วยการหลงใหลไปในทางไสยศาสตร์ มุสลิมทั้งหลายก็เฉื่อยเนือย เขาจึงต้องการเปลี่ยนแปลงอิสลามในไทยและสั่งสอนศาสนาอิสลามไปตามที่ร่ำเรียนมาจากซาอุดิอาระเบีย และก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของอิสลามในไทย
4 กษัตริย์อยู่จุดสูงสุดของปิรามิดนี่น่ากลัวคนพูดจะเมา กษัตริย์ไทยต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหนก็ยังต้องกราบพระ และไม่สามารถสั่งประหารพระได้ง่ายๆทั้งๆที่เป็นเจ้าชีวิตและสมมุติเทพ
5 ราชสำนักไทยและรัฐบาลไทยไม่เคยกดขี่รึบีบบังคับมุสลิมให้เปลี่ยนความเชื่ออะไรเลยมีแต่โอนอ่อนอนุโลมให้ มีการออกกฎหมายอิสลามตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 5 งดรัชชูปการให้มุสลิมหลายจำพวก อนุโลมให้สุหนี่ในไทยแยกออกไปไม่ขึ้นกับจุฬาราชมนตรีที่เป็นชีอะห์ได้ มีแต่ยุครัฐนิยมของจอมพลแปลกเท่านั้นที่เอารัฐนาฏกรรมชนชาติไทยมาบีบบังคับให้มุสลิมต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเพื่อบังคับให้เปลี่ยนเป็นพุทธ
6 ขนาดแม้ในสมัยที่สภาของไทยมีประธานสภาเป็นมุสลิมอย่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงให้คำแนะนำแก่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทาว่าพิธีอะไรที่ขัดต่อศาสนาอิสลามอย่างเช่นการจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยก็ไม่ต้องฝืนทำให้รองประธานทำแทน
7 จากจดหมายเหตุหลวงอุดมสมบัติการส่งกองทัพลงไปยังไทรบุรีสมัยรัชกาลที่ ๓ ทรงตรัสช่วงหนึ่งเป็นห่วงใยชาวตานี และทรงทราบว่า "อ้ายแขกตานีไม่กินหมู ให้หาข้าวปลาอาหารจัดเป็นเสบียงให้ดี" เป็นการยืนยันว่าทางไทยให้ความสำคัญแก่พลเมืองอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
แสดงความคิดเห็น
ศาสนาอิสลามมีปัญหากับสังคมไทยหรือรัฐนาฎกรรมแบบไทยๆเท่านั้น
พอดีกับไปอ่าน บทความของ อ.นิธิ เรื่อง ศาสนาในอุษาคเนย์
http://www.sujitwongthes.com/outlineofthaihistory/2013/02/knowledge01032556/
อ.นิธิให้ความเห็นที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง คือ ศาสนาที่คนในแถบนี้นับถือคือศาสนา พุทธ ปน พราหมณ์ ผี ที่ผนวกกันจนแยกกันไม่ออกและต่างก็เกื้อกูลกันให้สามารถขยายไปยังผู้คนได้กว้างขวาง เพราะยังยอมรับความเชื่อพื้นเมืองซึ่งมีในท้องถิ่นอีกด้วยก่อนการเข้ามาของศาสนา คริสต์ และอิสลาม
ทั้งอิสลามและคริสต์ศาสนา เมื่อเป็นที่นับถือของประชาชนในอุษาคเนย์แล้ว ก็ผนวกเอาความเชื่อเดิม ทั้งฮินดู ทั้งพุทธ และทั้งความเชื่อพื้นเมืองเข้าไปในศาสนา แสดงออกด้วยพิธีกรรมและการปฏิบัติที่มุสลิมและคริสต์ในถิ่นกำเนิดเดิมต้องย่นหน้าว่านอกรีตนี่หว่า ตัวอย่าง เช่น
http://pantip.com/topic/34589710/
คห. ที่ 2
อย่างไรก็ตาม เมื่อย่างเข้าสู่สมัยใหม่ เส้นเขตแดนที่ชัดเจนก็เริ่มเกิดกับศาสนาต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อะไรเป็นคริสต์, อะไรเป็นอิสลาม, อะไรเป็นฮินดู และอะไรเป็นพุทธเริ่มถูกนิยามให้ชัด โดยขจัดสิ่งที่ถือว่า “ไม่ใช่” ออกไป เหยียดว่าเป็นความป่าเถื่อนบ้าง, เหยียดว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิบ้าง
อำนาจที่เข้ามานิยามนี้แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ในเมืองไทยอำนาจดังกล่าวซ้อนทับกับอำนาจของผู้บริหารรัฐ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือผู้เป็นใหญ่ในเมืองไทยนั้นแหละ
แต่ในประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่ อำนาจดังกล่าวนี้ไม่ได้เป็นอำนาจของผู้บริหารรัฐ (ซึ่งเป็นฝรั่ง) แต่เป็นกลุ่มคนที่อยู่นอกอำนาจรัฐ และในหลายกรณีต่อต้านผู้ถืออำนาจรัฐเสียด้วย การนิยามขอบเขตของศาสนากันใหม่ จนทำให้เกิดความชัดเจนว่าแค่ไหนอย่างไรจึงเป็นคริสต์, เป็นอิสลาม, เป็นพุทธ และเป็นฮินดู จึงทำให้เกิด “อาญาสิทธิ์” ที่แตกต่างจากผู้ถืออำนาจทางการเมืองของรัฐ ทั้งในสมัยที่ยังเป็นอาณานิคม และเป็นเอกราชแล้ว
บางครั้งก็ต่อต้านอำนาจรัฐเหมือนเดิม อย่างน้อยก็เป็น “อาญาสิทธิ์” ที่เป็นอิสระจากรัฐ และคานอำนาจรัฐได้
ศาสนาและองค์กรศาสนาจึงยังมีบทบาททั้งทางการเมืองและสังคมในประเทศเหล่านั้นอยู่ แตกต่างจากพุทธศาสนาในเมืองไทย ที่บทบาททางสังคมก็เหลือน้อยลง ในขณะที่ไม่มีหรือไม่กล้ามีบทบาททางการเมืองเลย และถูกผนวกร่วมเข้ากันกับ รัฐนาฏกรรม แบบไทยๆที่มีกษัตริย์อยู่บนจุดสูงสุดของยอดปีระมิด http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1338583414
รัฐนาฏกรรม แบบไทยๆ มันมีความต้องการพิเศษคือผนวกรวมเอาความเชื่อ ศาสนาต่างๆมารับใช้ตัวมันเองให้ได้ มันทำให้พุทธ พราหมณ์ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมบูชาจุดสูงสุดของปิระมิด พราหมณ์ไทยมีพิธีกรรมความเชื่อต่างจากศาสนาฮินดูที่วัดแขกสีลม (เข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 5)
พราหมณ์ไทย กินเนื้อเว้น ปลาไหลและวัว ขณะที่ฮินดูสีลม เป็นมังสวิรัต ฮินดูสีลมจึงไม่ขึ้นกับพราหมณ์ไทยแยกกันต่างหาก พราหมณ์ไทยบวชได้
พราหมณ์ไทย โล้ชิงช้า ขณะที่ฮินดูสีลมไม่รู้ว่าพิธีโล้ชิงช้าคืออะไร
ในอินเดีย พราหมณ์จะต้องแต่งกับ พราหมณ์ด้วยกันเท่านั้น
นอกจากนั้นแขกสีลมแยกกันคนละพวกกับ พราหรมณ์ไทยไม่ขึ้นต่อกัน เรียกว่า คุรุปรัมปรา ไม่ก้าวกายกัน
รัฐนาฎกรรมไทยประสบความสำเร็จถึงจุดสูงสุดที่สามารถรวมเอา พราหมณ์ พุทธร่วมกันได้ภายใต้ร่มธงเดียว จุดที่เห็นชัดเจนคือ เพลง ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป
เพลงนี้มันมีความพิเศษมากที่ มันขัดกับหลักพุทธศาสนาอย่างรุนแรง พราหมณ์ด้วย แต่สามารถออกช่องทุกช่องได้ มีอิสลาม คริสต์ ร่วมอยู่ในเพลงนี้ด้วย
สมัยก่อนรัฐนาฎกรรมแบบไทยๆมันไม่ได้เข้มข้นมากเพราะมันไม่มีความเป็นรัฐชาติที่ต้องมีวัฒนธรรมร่วมกันแบบปัจจุบันที่ถูกสร้างขึ้นใหม่หลัง 2475 มันจึงยังมีที่ว่างเหลือให้ศาสนาอิสลาม คริสต์มีพื้นที่ของตนเอง หรือเราจะเรียกว่าอยู่กันแบบมั่วๆไป แต่พอเริ่มเข้าสมัยใหม่มากขึ้น อะไรเป็นคริสต์, อะไรเป็นอิสลาม, อะไรเป็นฮินดู และอะไรเป็นพุทธเริ่มถูกนิยามให้ชัด โดยขจัดสิ่งที่ถือว่า “ไม่ใช่” ออกไป รัฐนาฎกรรมที่มันถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับปิระมิดความเชื่อ โดยเฉพาะศาสนาที่มีพระเจ้ามันจึงต้องอยู่สูงกว่าปิระมิดวะเอง
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคำถาม เช่น ผมเป็นทหารและเป็นอิสลามผม จะเคารพธงชัยเฉลิมพลที่มีพะพุทธรูปอยู่บนยอดธงได้มั้ย หรือคำถาม เช่น เหตุใดอิสลามในไทยจึงยอมให้ ในหลวงประทับนั่งบนที่ที่เขาจัดไว้ให้เทศน์ในวันศกร์ได้ เพราะเข้าไม่อนุญาติให้คนต่างศาสนานั่ง หรือ การใช้คำว่าพระราชทานดินฝังศพ
ความเป็นชาตินิยมไทยก็มีความหมายที่คับแคบมากๆด้วยอย่างหนึ่ง คือมันต้องการแค่คนที่รักเจ้า ผิดกับชาตินิยมแบบเจ้าพล ป. ที่เอาทุกคนเป็นไทยแล้วมีชาติเท่านั้นที่สำคัญที่สุด คนไทยทุกคนไม่ได้นิยมเจ้ามากๆทุกคนไป แต่การจะพูดว่า อิสบามต้องยอมรับรัฐนาฎกรรมนี้ด้วย ก็จะทำให้มีคนรุมด่าได้ว่าบีบบังคับให้ละทิ้งศาสนา ดังนั้นเวลารัฐนาฎกรรมจะพูดอะไร จึงเลี่ยงไปใช้คำว่า สมัยก่อนอิสบามไม่มีปัญหากับพุทธ แต่สมัยนี้อิสบามมีปัญหาเพราะพวกที่จบจากนอก เหมือนใข้เรื่อง ประชาธิปไตยเป็นของฝรั่งไม่เหมาะกับสังคมไทยแต่มาใช้กับประเด็นศาสนาแทน
คำถามต่อมาคือ แล้วอิสลามแบบไหนหละที่ รัฐนาฎกรรมไทยต้องการ เราเดาว่า คงน่าจะเป็นแบบ แม่ของรัชกาลที่ 4 ที่เป็นอิสลาม หรือ ขุนนางตระกูลบุนนาค ที่มาเข้ารับพุทธแทนอิสลาม หรือ คนอย่างพลเอก สนธิ บุญรัต ที่เข้ามาทำพิธีพราหมณ์ในวังหลวงได้อย่างไม่ขัดเขิน เขาต้องการคนแบบนั้น อิสลามแบบนั้น