ณ. บัดนี้หลังสงครามการพิชิตเมืองมักกะฮ์ และการสู้รบอย่างเด็ดเดี่ยวในหลายสงครามก่อนหน้านี้ และการซื้อใจด้วยการให้ ทรัพย์แก่ผู้คนและเชลยศึกที่หันมารับอิสลาม หลังจากชัยชนะในสงครามหุนัยน์ และการปิดล้อมเมืองฏออีฟที่เคยดูถูกท่านนบี อำนาจของท่านนบีมูฮัมหมัดในทางโลกเริ่มแผ่กระจายออกไปทั่วทั้งอารเบีย สงครามข่าวสาร ด้วยการแต่งบทกวีด่าท่านนบีและศาสนาอิสลามที่เป็นเรื่องที่น่าหนักใจและมีผล กระทบทางความรู้สึกที่รุนแรงก็ค่อยๆจางหายไปกับสายลมแห่งทะเลทราย
ช่วงเวลาหลังจากที่ได้พิชิตเมืองเหล่านี้เสมือนจะเป็นเวลา ที่ข่าวสารการใส่ร้ายของท่านและศาสนาอิสลามในตอนต้นๆ นั้น เริ่มถูกข่าวที่เป็นจริงลบล้างออกไป ข่าวเรื่องการประหารชีวิตเชลยศึกไปเพียงสี่คนในสงครามการเข้าพิชิตมักกะฮ์
ชาวมักกะฮ์หลายคนได้ส่งข่าวไปหาพี่น้องของเขาที่หนีออกไปตอนก่อนสงครามและในขณะสงครามให้กลับมาเถิด และท่านนบีและมุสลิมนั้นมิได้โหดเหี้ยมโกรธแค้น อย่างไร้เหตุผล หลายคนเริ่มกลับมา และเข้ารับอิสลาม ดีกว่าที่พวกเขาจะต้องไปใช้ชีวิตในอาณาจักรอื่น
ท่านนบีได้เปลี่ยนชื่อ ซัยด์ อัลคัยล์ (ที่แปลว่า มีม้าเพิ่มพูน) มาเป็น ซัยด์ อัลคอยร์ (แปลว่า มีความดีเพิ่มพูน) คนของเผ่าฏ็อย ที่ ซัยด์ พามาได้เปลี่ยนมานับถืออิสลามทั้งหมด
ผู้คนที่เคยหนีไปด้วยเหตุผลต่างๆในช่วงสงครามเริ่มเปลี่ยนศาสนาและกลับมากลับมา ชาวเผ่าตต่างๆก็เริ่มเปลี่ยนมานับถือศาสนาใหม่ที่เกิดในอารเบียนี้
ในสงครามบัดร์นั้น มีเชลยที่เป็นลูกเขยท่านนบี อะบุลอะซี ที่มาร่วมรบในนามของชาวมุชริกมักกะอ์ และ ซัยหนับยังคงเป็นภรรยาของ อะบุลอะซี ที่อยู่ในเมืองมักกะฮ์ ได้ส่ง ทรัพย์สินมาเพื่อขอไถ่ตัวสามีของนาง ในจำนวนทรัพย์สินนั้น ท่านจำได้ว่าเป็นสร้อยคอที่ คอดียะฮ์ ภรรยาคนแรกของท่านที่ล่วงลับนั้น ได้มอบให้เป็นของขวัญในวันแต่งงานของบุตรสาวของนาง ท่านนบีรู้สึกเอ็นดูต่อบุตรีคนนี้เป็นอย่างมาก ในเรื่องการที่างนั้น เป็นสตรีผู้ที่จงรักภักดีต่อสามีของนางเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในยามทุกข์และยามสุข (บุตรเขยของศาสนทูตมูฮัมหมัด ตกเป็นเชลยของฝ่ายมุสลิม และทรัพย์ค่าไถ่ตัวเชลยที่ทำให้ท่านระลึกถึงภรรยาคนแรกของท่าน)
ไม่นานนักท่านก็มีข่าวดีที่พระเจ้าทรงประทานบุตรชายให้แก่ท่านจากภรรยา ที่เป็นชาวคอปต์ (อียิปต์) ซึ่งภรรยาคนนี้ของท่านนั้น เป็นสตรีหนึ่งในสองคนที่ อาร์ตบิช็อป นิกายคอปติก ชาวคริสต์แห่งอเล็กซานเดรีย แห่งอียิปต์ที่ท่านส่งสารเชิญชวนให้มารับอิสลาม ได้ตอบรับโดยมอบ ทาสหญิงสองคนและล่อสีขาวมาให้ หนึ่งในสองคนของทาสหญิงนั้นท่านได้แต่งงานด้วย คือ มารีญะฮ์ และได้ยกย่องดูแลนาง ฐานะภรรยา เราจะเห็นได้ว่า เมื่อตอนที่ท่านแต่งงานกับภรรยาคนแรกของท่านตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบี(ศาสนทูต)ของพระเจ้า ที่ชื่อคอดีญะฮ์ซึ่งเป็นหญิงหม้าย ที่เคยมีบุตรกับสามีเก่ามาแล้ว และแก่กว่าท่านถึงสิบห้าปี เมื่ออยู่กับท่านนบีนางก็ยังให้กำเนิดบุตรแก่ท่านถึง หกคน ภรรยาคนแรกของท่านอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับท่านอยู่ถึงสิบปี จนนางจากไป และท่านได้แต่งงานใหม่เมื่อท่านเข้าสู่วัยห้าสิบต้นๆนั้น แม้ท่านจะมีภรรยาหลายคนในช่วงเวลานั้นด้วยเหตุผลต่างๆกันไป แต่เธอเหล่านั้นก็ไม่เคยมีบุตรเลย แม้ในบรรดาภรรยาของท่านเหล่านั้นจะเป็นสตรีที่มีอายุอยู่ในวัยสาวที่พร้อมจะตั้งครรภ์อยู่หลายคนก็ตาม
เนื่องจากนางมารีญะฮ์นั้นเป็นทาสที่ถูกมอบมาให้ เพื่อลดปัญหากับภรรยาคนอื่นๆของท่าน ท่านจึงไม่ได้สร้างห้องของนางไว้ที่บ้านข้างมัสยิดของท่านเหมือนภรรยาคนอื่นๆ แต่ได้จัดหาบ้านหลังหนึ่งให้แก่นาง มารีญะฮ์ แห่งหนึ่งที่ชานเมืองมะดีนะฮ์ และตำบลนี้ก็ได้ชื่อว่า มัซเราะบัต อุมมุ อิบรอฮีม (บ้านคุณแม่ของอิบรอฮีม) มาจนถึงทุกวันนี้บ้านของนางนั้นล้อมรอบได้ด้วยไร่องุ่น ซึ่งท่านนบีมักจะมาเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ ท่านไม่เคยคาดหวังว่าท่านจะมีบุตรอีกครั้ง หลังจากที่ คอดีญะฮ์ ภรรยาคนแรกของท่านจากไป
ดังนั้น เมื่อรู้ว่าท่านจะมีบุตร เหตุการณ์นี้ย่อมนำความยินดีมาสู่ท่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านมีอายุใกล้จะหกสิบปีแล้ว ท่านยิ่งมีความรักต่อนางมารีญะฮ์มากขึ้น และท่านนั้นมองนางเป็นอิสระชนและเป็นที่โปรดปรานของท่าน และนางได้คลอดบุตรที่เป็นชายแก่ท่าน ท่านตั้งชื่อให้แก่เขาว่า อิบรอฮีม(อับราฮัม) เหมือนกับนบีในอดีตที่เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งให้รื้อฟื้น หลักการอันถูกต้องในการนับถือพระเจ้าองค์เดียวให้กลับมาสู่โลกอีกครั้ง ผู้ที่สร้าง วิหารกะอ์บะฮ์ บ้านแห่งพระเจ้าไว้ที่เมืองมักกะฮ์ ก่อนหน้าท่านเกิดราวสี่พันปี
ท่านศาสดามูฮัมหมัดกับการมีบุตรชายในวัยเกือบ60
ช่วงเวลาหลังจากที่ได้พิชิตเมืองเหล่านี้เสมือนจะเป็นเวลา ที่ข่าวสารการใส่ร้ายของท่านและศาสนาอิสลามในตอนต้นๆ นั้น เริ่มถูกข่าวที่เป็นจริงลบล้างออกไป ข่าวเรื่องการประหารชีวิตเชลยศึกไปเพียงสี่คนในสงครามการเข้าพิชิตมักกะฮ์
ชาวมักกะฮ์หลายคนได้ส่งข่าวไปหาพี่น้องของเขาที่หนีออกไปตอนก่อนสงครามและในขณะสงครามให้กลับมาเถิด และท่านนบีและมุสลิมนั้นมิได้โหดเหี้ยมโกรธแค้น อย่างไร้เหตุผล หลายคนเริ่มกลับมา และเข้ารับอิสลาม ดีกว่าที่พวกเขาจะต้องไปใช้ชีวิตในอาณาจักรอื่น
ท่านนบีได้เปลี่ยนชื่อ ซัยด์ อัลคัยล์ (ที่แปลว่า มีม้าเพิ่มพูน) มาเป็น ซัยด์ อัลคอยร์ (แปลว่า มีความดีเพิ่มพูน) คนของเผ่าฏ็อย ที่ ซัยด์ พามาได้เปลี่ยนมานับถืออิสลามทั้งหมด
ผู้คนที่เคยหนีไปด้วยเหตุผลต่างๆในช่วงสงครามเริ่มเปลี่ยนศาสนาและกลับมากลับมา ชาวเผ่าตต่างๆก็เริ่มเปลี่ยนมานับถือศาสนาใหม่ที่เกิดในอารเบียนี้
ในสงครามบัดร์นั้น มีเชลยที่เป็นลูกเขยท่านนบี อะบุลอะซี ที่มาร่วมรบในนามของชาวมุชริกมักกะอ์ และ ซัยหนับยังคงเป็นภรรยาของ อะบุลอะซี ที่อยู่ในเมืองมักกะฮ์ ได้ส่ง ทรัพย์สินมาเพื่อขอไถ่ตัวสามีของนาง ในจำนวนทรัพย์สินนั้น ท่านจำได้ว่าเป็นสร้อยคอที่ คอดียะฮ์ ภรรยาคนแรกของท่านที่ล่วงลับนั้น ได้มอบให้เป็นของขวัญในวันแต่งงานของบุตรสาวของนาง ท่านนบีรู้สึกเอ็นดูต่อบุตรีคนนี้เป็นอย่างมาก ในเรื่องการที่างนั้น เป็นสตรีผู้ที่จงรักภักดีต่อสามีของนางเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในยามทุกข์และยามสุข (บุตรเขยของศาสนทูตมูฮัมหมัด ตกเป็นเชลยของฝ่ายมุสลิม และทรัพย์ค่าไถ่ตัวเชลยที่ทำให้ท่านระลึกถึงภรรยาคนแรกของท่าน)
ไม่นานนักท่านก็มีข่าวดีที่พระเจ้าทรงประทานบุตรชายให้แก่ท่านจากภรรยา ที่เป็นชาวคอปต์ (อียิปต์) ซึ่งภรรยาคนนี้ของท่านนั้น เป็นสตรีหนึ่งในสองคนที่ อาร์ตบิช็อป นิกายคอปติก ชาวคริสต์แห่งอเล็กซานเดรีย แห่งอียิปต์ที่ท่านส่งสารเชิญชวนให้มารับอิสลาม ได้ตอบรับโดยมอบ ทาสหญิงสองคนและล่อสีขาวมาให้ หนึ่งในสองคนของทาสหญิงนั้นท่านได้แต่งงานด้วย คือ มารีญะฮ์ และได้ยกย่องดูแลนาง ฐานะภรรยา เราจะเห็นได้ว่า เมื่อตอนที่ท่านแต่งงานกับภรรยาคนแรกของท่านตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบี(ศาสนทูต)ของพระเจ้า ที่ชื่อคอดีญะฮ์ซึ่งเป็นหญิงหม้าย ที่เคยมีบุตรกับสามีเก่ามาแล้ว และแก่กว่าท่านถึงสิบห้าปี เมื่ออยู่กับท่านนบีนางก็ยังให้กำเนิดบุตรแก่ท่านถึง หกคน ภรรยาคนแรกของท่านอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับท่านอยู่ถึงสิบปี จนนางจากไป และท่านได้แต่งงานใหม่เมื่อท่านเข้าสู่วัยห้าสิบต้นๆนั้น แม้ท่านจะมีภรรยาหลายคนในช่วงเวลานั้นด้วยเหตุผลต่างๆกันไป แต่เธอเหล่านั้นก็ไม่เคยมีบุตรเลย แม้ในบรรดาภรรยาของท่านเหล่านั้นจะเป็นสตรีที่มีอายุอยู่ในวัยสาวที่พร้อมจะตั้งครรภ์อยู่หลายคนก็ตาม
เนื่องจากนางมารีญะฮ์นั้นเป็นทาสที่ถูกมอบมาให้ เพื่อลดปัญหากับภรรยาคนอื่นๆของท่าน ท่านจึงไม่ได้สร้างห้องของนางไว้ที่บ้านข้างมัสยิดของท่านเหมือนภรรยาคนอื่นๆ แต่ได้จัดหาบ้านหลังหนึ่งให้แก่นาง มารีญะฮ์ แห่งหนึ่งที่ชานเมืองมะดีนะฮ์ และตำบลนี้ก็ได้ชื่อว่า มัซเราะบัต อุมมุ อิบรอฮีม (บ้านคุณแม่ของอิบรอฮีม) มาจนถึงทุกวันนี้บ้านของนางนั้นล้อมรอบได้ด้วยไร่องุ่น ซึ่งท่านนบีมักจะมาเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ ท่านไม่เคยคาดหวังว่าท่านจะมีบุตรอีกครั้ง หลังจากที่ คอดีญะฮ์ ภรรยาคนแรกของท่านจากไป
ดังนั้น เมื่อรู้ว่าท่านจะมีบุตร เหตุการณ์นี้ย่อมนำความยินดีมาสู่ท่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านมีอายุใกล้จะหกสิบปีแล้ว ท่านยิ่งมีความรักต่อนางมารีญะฮ์มากขึ้น และท่านนั้นมองนางเป็นอิสระชนและเป็นที่โปรดปรานของท่าน และนางได้คลอดบุตรที่เป็นชายแก่ท่าน ท่านตั้งชื่อให้แก่เขาว่า อิบรอฮีม(อับราฮัม) เหมือนกับนบีในอดีตที่เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งให้รื้อฟื้น หลักการอันถูกต้องในการนับถือพระเจ้าองค์เดียวให้กลับมาสู่โลกอีกครั้ง ผู้ที่สร้าง วิหารกะอ์บะฮ์ บ้านแห่งพระเจ้าไว้ที่เมืองมักกะฮ์ ก่อนหน้าท่านเกิดราวสี่พันปี