คห..ส่วนตัว บนข้อเท็จจริง
Jas มาใหม่ต้นทุนสูงจะแข่งขันอย่างไร?
true เองมีคลื่นความถี่พร้อมที่สุดอยู่แล้วในระยะยาว แต่ต้องเสียเงินเพิ่มเป็นจำนวนมหาศาลทำไม?? ที่จะส่งผลอย่างมากต่อต้นทุนการดำเนินการ
ใครๆก็คาดว่าtrue คงเพียงหวังมาปั้นราคา ให้คู่แข่งที่ได้ไปมีภาระต้นทุนสูง แต่ตนเองกลับติดกับดัก เพราะรายใหญ่และเบอร์สองชิงลุกหนีก่อน ใช่หรือไม่?
มาคำนวณกันง่ายๆนะครับ
ค่าสัมทานที่ประมูลได้ตัวเลขกลมๆ
75000 ++ล้านบาท อายุ15 ปี
ค่าตัดจ่ายสัมปทาน D/P
้เท่ากับปีละ 5000++ ล้านบาท
เมื่อหารเป็นรายไตรมาส
เท่ากับ1250++ ล้านบาท
ทั้งJas และ true ที่ได้ไป มีภาระ ค่าตัดจ่าย D/P เพิ่มไตรมาสละ ประมาณ 1250 ++ล้านบาท
โดยเฉพาะ true งวดที่แล้วได้คลื่น1800 ก็ต้องเตรียมมีภาระค่า D/P เพิ่มขึ้นประมาณ 550++ ล้านบาท ต่อไตรมาส
รวมแล้วนับตั้งแต่งนี้ไป true ต้องมีภาระ
D/P เพิ่มขึ้นอีก รวมแล้ว ไม่ต่ำกว่า
1800++ ล้านบาทต่อไตรมาส
ผลประกอบการไตรมาส3/2015 เลิศสุด
ของtrue มีกำไรสุทธิ 1070 ล้านบาท
นักลงทุนคงต้องคิดเอาเองนะครับ
True มีค่าตัดจ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่ากำไรสุทธิที่ผ่านมาสดๆแล้วราคาหุ้นควรจะ
สะท้อนบนพื้นฐานอย่างไร
การประมูลความถี่ได้มาก็ใช่ว่า จะได้ลูกค้ามาทันที ต้องแข่งขันกันทางด้านตลาดอีก
ลูกค้าใหม่(prenetration rate)ก็เต็มแล้ว เหลือแต่ลูกค้าปัจจุบันที่ต้องแย้งชิงถ่ายเทกันเอง
อีกทั้งtrue เมื่อรวมภาระต้องจ่ายเงินสดค่าสัปทานใหม่สองรายการนี้กระแสเงินสดย่อมไม่พออยู่แล้ว
ต้องเพิ่มทุน ถ้าไม่เพิ่มทุนภาระดอกเบี้ยก็เพิ่มมาอีก ถ้าหากต้องกู้เพื่อนำเงินไปจ่ายค่าสัมปทานใหม่สองรายการนี้.
Jas ต้องเริ่มนับหนึ่งในการลงทุน
ในธุรกิจนี้ และต้องนับหนึ่งในเรื่องการหารายได้และลูกค้า ต้นทุน D/Pเช่นนี้
บอกได้เลยว่าเหนื่อยสุด สุด
เพราะยังขายของไม่ได้เลยแต่มีค่าใช้จ่ายD/Pมหาศาลรออยู่แล้ว
มันแตกต่างกับสมัยสัมทานเดิมที่ผู้ให้บริการรุ่นพี่เคยจ่ายกันในยุคเข้าเริ่มดำเนินธุรกิจ เพราะเดิมเค้าขายได้ก่อนจึงมาแบ่ง%ให้เจ้าของคลื่น จริงไหมครับ
การช่วงชิงลูกค้ามันง่ายนักหรือ?
#บทเรียนจากอดีต
AIS ในช่วง2-3ปีที่ผ่านมา บนวิกฤติ แบบมี 3G บนคลื่นความถี่น้อยที่สุด ยังรักษาฐานลูกค้าเป็นลำดับหนึ่งไว้ได้
Dtac เคยมีปัญหาความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพสัญญาณ จากอดีดที่เคยสัญญาณล่มบ่อยครั้ง dtacก็ยังรักษาฐานลูกค้าไว้ได้เป็นเบอร์2 จนถึงทุกวันนี้
ราคาหุ้นAIS และdtac ตกลงสะท้อนไปก่อนหน้าแล้วจากราคาประมูลสูงเกินคาดและยืดเยื้อเลยไปจนปิดตลาดสุดสัปดาห์
อย่างไรก็ตามหลังประมูลแล้วทั้งAIS และdtac คงต้องเหนื่อยกับกระแสทางด้านตลาดในช่วงสั้นๆ และต้องPRอธิบายกันพอสมควร
โดยเฉพาะ dtac คงต้องลุ้นกันอีกในสามปีข้างหน้าที่จะต้องประมูลคลื่นความถี่1800 ที่ตนเองหมดสัมปทานกลับมา แต่อย่างไร dtacก็ยังมีความถี่ 2100 อยู่แล้ว ยังอาจใช้ทางเลือกที่True ก็เคยใช่รอดช่องผ่านวิบากกรรมแบบไี้ร้คลื่นความถี่ของตนเองมาแล้ว
ตลาดสะท้อนราคาหุ้นในวันแรกของการประมูล(15-12-15)อย่างไร
dtac เกือบชนชิลลิ่ง จาก 42 บาทวิ่งไป 51.50 บาทปิดที่ 49 บาท +16.67%
AIS วิ่งจาก 194 ไปปิดราคาสูงสุดของวันที่ 215 บาท+21%
โดยที่ ราคาหุ้น Jas +10.26% และTrue +9.03%
แสดงว่านักลงทุนคาดการณ์ว่าสองราย AIS และdtac นี้จะได้อย่างแน่นอน และการประมูลจบเร็วในราคาที่ไม่สูงนักพอๆกับครั้งก่อน
แต่เมื่อความไม่แน่นอนเริ่มเกิดขึ้นการประมูลไม่จบในวันที 2 และราคาประมูลสูงกว่าครั้งก่อน
บนความคาดการณ์เดิมว่า AISและ Dtac จะเป็นผู้ชนะประมูล
ราคาหุ้น AIS และdtac จึงตกลดลงมากต่อเนื่อง จากราคาประมูลที่วิ่งสูงเกินแสนสามหมื่นล้านบาทและยืดเยื้อเลยไปจนปิดตลาดสุดสัปดาห์ เพราะภาระการตัดจ่ายD/P ของปู้ประมูลได้จะสูงมากกว่าประโยชน์จากรายได้ที่จะเพิ่มเข้ามา
โดยเฉพาะ dtacได้ก็เหนื่อย ไม่ได้ก็เหนื่อย ต่อแผนการตลาดใน3 ปี ข้างหน้า
เมื่อราคาประมูลสูงเกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ เช่นนี้ นักลงทุนไม่มีใครคิดว่า true จะได้และก็ไม่คาดคิดว่า Jas จะเอาจริง ราคาหุ้น true และ Jas ช่วงในช่วงการประมูลจึงผันผวนและ ลดลงในสัดส่วนน้อยกว่า dtac และ AIS
ราคาหุ้นสัปดาห์หน้าทั้ง AIS และ dtac คงไม่ลงเลวร้ายไปกว่านี้มาก และอาจดีดกลับสะท้อนพื้นฐานจริงโดยเฉพาะ AIS
ส่วน true และJas ผมไม่กล้าคาดเดา
จริงๆ
ข้อมูลตัวเลขไปคำนวณกันได้เองนะค่ับและความเห็นก็จากมุมองส่วนตัวของผมไม่จำเป็นต้องเชื่อผม.......
AIS /Dtac ไม่ชนะ ราคาหุ้นหลังเกมส์จะเป็นอย่างไร ..บทวิเคราห์ส่วนตัว
Jas มาใหม่ต้นทุนสูงจะแข่งขันอย่างไร?
true เองมีคลื่นความถี่พร้อมที่สุดอยู่แล้วในระยะยาว แต่ต้องเสียเงินเพิ่มเป็นจำนวนมหาศาลทำไม?? ที่จะส่งผลอย่างมากต่อต้นทุนการดำเนินการ
ใครๆก็คาดว่าtrue คงเพียงหวังมาปั้นราคา ให้คู่แข่งที่ได้ไปมีภาระต้นทุนสูง แต่ตนเองกลับติดกับดัก เพราะรายใหญ่และเบอร์สองชิงลุกหนีก่อน ใช่หรือไม่?
มาคำนวณกันง่ายๆนะครับ
ค่าสัมทานที่ประมูลได้ตัวเลขกลมๆ
75000 ++ล้านบาท อายุ15 ปี
ค่าตัดจ่ายสัมปทาน D/P
้เท่ากับปีละ 5000++ ล้านบาท
เมื่อหารเป็นรายไตรมาส
เท่ากับ1250++ ล้านบาท
ทั้งJas และ true ที่ได้ไป มีภาระ ค่าตัดจ่าย D/P เพิ่มไตรมาสละ ประมาณ 1250 ++ล้านบาท
โดยเฉพาะ true งวดที่แล้วได้คลื่น1800 ก็ต้องเตรียมมีภาระค่า D/P เพิ่มขึ้นประมาณ 550++ ล้านบาท ต่อไตรมาส
รวมแล้วนับตั้งแต่งนี้ไป true ต้องมีภาระ
D/P เพิ่มขึ้นอีก รวมแล้ว ไม่ต่ำกว่า
1800++ ล้านบาทต่อไตรมาส
ผลประกอบการไตรมาส3/2015 เลิศสุด
ของtrue มีกำไรสุทธิ 1070 ล้านบาท
นักลงทุนคงต้องคิดเอาเองนะครับ
True มีค่าตัดจ่ายเพิ่มขึ้นมากกว่ากำไรสุทธิที่ผ่านมาสดๆแล้วราคาหุ้นควรจะ
สะท้อนบนพื้นฐานอย่างไร
การประมูลความถี่ได้มาก็ใช่ว่า จะได้ลูกค้ามาทันที ต้องแข่งขันกันทางด้านตลาดอีก
ลูกค้าใหม่(prenetration rate)ก็เต็มแล้ว เหลือแต่ลูกค้าปัจจุบันที่ต้องแย้งชิงถ่ายเทกันเอง
อีกทั้งtrue เมื่อรวมภาระต้องจ่ายเงินสดค่าสัปทานใหม่สองรายการนี้กระแสเงินสดย่อมไม่พออยู่แล้ว
ต้องเพิ่มทุน ถ้าไม่เพิ่มทุนภาระดอกเบี้ยก็เพิ่มมาอีก ถ้าหากต้องกู้เพื่อนำเงินไปจ่ายค่าสัมปทานใหม่สองรายการนี้.
Jas ต้องเริ่มนับหนึ่งในการลงทุน
ในธุรกิจนี้ และต้องนับหนึ่งในเรื่องการหารายได้และลูกค้า ต้นทุน D/Pเช่นนี้
บอกได้เลยว่าเหนื่อยสุด สุด
เพราะยังขายของไม่ได้เลยแต่มีค่าใช้จ่ายD/Pมหาศาลรออยู่แล้ว
มันแตกต่างกับสมัยสัมทานเดิมที่ผู้ให้บริการรุ่นพี่เคยจ่ายกันในยุคเข้าเริ่มดำเนินธุรกิจ เพราะเดิมเค้าขายได้ก่อนจึงมาแบ่ง%ให้เจ้าของคลื่น จริงไหมครับ
การช่วงชิงลูกค้ามันง่ายนักหรือ?
#บทเรียนจากอดีต
AIS ในช่วง2-3ปีที่ผ่านมา บนวิกฤติ แบบมี 3G บนคลื่นความถี่น้อยที่สุด ยังรักษาฐานลูกค้าเป็นลำดับหนึ่งไว้ได้
Dtac เคยมีปัญหาความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพสัญญาณ จากอดีดที่เคยสัญญาณล่มบ่อยครั้ง dtacก็ยังรักษาฐานลูกค้าไว้ได้เป็นเบอร์2 จนถึงทุกวันนี้
ราคาหุ้นAIS และdtac ตกลงสะท้อนไปก่อนหน้าแล้วจากราคาประมูลสูงเกินคาดและยืดเยื้อเลยไปจนปิดตลาดสุดสัปดาห์
อย่างไรก็ตามหลังประมูลแล้วทั้งAIS และdtac คงต้องเหนื่อยกับกระแสทางด้านตลาดในช่วงสั้นๆ และต้องPRอธิบายกันพอสมควร
โดยเฉพาะ dtac คงต้องลุ้นกันอีกในสามปีข้างหน้าที่จะต้องประมูลคลื่นความถี่1800 ที่ตนเองหมดสัมปทานกลับมา แต่อย่างไร dtacก็ยังมีความถี่ 2100 อยู่แล้ว ยังอาจใช้ทางเลือกที่True ก็เคยใช่รอดช่องผ่านวิบากกรรมแบบไี้ร้คลื่นความถี่ของตนเองมาแล้ว
ตลาดสะท้อนราคาหุ้นในวันแรกของการประมูล(15-12-15)อย่างไร
dtac เกือบชนชิลลิ่ง จาก 42 บาทวิ่งไป 51.50 บาทปิดที่ 49 บาท +16.67%
AIS วิ่งจาก 194 ไปปิดราคาสูงสุดของวันที่ 215 บาท+21%
โดยที่ ราคาหุ้น Jas +10.26% และTrue +9.03%
แสดงว่านักลงทุนคาดการณ์ว่าสองราย AIS และdtac นี้จะได้อย่างแน่นอน และการประมูลจบเร็วในราคาที่ไม่สูงนักพอๆกับครั้งก่อน
แต่เมื่อความไม่แน่นอนเริ่มเกิดขึ้นการประมูลไม่จบในวันที 2 และราคาประมูลสูงกว่าครั้งก่อน
บนความคาดการณ์เดิมว่า AISและ Dtac จะเป็นผู้ชนะประมูล
ราคาหุ้น AIS และdtac จึงตกลดลงมากต่อเนื่อง จากราคาประมูลที่วิ่งสูงเกินแสนสามหมื่นล้านบาทและยืดเยื้อเลยไปจนปิดตลาดสุดสัปดาห์ เพราะภาระการตัดจ่ายD/P ของปู้ประมูลได้จะสูงมากกว่าประโยชน์จากรายได้ที่จะเพิ่มเข้ามา
โดยเฉพาะ dtacได้ก็เหนื่อย ไม่ได้ก็เหนื่อย ต่อแผนการตลาดใน3 ปี ข้างหน้า
เมื่อราคาประมูลสูงเกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ เช่นนี้ นักลงทุนไม่มีใครคิดว่า true จะได้และก็ไม่คาดคิดว่า Jas จะเอาจริง ราคาหุ้น true และ Jas ช่วงในช่วงการประมูลจึงผันผวนและ ลดลงในสัดส่วนน้อยกว่า dtac และ AIS
ราคาหุ้นสัปดาห์หน้าทั้ง AIS และ dtac คงไม่ลงเลวร้ายไปกว่านี้มาก และอาจดีดกลับสะท้อนพื้นฐานจริงโดยเฉพาะ AIS
ส่วน true และJas ผมไม่กล้าคาดเดา
จริงๆ
ข้อมูลตัวเลขไปคำนวณกันได้เองนะค่ับและความเห็นก็จากมุมองส่วนตัวของผมไม่จำเป็นต้องเชื่อผม.......