สำหรับบอร์ดธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด การตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกนับจากปี 2549 ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐ (FOMC) นัดสุดท้ายของปีนี้ อาจจะเป็นขั้นตอนที่ง่ายที่สุด ส่วนที่ยากกว่าคือ การส่งสัญญาณถึงทิศทางการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2559
เช่นเดียวกับนักลงทุนและตลาดการเงินทั่วโลกที่ค่อนข้างมั่นใจว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 0-0.25% ในการประชุมวันที่ 15-16 ธันวาคมนี้ และมองข้ามชอตไปถึงแนวโน้มการขยับอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าเรียบร้อยแล้ว
วอลล์ สตรีต เจอร์นัล ระบุว่า เทรดเดอร์ในตลาดล่วงหน้าให้น้ำหนัก 85% ที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า ใกล้เคียงกับผลสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ 90 คน โดยรอยเตอร์ส ระหว่างวันที่ 4-9 ธันวาคมที่ชี้ว่า 90% เชื่อว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ย พุ่งจาก 70% ในการสำรวจครั้งก่อน
ความมั่นใจของตลาดถึงการปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นเพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สดใสขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาวะตลาดแรงงานที่ นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ให้ความสำคัญ โดยอัตราการว่างงานเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 5.0% ส่วนตัวเลขการจ้างงานใหม่นอกภาคเกษตรในเดือนก่อนทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งมาอยู่ที่ 211,000 อัตรา ซึ่งสูงกว่าระดับ 200,000 อัตรา ที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้
จากการประเมินของซีเอ็มอี กรุ๊ป บริษัทบริหารตลาดซื้อขายสินค้าล่วงหน้า โดยคำนวณจากสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ พบว่า
มีโอกาสเพียง 7% ที่อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะยังอยู่ที่ 0-0.25% ในเดือนมีนาคมปีหน้า, มีความเป็นไปได้ 46% ที่อัตราดอกเบี้ยจะขยับเป็น 0.5%, โอกาสปรับเพิ่มเป็น 0.75% อยู่ที่ 42% และแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยจะพุ่งเป็น 1.0% มีเพียง 1%
ในรายงานการประชุม FOMC แทบทุกครั้งที่ผ่านมา มักระบุถึงความเห็นของบอร์ดอย่างกว้าง ๆ ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบ "ค่อยเป็นค่อยไป" และสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ เพื่อหลีกเลี่ยงการผูกมัดตัวเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะชัดเจน เพราะบอร์ดของเฟดหลายคนเน้นย้ำ นั่นคือการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะไม่เป็นไปโดยอัตโนมัติ เช่น ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละเท่า ๆ กันในการประชุม FOMC ครั้งเว้นครั้ง ในทางตรงข้าม การขยับอัตราดอกเบี้ยจะต้องเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ และไม่เพียงปรับขึ้นเท่านั้น การปรับลงก็สามารถทำได้ ถ้าสอดคล้องกับปัจจัยแวดล้อม
หนึ่งในปัจจัยที่อาจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ได้แก่ การแข็งค่าของดอลลาร์ ซึ่งถ้าแข็งค่าขึ้นมากหลังการปรับอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ จนกระทบภาคการส่งออก เฟดอาจจะทิ้งช่วงถึงกลางปีหน้าก่อนปรับขึ้นครั้งต่อไป ทว่านักวิเคราะห์หลายคนไม่คิดว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นมาก เพราะระดับราคาในปัจจุบันสะท้อนข่าวนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการประเมินการขึ้นอัตราดอกเบี้ยปีหน้า
นายจิม โอซัลลิแวน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากไฮ ฟรีเควนซี อีโคโนมิกส์ แนะนำว่า ควรใช้ตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจของเฟดเองเป็นตัวอ้างอิง อาทิ ล่าสุดเฟดประเมินว่า อัตราการว่างงานสหรัฐจะลดเหลือ 4.8% ภายในปี 2559 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มเป็น 1.7% จากระดับ 0.2% ในเดือนที่แล้ว ถ้าหากตัวเลขข้างต้นเป็นไปตามคาด เฟดน่าจะทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1.0% หลังจากเดือนธันวาคมนี้
จังหวะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเร็วขึ้น ถ้าตัวเลขการว่างงานลดลงเร็วกว่าที่เฟดคาด ในทำนองเดียวกัน เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมน้อยกว่า 1.0% ถ้าอัตราดอกเบี้ยขาดแรงส่ง
นางเยลเลนเองก็ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งสัญญาณชี้นำตลาด เพื่อให้นโยบายการเงินที่ใช้ออกดอกออกผลตามที่หวัง โดยกล่าวต่อคณะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจของสภาคองเกรส เมื่อต้นเดือนนี้ว่า
"สิ่งที่สำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจคือ ความคาดหวังที่เกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ความคาดหวังดังกล่าวจะกระทบต่อสภาวะทางการเงิน และจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้จ่ายและลงทุน" ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
มองข้ามชอต ทิศทาง "เฟด" สัญญาณขึ้นดอกเบี้ย 2559
เช่นเดียวกับนักลงทุนและตลาดการเงินทั่วโลกที่ค่อนข้างมั่นใจว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 0-0.25% ในการประชุมวันที่ 15-16 ธันวาคมนี้ และมองข้ามชอตไปถึงแนวโน้มการขยับอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าเรียบร้อยแล้ว
วอลล์ สตรีต เจอร์นัล ระบุว่า เทรดเดอร์ในตลาดล่วงหน้าให้น้ำหนัก 85% ที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า ใกล้เคียงกับผลสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ 90 คน โดยรอยเตอร์ส ระหว่างวันที่ 4-9 ธันวาคมที่ชี้ว่า 90% เชื่อว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ย พุ่งจาก 70% ในการสำรวจครั้งก่อน
ความมั่นใจของตลาดถึงการปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นเพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สดใสขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาวะตลาดแรงงานที่ นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ให้ความสำคัญ โดยอัตราการว่างงานเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 5.0% ส่วนตัวเลขการจ้างงานใหม่นอกภาคเกษตรในเดือนก่อนทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งมาอยู่ที่ 211,000 อัตรา ซึ่งสูงกว่าระดับ 200,000 อัตรา ที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้
จากการประเมินของซีเอ็มอี กรุ๊ป บริษัทบริหารตลาดซื้อขายสินค้าล่วงหน้า โดยคำนวณจากสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ พบว่า
มีโอกาสเพียง 7% ที่อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะยังอยู่ที่ 0-0.25% ในเดือนมีนาคมปีหน้า, มีความเป็นไปได้ 46% ที่อัตราดอกเบี้ยจะขยับเป็น 0.5%, โอกาสปรับเพิ่มเป็น 0.75% อยู่ที่ 42% และแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยจะพุ่งเป็น 1.0% มีเพียง 1%
ในรายงานการประชุม FOMC แทบทุกครั้งที่ผ่านมา มักระบุถึงความเห็นของบอร์ดอย่างกว้าง ๆ ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบ "ค่อยเป็นค่อยไป" และสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ เพื่อหลีกเลี่ยงการผูกมัดตัวเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะชัดเจน เพราะบอร์ดของเฟดหลายคนเน้นย้ำ นั่นคือการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะไม่เป็นไปโดยอัตโนมัติ เช่น ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละเท่า ๆ กันในการประชุม FOMC ครั้งเว้นครั้ง ในทางตรงข้าม การขยับอัตราดอกเบี้ยจะต้องเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ และไม่เพียงปรับขึ้นเท่านั้น การปรับลงก็สามารถทำได้ ถ้าสอดคล้องกับปัจจัยแวดล้อม
หนึ่งในปัจจัยที่อาจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ได้แก่ การแข็งค่าของดอลลาร์ ซึ่งถ้าแข็งค่าขึ้นมากหลังการปรับอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ จนกระทบภาคการส่งออก เฟดอาจจะทิ้งช่วงถึงกลางปีหน้าก่อนปรับขึ้นครั้งต่อไป ทว่านักวิเคราะห์หลายคนไม่คิดว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นมาก เพราะระดับราคาในปัจจุบันสะท้อนข่าวนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการประเมินการขึ้นอัตราดอกเบี้ยปีหน้า
นายจิม โอซัลลิแวน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากไฮ ฟรีเควนซี อีโคโนมิกส์ แนะนำว่า ควรใช้ตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจของเฟดเองเป็นตัวอ้างอิง อาทิ ล่าสุดเฟดประเมินว่า อัตราการว่างงานสหรัฐจะลดเหลือ 4.8% ภายในปี 2559 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มเป็น 1.7% จากระดับ 0.2% ในเดือนที่แล้ว ถ้าหากตัวเลขข้างต้นเป็นไปตามคาด เฟดน่าจะทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1.0% หลังจากเดือนธันวาคมนี้
จังหวะการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเร็วขึ้น ถ้าตัวเลขการว่างงานลดลงเร็วกว่าที่เฟดคาด ในทำนองเดียวกัน เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมน้อยกว่า 1.0% ถ้าอัตราดอกเบี้ยขาดแรงส่ง
นางเยลเลนเองก็ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งสัญญาณชี้นำตลาด เพื่อให้นโยบายการเงินที่ใช้ออกดอกออกผลตามที่หวัง โดยกล่าวต่อคณะกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจของสภาคองเกรส เมื่อต้นเดือนนี้ว่า
"สิ่งที่สำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจคือ ความคาดหวังที่เกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ความคาดหวังดังกล่าวจะกระทบต่อสภาวะทางการเงิน และจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้จ่ายและลงทุน" ประชาชาติธุรกิจออนไลน์