.
อริสโตเติลเป็นศิษย์เอกของ เพลโต (นักปราญช์ในยุคกรีก) และยังเป็นอาจารย์ของผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอีก 1 คน คือ อเล็กซานเดอร์มหาราชอีกด้วย เขาเกิดในตระกูลผู้ดีมั่งคั่ง บิดาของเขาอว่า นิโคมาคัส (Nicomacus) เป็นแพทย์ประจำราชสำนักของพระเจ้าอามินตัสที่ 2 (King Amyntas II) ความรู้ในช่วงแรกส่วนใหญ่ เขาได้รับมาจากพ่อเขาเป็นคนสอนให้เป็นความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติวิทยา
ต่อมาเมื่ออายุได้ 18 ปี อริสโตเติลก็เข้าไปสำนักวิชา อะเคเดมี่ ของ เพลโต ที่อยู่ที่เอเธนส์ เขาเป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียน ขยันอ่านตำรา หนังสือ เพื่อหาความรู้จนเป็นที่ชื่นชอบของเพลโต เพลโตยกให้ อริสโตเติลเป็นศิษย์เอก หลังจากจบการศึกษาใน อะเคเดมี่แล้ัวเขาก็ยังอยู่ช่วยงานทำงานกับเพลโต จนกระทั่งเพลโต ตายไปใน ในปี 347 ก่อนคริสต์ศักราชและเขาได้เดินทางกลับมาที่แคว้นมาซิโดเนียบ้านเกิด
ชื่อเสียงของเขานั้นแพร่กระจายไปหลายเมืองมากมาย (เรียกได้ว่าเป็นคนดัง) จนพระเจ้าฟิลลิปกษัตริย์แห่งมาซิโดเนียต้องการให้เขาไปเป็นอาจารย์ของอเล็กซานเดอร์ โอรสของพระเจ้าฟิลลิปซึ่งในขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 13 พรรษา
เมื่อตอนที่พระเจ้าฟิลลิปถูกลอบปลงพระชนม์ไป และพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ก็ขึ้นครองมาซิโดเนียแทน เขาลาออกจากการเป็นอาจารย์ของเจ้าชายอเล็กซานเดอร์ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มักจะให้คำปรึกษาแก่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์อยู่ตลอดถึงแม้จะลาออกมาแล้ว
อริสโตเติลได้เดินทางไปที่เอเธนส์อีกครั้งและได้ไปเปิดโรงเรียนมีชื่อว่า Peripatetic School ในสำนักไลเซียม (Lyceum) ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงเอเธนส์ในสมัยนั้น และได้รับเงินสนับสนุนทั้งทุนทุกอย่างในงานวิจัยทั้งหมดจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์
กรอบกฏเกณฑ์ในการดำรงอยู่ร่วมกันของมนุษย์ที่รู้จักกันในภายหลังว่า ระบบการปกครอง กำเนิดขึ้นในยุคกลางสืบทอดกันเรื่อยมาจนถึงยุคของเพลโตและอริสโตเติล ซึ่งนักปราชญ์ชื่อดังในยุคนั้น อย่างอริสโตเติล ก็ไม่พลาดที่จะให้ทัศนะเรื่องนี้โดยเขา ได้จำแนกลักษณะการปกครองของรัฐต่างๆ โดยได้จำแนกลักษณะการปกครองของรัฐต่างๆ โดยใช้ คุณภาพชีวิต(ฐานะ)ของคนการปกครองและจำนวนผู้ปกครองเป็นเกณฑ์
1. การปกครองโดยคน ๆ เดียว หมายถึง ระบบการปกครองที่คนๆ เดียวมีอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดเหนือบุคคลทั้งหลายโดยเด็ดขาด
หากผู้ปกครองมีคุณธรรมเรียกกว่า “ราชาธิปไตย” (Monarchy) ซึ่งอริสโตเติลให้นิยามว่าเป็นการปกครองภายใต้กษัตริย์จอมปราชญ์หรือราชาปราชญ์ (philosopher-king)
แต่หากเป็นกษัตรย์ที่กดขี่ข่มเหงราษฎร จะเรียกกว่า “ทุชนาธิปไตย” หรือ “ทรราช” (Tyranny) ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อผลประโยชน์ของผู้ปกครอง
ดังนั้น รูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดตามคตินิยมของกรีกคือ การปกครองแบบราชาธิปไตย ในทางกลับกันรูปแบบที่แย่ที่สุดก็คือแบบทรราช ที่ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของส่วนตัวและพวกพ้อง โดยไม่สนใจความทุกข์ยากของประชาชน ไม่ได้ปกครองเพื่อความผาสุกของพลเมือง
2. การปกครองโดยคณะบุคคล หมายถึง ระบบการปกครองที่บุคคลจำนวนหนึ่งที่มีความสามารถ มีสติปัญญา มีคุณธรรมสูงส่ง เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ทางการเมืองและบริหารประเทศ (อาจเทียบกับระบบคณะกรรมการในปัจจุบัน)
เพื่อป้องกันการตัดสินใจผิดพลาดของความเป็นมนุษย์และความไม่สมบูรณ์ของคนอันเป็นธรรมดาของมนุษย์ ซึ่งหากมีจุดมุ่งหมายเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนก็จะเป็นรูปการปกครองแบบ “อภิชนาธิปไตย” (Aristocracy) แต่หากมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์สุขของพรรคพวกก็จะเป็นรูปการปกครองแบบ “คณาธิปไตย” (Oligarchy) ในปัจจุบันยังมีบางประเทศที่มีลักษณะการปกครองแบบนี้ เช่น ประเทศเอล ซัลวาดอร์ กัวเตมาลา โคลอมเบีย ฮอนดูรัส ที่การตัดสินใจนโยบายของรัฐบาลขึ้นอยู่กับผู้มีอิทธิพลไม่กี่กลุ่มในประเทศเหล่านี้
3. การปกครองโดยคนทั้งหมดหรือเสียงส่วนใหญ่ หมายถึง ระบบการปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย (แต่ไม่ได้หมายถึงว่าทุกคนต่างได้เข้าไปบริหารประเทศ ดังนั้น ไม่ใช่ทุกคนเป็นผู้ปกครอง)
รูปแบบการปกครองที่อริสโตเติลเรียกว่า มัชฌิมวิถีอธิปไตย (Polity) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนรวมอย่างยั่งยืน การใช้คำว่าเพื่อคนส่วนรวมอย่างยั่งยืน ก็เพราะต้องการเน้นว่าเป็นการมองที่เน้นองค์รวมของสังคม มากกว่าการเน้นที่ประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่ง และไม่ใช่เพียงเพราะความสุขชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น
แต่หากมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำตามใจตนเอง ไม่เห็นแก่ส่วนรวม ไม่เห็นแก่ความยั่งยืน ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นการปกครองโดย “ประชาธิปไตย” (Democracy) หรือ “ฝูงชน” (Mob-rule) หรือ “มวลชนเป็นใหญ่” (rule of the masses) ซึ่งทุกคนมุ่งที่ประโยชน์ของตนเอง ประเทศไปตามมติของเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งอาจเป็นทางก่อให้เกิดผลดีหรือเสียก็ได้ ความมีจริยธรรมศีลธรรมหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้มีสิทธิออกเสียง ซึ่งอริสโตเติลเห็นว่าการปกครองโดยคนจำนวนมากไม่น่าจะดี เพราะมองจากสภาพคนในสมัยนั้นที่คนส่วนใหญ่ขาดความรู้ ความเข้าใจในปัญหาบ้านเมือง การตัดสินใจของคนส่วนใหญ่จึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไม่เข้าใจประเด็นบ้านเมืองอย่างถ่องแท้ มุ่งรักษาผลประโยชน์เฉพาะหน้าของตนเองเป็นหลัก
สรุปได้เป็น 6 รูปแบบการปกครองของรัฐ ดังนี้
1. รูปแบบการปกครองที่ดี เรียงตามลำดับจากดีมากไปยังดีน้อย ตามแนวคิดของอลิสโตเติล
1.1. ราชาธิปไตย (Monarchy) เป็นการปกครองโดยคนเดียว
1.2. อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) เป็นการปกครองโดยกลุ่มคน
1.3. โพลิตี้ (Polity) เป็นการปกครองโดยคนจำนวนมาก
2. รูปแบบการปกครองที่ไม่ดี เรียงตามลำดับจากเลวน้อยไปยังเลวมาก
2.1. ทรราชย์ (Tyranny) เป็นการปกครองโดยคนเดียว
2.2. คณาธิปไตย (Oligarchy) เป็นการปกครองโดยกลุ่มคน
2.3. ประชาธิปไตย (Democracy) เป็นการปกครองโดยคนจำนวนมาก
อริสโตเติลได้อธิบายว่า รูปแบบการปกครองใดก็ตาม ที่ส่งเสริมให้ผู้ปกครองใช้อำนาจเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม ถือเป็นรูปแบบที่ดี ในขณะเดียวกัน
รูปแบบการปกครองที่ส่งเสริมให้ผู้ปกครองใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวก นั้น เป็นรูปแบบที่ไม่ดี
ระบบการปกครองที่ดีที่สุดตามทรรศนะของเขา คือ ระบบ โพลิตี้ เป็นการผสมผสานระหว่างระบบคณาธิปไตย และระบบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นแนวทางสายกลาง ระหว่างการปกครองโดยคนร่ำรวย(คณาธิปไตย) กับการปกครองโดยคนจน (ประชาธิปไตย) ซึ่งจะให้โอกาสแก่ราษฎรทุกคนได้มีส่วนร่วม ในการปกครองโดยยุติธรรม โดยยึดรัฐธรรมนูญเป็นหลัก รัฐแบบ Polity ประกอบด้วยชนชั้นใหญ่ๆ 3 กลุ่ม คือ คนร่ำรวย คนชั้นกลาง และ คนจน โดยเสถียรภาพของรัฐแปรตามชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ อริสโตเติล เชื่อว่า ชนชั้นกลางจะรับฟังเหตุผลมากที่สุด เป็นกลุ่มที่มีความสุขุมเยือกเย็น มีความอุตสาหะ และ เป็นผู้คอยเฝ้าดูการบริหารของรัฐ
แต่ช้าก่อน สำหรับท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้
คำว่าชนชั้นกลางของอลิสโตเติ้ล นั้นไม่ได้หมายถึง พวกที่มีฐานะปานกลาง เหมือนยุคนี้ แต่เขาหมายถึงพวกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเท่านั้น โดยในสมัยกรีซโบราณ การปกครองโดยชนชั้นกลาง หมายถึง การปกครองของนครรัฐกรีกจำนวนมากที่จัดตั้งสภาประชาชนเป็นองค์กรในกระบวนการทางการเมือง แต่ผู้ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนไม่รวมถึงสตรี ทาส หรือคนต่างด้าว ซึ่งถูกจำกัดวงให้ตกอยู่ในมือบุรุษชนชั้นขุนนางเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้น
ผู้เขียนก็ไม่แปลกใจนะ ที่แนวคิดเช่นนี้จะมาจากนักปราชญ์ชื่อดังอย่าง อริสโตเติล
เพราะเขาผู้นี้เอง ก็เป็นคนเริ่มทฤษฎีว่าโลกเราเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยมีดวงดาวต่าง ๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์โคจรรอบๆโลก สวรรค์นั้นอยู่นอกอวกาศ โลกอยู่ด้านล่างลงมา น้ำอยู่บนพื้นโลก ลมอยู่เหนือน้ำ และไฟอยู่เหนือลมอีกทีหนึ่ง ธาตุต่าง ๆ ของโลกจะเปลี่ยนแปลงเสมอ แต่ทว่าธาตุที่ประกอบเป็นสวรรค์นั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงจะมีรูปร่างเช่นนั้นตลอดไป
กว่าจะมารู้อีกที ก็ล่อเข้าไปเกือบ 1300 ปีว่า ที่ถูกทำให้เชื่อๆกันมานั้นมันผิด เพราะต่อมาในปี ค.ศ. 1609 โจฮันน์ เคปเลอร์ (Johann Kepler) ได้ตั้งกฎของเคปเลอร์ ซึ่งเป็นการประกาศว่า โลกเราโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี เป็นการลบล้างความเชื่อเกี่ยวกับจักรวาลของอาริสโตเติลโดยสิ้นเชิง
และสุดท้ายผู้เขียนก็ไม่แปลกใจอีกเช่นกัน
ที่คนบางพวกที่จำฝังหัวว่าตัวเองอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต จะเชื่อเริ่มทฤษฎีทางการปกครองอริสโตเติล ถึงได้พยายามกำจัดประชาธิปไตยจริงๆออกไป แล้วยัดไส้สิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไว้ในรัฐธรรมนูญ
จบดีกว่า เดี๋ยวบทความจะปลิว
สุขสันต์วันหยุดครับทุกท่าน
ปล.ช่วงนี้ผมนึกอะไรได้ก้เขียนไปเรื่อยนะครับ แต่บางทีเรื่องที่นึกที่เขียนก็ไม่ได้เอามาลง เพราะอะไรก็รู้ๆกันอยู่ครับ รอไว้ให้โอกาสเป็นใจกว่านี้ แล้วผมจะเอาบทความที่เขียนไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้มาเผยแพร่ ลองเอามาให้อ่านกันในวันที่เรามีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารน์มากกว่านี้นะครับ
ขอบคุณครับ
(บทความ) ประชาธิปไตยของไทย ประชาธิปไตยในฝันของ อริสโตเติล
อริสโตเติลเป็นศิษย์เอกของ เพลโต (นักปราญช์ในยุคกรีก) และยังเป็นอาจารย์ของผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอีก 1 คน คือ อเล็กซานเดอร์มหาราชอีกด้วย เขาเกิดในตระกูลผู้ดีมั่งคั่ง บิดาของเขาอว่า นิโคมาคัส (Nicomacus) เป็นแพทย์ประจำราชสำนักของพระเจ้าอามินตัสที่ 2 (King Amyntas II) ความรู้ในช่วงแรกส่วนใหญ่ เขาได้รับมาจากพ่อเขาเป็นคนสอนให้เป็นความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติวิทยา
ต่อมาเมื่ออายุได้ 18 ปี อริสโตเติลก็เข้าไปสำนักวิชา อะเคเดมี่ ของ เพลโต ที่อยู่ที่เอเธนส์ เขาเป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียน ขยันอ่านตำรา หนังสือ เพื่อหาความรู้จนเป็นที่ชื่นชอบของเพลโต เพลโตยกให้ อริสโตเติลเป็นศิษย์เอก หลังจากจบการศึกษาใน อะเคเดมี่แล้ัวเขาก็ยังอยู่ช่วยงานทำงานกับเพลโต จนกระทั่งเพลโต ตายไปใน ในปี 347 ก่อนคริสต์ศักราชและเขาได้เดินทางกลับมาที่แคว้นมาซิโดเนียบ้านเกิด
ชื่อเสียงของเขานั้นแพร่กระจายไปหลายเมืองมากมาย (เรียกได้ว่าเป็นคนดัง) จนพระเจ้าฟิลลิปกษัตริย์แห่งมาซิโดเนียต้องการให้เขาไปเป็นอาจารย์ของอเล็กซานเดอร์ โอรสของพระเจ้าฟิลลิปซึ่งในขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 13 พรรษา
เมื่อตอนที่พระเจ้าฟิลลิปถูกลอบปลงพระชนม์ไป และพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ก็ขึ้นครองมาซิโดเนียแทน เขาลาออกจากการเป็นอาจารย์ของเจ้าชายอเล็กซานเดอร์ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มักจะให้คำปรึกษาแก่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์อยู่ตลอดถึงแม้จะลาออกมาแล้ว
อริสโตเติลได้เดินทางไปที่เอเธนส์อีกครั้งและได้ไปเปิดโรงเรียนมีชื่อว่า Peripatetic School ในสำนักไลเซียม (Lyceum) ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงเอเธนส์ในสมัยนั้น และได้รับเงินสนับสนุนทั้งทุนทุกอย่างในงานวิจัยทั้งหมดจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์
กรอบกฏเกณฑ์ในการดำรงอยู่ร่วมกันของมนุษย์ที่รู้จักกันในภายหลังว่า ระบบการปกครอง กำเนิดขึ้นในยุคกลางสืบทอดกันเรื่อยมาจนถึงยุคของเพลโตและอริสโตเติล ซึ่งนักปราชญ์ชื่อดังในยุคนั้น อย่างอริสโตเติล ก็ไม่พลาดที่จะให้ทัศนะเรื่องนี้โดยเขา ได้จำแนกลักษณะการปกครองของรัฐต่างๆ โดยได้จำแนกลักษณะการปกครองของรัฐต่างๆ โดยใช้ คุณภาพชีวิต(ฐานะ)ของคนการปกครองและจำนวนผู้ปกครองเป็นเกณฑ์
1. การปกครองโดยคน ๆ เดียว หมายถึง ระบบการปกครองที่คนๆ เดียวมีอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดเหนือบุคคลทั้งหลายโดยเด็ดขาด
หากผู้ปกครองมีคุณธรรมเรียกกว่า “ราชาธิปไตย” (Monarchy) ซึ่งอริสโตเติลให้นิยามว่าเป็นการปกครองภายใต้กษัตริย์จอมปราชญ์หรือราชาปราชญ์ (philosopher-king)
แต่หากเป็นกษัตรย์ที่กดขี่ข่มเหงราษฎร จะเรียกกว่า “ทุชนาธิปไตย” หรือ “ทรราช” (Tyranny) ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อผลประโยชน์ของผู้ปกครอง
ดังนั้น รูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดตามคตินิยมของกรีกคือ การปกครองแบบราชาธิปไตย ในทางกลับกันรูปแบบที่แย่ที่สุดก็คือแบบทรราช ที่ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของส่วนตัวและพวกพ้อง โดยไม่สนใจความทุกข์ยากของประชาชน ไม่ได้ปกครองเพื่อความผาสุกของพลเมือง
2. การปกครองโดยคณะบุคคล หมายถึง ระบบการปกครองที่บุคคลจำนวนหนึ่งที่มีความสามารถ มีสติปัญญา มีคุณธรรมสูงส่ง เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ทางการเมืองและบริหารประเทศ (อาจเทียบกับระบบคณะกรรมการในปัจจุบัน)
เพื่อป้องกันการตัดสินใจผิดพลาดของความเป็นมนุษย์และความไม่สมบูรณ์ของคนอันเป็นธรรมดาของมนุษย์ ซึ่งหากมีจุดมุ่งหมายเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนก็จะเป็นรูปการปกครองแบบ “อภิชนาธิปไตย” (Aristocracy) แต่หากมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์สุขของพรรคพวกก็จะเป็นรูปการปกครองแบบ “คณาธิปไตย” (Oligarchy) ในปัจจุบันยังมีบางประเทศที่มีลักษณะการปกครองแบบนี้ เช่น ประเทศเอล ซัลวาดอร์ กัวเตมาลา โคลอมเบีย ฮอนดูรัส ที่การตัดสินใจนโยบายของรัฐบาลขึ้นอยู่กับผู้มีอิทธิพลไม่กี่กลุ่มในประเทศเหล่านี้
3. การปกครองโดยคนทั้งหมดหรือเสียงส่วนใหญ่ หมายถึง ระบบการปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย (แต่ไม่ได้หมายถึงว่าทุกคนต่างได้เข้าไปบริหารประเทศ ดังนั้น ไม่ใช่ทุกคนเป็นผู้ปกครอง)
รูปแบบการปกครองที่อริสโตเติลเรียกว่า มัชฌิมวิถีอธิปไตย (Polity) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนรวมอย่างยั่งยืน การใช้คำว่าเพื่อคนส่วนรวมอย่างยั่งยืน ก็เพราะต้องการเน้นว่าเป็นการมองที่เน้นองค์รวมของสังคม มากกว่าการเน้นที่ประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่ง และไม่ใช่เพียงเพราะความสุขชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น
แต่หากมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำตามใจตนเอง ไม่เห็นแก่ส่วนรวม ไม่เห็นแก่ความยั่งยืน ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นการปกครองโดย “ประชาธิปไตย” (Democracy) หรือ “ฝูงชน” (Mob-rule) หรือ “มวลชนเป็นใหญ่” (rule of the masses) ซึ่งทุกคนมุ่งที่ประโยชน์ของตนเอง ประเทศไปตามมติของเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งอาจเป็นทางก่อให้เกิดผลดีหรือเสียก็ได้ ความมีจริยธรรมศีลธรรมหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้มีสิทธิออกเสียง ซึ่งอริสโตเติลเห็นว่าการปกครองโดยคนจำนวนมากไม่น่าจะดี เพราะมองจากสภาพคนในสมัยนั้นที่คนส่วนใหญ่ขาดความรู้ ความเข้าใจในปัญหาบ้านเมือง การตัดสินใจของคนส่วนใหญ่จึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไม่เข้าใจประเด็นบ้านเมืองอย่างถ่องแท้ มุ่งรักษาผลประโยชน์เฉพาะหน้าของตนเองเป็นหลัก
สรุปได้เป็น 6 รูปแบบการปกครองของรัฐ ดังนี้
1. รูปแบบการปกครองที่ดี เรียงตามลำดับจากดีมากไปยังดีน้อย ตามแนวคิดของอลิสโตเติล
1.1. ราชาธิปไตย (Monarchy) เป็นการปกครองโดยคนเดียว
1.2. อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) เป็นการปกครองโดยกลุ่มคน
1.3. โพลิตี้ (Polity) เป็นการปกครองโดยคนจำนวนมาก
2. รูปแบบการปกครองที่ไม่ดี เรียงตามลำดับจากเลวน้อยไปยังเลวมาก
2.1. ทรราชย์ (Tyranny) เป็นการปกครองโดยคนเดียว
2.2. คณาธิปไตย (Oligarchy) เป็นการปกครองโดยกลุ่มคน
2.3. ประชาธิปไตย (Democracy) เป็นการปกครองโดยคนจำนวนมาก
อริสโตเติลได้อธิบายว่า รูปแบบการปกครองใดก็ตาม ที่ส่งเสริมให้ผู้ปกครองใช้อำนาจเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม ถือเป็นรูปแบบที่ดี ในขณะเดียวกัน รูปแบบการปกครองที่ส่งเสริมให้ผู้ปกครองใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวก นั้น เป็นรูปแบบที่ไม่ดี
ระบบการปกครองที่ดีที่สุดตามทรรศนะของเขา คือ ระบบ โพลิตี้ เป็นการผสมผสานระหว่างระบบคณาธิปไตย และระบบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นแนวทางสายกลาง ระหว่างการปกครองโดยคนร่ำรวย(คณาธิปไตย) กับการปกครองโดยคนจน (ประชาธิปไตย) ซึ่งจะให้โอกาสแก่ราษฎรทุกคนได้มีส่วนร่วม ในการปกครองโดยยุติธรรม โดยยึดรัฐธรรมนูญเป็นหลัก รัฐแบบ Polity ประกอบด้วยชนชั้นใหญ่ๆ 3 กลุ่ม คือ คนร่ำรวย คนชั้นกลาง และ คนจน โดยเสถียรภาพของรัฐแปรตามชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ อริสโตเติล เชื่อว่า ชนชั้นกลางจะรับฟังเหตุผลมากที่สุด เป็นกลุ่มที่มีความสุขุมเยือกเย็น มีความอุตสาหะ และ เป็นผู้คอยเฝ้าดูการบริหารของรัฐ
แต่ช้าก่อน สำหรับท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้ คำว่าชนชั้นกลางของอลิสโตเติ้ล นั้นไม่ได้หมายถึง พวกที่มีฐานะปานกลาง เหมือนยุคนี้ แต่เขาหมายถึงพวกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเท่านั้น โดยในสมัยกรีซโบราณ การปกครองโดยชนชั้นกลาง หมายถึง การปกครองของนครรัฐกรีกจำนวนมากที่จัดตั้งสภาประชาชนเป็นองค์กรในกระบวนการทางการเมือง แต่ผู้ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนไม่รวมถึงสตรี ทาส หรือคนต่างด้าว ซึ่งถูกจำกัดวงให้ตกอยู่ในมือบุรุษชนชั้นขุนนางเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้น
ผู้เขียนก็ไม่แปลกใจนะ ที่แนวคิดเช่นนี้จะมาจากนักปราชญ์ชื่อดังอย่าง อริสโตเติล เพราะเขาผู้นี้เอง ก็เป็นคนเริ่มทฤษฎีว่าโลกเราเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยมีดวงดาวต่าง ๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์โคจรรอบๆโลก สวรรค์นั้นอยู่นอกอวกาศ โลกอยู่ด้านล่างลงมา น้ำอยู่บนพื้นโลก ลมอยู่เหนือน้ำ และไฟอยู่เหนือลมอีกทีหนึ่ง ธาตุต่าง ๆ ของโลกจะเปลี่ยนแปลงเสมอ แต่ทว่าธาตุที่ประกอบเป็นสวรรค์นั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงจะมีรูปร่างเช่นนั้นตลอดไป
กว่าจะมารู้อีกที ก็ล่อเข้าไปเกือบ 1300 ปีว่า ที่ถูกทำให้เชื่อๆกันมานั้นมันผิด เพราะต่อมาในปี ค.ศ. 1609 โจฮันน์ เคปเลอร์ (Johann Kepler) ได้ตั้งกฎของเคปเลอร์ ซึ่งเป็นการประกาศว่า โลกเราโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี เป็นการลบล้างความเชื่อเกี่ยวกับจักรวาลของอาริสโตเติลโดยสิ้นเชิง
และสุดท้ายผู้เขียนก็ไม่แปลกใจอีกเช่นกัน ที่คนบางพวกที่จำฝังหัวว่าตัวเองอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต จะเชื่อเริ่มทฤษฎีทางการปกครองอริสโตเติล ถึงได้พยายามกำจัดประชาธิปไตยจริงๆออกไป แล้วยัดไส้สิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไว้ในรัฐธรรมนูญ
จบดีกว่า เดี๋ยวบทความจะปลิว
สุขสันต์วันหยุดครับทุกท่าน
ปล.ช่วงนี้ผมนึกอะไรได้ก้เขียนไปเรื่อยนะครับ แต่บางทีเรื่องที่นึกที่เขียนก็ไม่ได้เอามาลง เพราะอะไรก็รู้ๆกันอยู่ครับ รอไว้ให้โอกาสเป็นใจกว่านี้ แล้วผมจะเอาบทความที่เขียนไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้มาเผยแพร่ ลองเอามาให้อ่านกันในวันที่เรามีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารน์มากกว่านี้นะครับ
ขอบคุณครับ