หญิงสาวใต้สำนึก
“เห็นมั้ยล่ะ ฉันบอกเธอตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ไอ้เหล้าเบียร์เนี่ยมันมีอะไรดี กินเข้าไปแล้วก็ไร้สติ ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ทำอะไรลงไป แถมตื่นมาก็ยังปวดหัวเป็นครึ่งค่อนวันอีก”
สุชาติปรือตาขึ้นมองหลังจากได้ยินเสียงพร่ำบ่นมาพักใหญ่ ความจริงเขาตื่นนานแล้ว แต่อาการปวดหัวที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ทำให้ไม่อยากลุกจากเตียงไปไหน
เมื่อคืนเขาสังสรรค์เพื่อนร่วมแผนกที่ทำงานหนักไปหน่อยจนทำให้นอนกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขตลอดทั้งคืน และการนอนแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นนั่นเองก็ยิ่งส่งผลให้ปวดหัวและคลื่นไส้ทวีมากขึ้นไปอีกในเช้าวันนี้
สุชาติยันกายลุกขึ้นจากที่นอนอย่างเสียไม่ได้ เหลือบมองออกไปยังนอกหน้าต่างห้อง แดดระอุภายนอกบอกให้รู้ว่าตอนนี้สายมากแล้ว เขาตรวจสอบเวลาที่นาฬิกาแขวนผนังอีกครั้งและพบว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ที่ปลายเตียงมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ สายตาของเธอจับจ้องมายังเขา ความห่วงใยปนเหนื่อยหน่ายส่งผ่านใบหน้านั้นออกมาอย่างไม่ปิดบัง สุชาติก้มหน้า มือทั้งสองข้างกุมขมับรู้สึกปวดตุ้บเป็นพักๆ
เขารู้จักหญิงสาวคนนี้ดี ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่แน่ใจ รู้เพียงว่าเขาได้พบกับเธอเมื่อนานมาแล้ว
....................................
“ปัง ปัง ปัง”
เด็กชายคนหนึ่งวิ่งหนีเสียงปืนแก๊ปที่ดังไล่หลังอย่างสุดกำลัง เท้าทั้งสองช่วยกันซอยถี่ยิบ หน้าตาตื่นกลัว ลมหายใจหนักหน่วง ถึงแม้จะเหนื่อยแต่เขาก็ไม่กล้าหยุดวิ่ง ปืนแก๊ปที่มีลูกกระสุนบรรจุอยู่เต็มในมือไม่อาจช่วยอะไรได้
ถัดจากเด็กชายไปมีกลุ่มเด็กอีกจำนวนห้าคนวิ่งไล่หลังอยู่และเขาทั้งหมดมีปืนแก๊ปแบบเดียวกันในมือคนละกระบอก
“อย่าหนีนะ ไอ้ชาติ ไอ้โจรห้าร้อย มาให้พวกเราจัดการซะดีๆ”
เด็กหัวโจกตัวใหญ่สุดที่กำลังวิ่งนำกลุ่มตะโกนบอก แต่สุชาติที่กำลังหนีไม่สนใจฟัง เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป เพียงครู่เดียวต่อจากนั้นเขาก็ไปเหยียบเอาก้อนหินจนเท้าพลิก
“โอ้ย”
เขาหน้าทิ่มล้มคะมำ ปืนแก๊ปในมือกระเด็นไปทาง รองเท้าแตะหูคีบกระเด็นไปอีกทาง เด็กที่วิ่งตามมาจนทันล้อมหน้าล้อมหลังสุชาติไว้จนหมดทางหนี พวกเขาทั้งหมดพร้อมใจเล็งปืนแก๊ปไปที่จุดเดียวกัน
“ตายซะเถอะ พวกเราหน่วยปราบอาชญากรจัดการมันเลย”
“เฮ”
สิ้นเสียงคำสั่งหัวหน้า เด็กที่เหลือก็ตะโกนโห่ร้องตอบรับคำสั่ง สุชาติป้องหูทั้งสองข้าง นอนขดตัวอยู่กับพื้นด้วยความหวาดกลัว
“ปัง ปัง ปัง”
“ฮือ...อออ”
เมื่อถูกระดมยิงใส่ด้วยปืนแก๊ป เขาถึงกับสะกดกลั้นความกลัวไว้ไม่ไหวจนปล่อยโฮออกมา
“เห้ย อะไรวะ แค่นี้ก็ร้องไห้ โธ่เอ๊ย ขี้ขลาดอย่างนี้แล้วริจะมาเล่นกับพวกเรา”
“ไปเล่นกับพวกเด็กผู้หญิงดีกว่ามั้ง เฮ้ย พวกเราไปเล่นที่บ้านร้างกันดีกว่า ที่นั่นมีที่ซ่อนเยอะดี”
เด็กในกลุ่มทำท่าล้อเลียนเย้ยหยัน หัวโจกพูดสำทับพร้อมกับนำขบวนพาเหล่าบรรดาลูกน้องไปหาที่เล่นใหม่และปล่อยให้สุชาติอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
หมู่บ้านแถบนี้ยังมีความเป็นชนบทให้เห็นอยู่บ้าง ที่ท้ายหมู่บ้านมีลำธารใหญ่เพียงสายเดียวไหลผ่าน สองข้างทางของลำธารนี้ใช้เป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจของผู้ใหญ่ และใช้สำหรับเป็นที่วิ่งเล่นของเด็กๆ
ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่งขึ้นสูงตระหง่านแตกกิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาอยู่ข้างลำธาร สุชาตินั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่คนเดียวที่นั่น เขาจ้องปืนแก๊ปที่ถูกวางทิ้งไว้กับพื้นดินตรงหน้า นึกในใจว่าอุตส่าห์ของเงินแม่ซื้อเพื่อที่จะได้มาวิ่งเล่นเข้ากลุ่มกับเพื่อน แต่ทำไมต้องเป็นเขาคนเดียวที่ถูกคนอื่นๆ รุมแกล้ง
“ปืนน่ะมันอันตรายออกนะ ไม่มีอะไรน่าสนุกหรอก เห็นมั้ยว่าเล่นแล้วก็เจ็บตัว แล้วถ้าเธอยังขืนเล่นมันอยู่มันจะทำให้เธอกลายเป็นคนใจร้ายนะ”
เด็กหญิงตัวเล็กเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วยืนอยู่ตรงหน้าถัดจากปืนแก๊ปไปเล็กน้อย เธออยู่ในชุดกระโปรงสีชมพูสดใสน่ารัก เปียผมสองข้างผูกด้วยโบว์สีเดียวกัน
สุชาติไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงว่าเธอสวมรองเท้าเล็กๆ สีชมพู เขากำลังคิดค้านเด็กหญิงว่าเด็กผู้ชายคนไหนก็เล่นปืนแก๊ปกันทั้งนั้น แค่มีปืนก็สามารถเข้ากลุ่มวิ่งเล่นได้ แล้วมันจะไม่ดีได้อย่างไร
“แล้วดูสิ พอเล่นแล้วเธอก็ต้องมาโดนแกล้งมาเจ็บตัวแบบนี้ แล้วอีกอย่างนะ เล่นกันเด็กผู้หญิงมันไม่ดีตรงไหน กระโดดยางก็สนุกดี หรือว่าจะเล่นขายของก็ได้ เนื้อตัวก็ไม่มอมแมมด้วย”
สุชาติไม่ฟัง เขาลุกขึ้นหยิบปืนแก๊ปที่พื้นก่อนจะวิ่งหนีออกมาปล่อยให้เด็กหญิงยืนเพียงลำพังตรงนั้น
สายตาของเด็กหญิงมองตามเขาไปจนกระทั่งลับสายตา
....................................
นั่นเป็นครั้งแรกที่สุชาติได้พบกับเธอ จำได้รางๆ ว่าตอนนั้นเขาโมโหมากที่โดนว่าเรื่องเล่นปืนแก๊ป เขาวิ่งออกมาแม้แต่หน้าของเด็กหญิงก็ยังไม่ได้มองเสียด้วยซ้ำ
“แล้วสุดท้ายวันนี้เธอก็ไม่ได้ออกไปไหน เสียวันหยุดไปเปล่าๆ นอกจากเสียสุขภาพแล้วยังเสียเวลาอีก”
หญิงสาวยังคงพร่ำบ่นไม่หยุดหย่อน สุชาติรู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินยิ่งทำให้เขารู้สึกปวดหัวมากขึ้น เขาบีบขมับตัวเองหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้
เธอเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วที่คอยบ่นคอยพูดเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้เขาฟังไม่ได้หยุดหย่อน
....................................
“เห้ย ชาติ มาเดินทำอะไรตรงนี้คนเดียว จะปลีกวิเวกรึไงเพื่อน”
เพื่อนคนที่พูดกระโดดเข้าล็อกคอสุชาติจากทางด้านหลัง อีกคนตามมากระโดดเตะก้นเป็นการหยอกล้อ ส่วนอีกสองคนที่เดินตามมาก็หัวเราะกับท่าทางของคนตรงหน้า
“ชาติ เย็นนี้ไปกับพวกเราหน่อยสิ พวกเราชวนสาวห้องห้าไปเที่ยวห้างฯ กันตอนเลิกเรียน”
“เออ ชาติ ไปด้วยกันนะ คนเยอะๆ สนุกดี”
“จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก ไอ้เอกมันคิดจะจีบน้องยุ้ยห้องห้า แต่ไม่กล้าไปคนเดียวเลยชวนพวกเราไปด้วยน่ะสิ ไอ้นี่มันดีแต่ปากแต่ใจปลาซิวน่าดู”
“อ้าว เห้ย พูดงี้ได้ไง มานี่เลย มาให้ข้าเตะซะดีๆ”
“เห้ย อย่านะเว้ย เอ้า พวกเอ็งยืนนิ่งทำไม ทำไมไม่ช่วยกันห้ามไอ้เอกเล่า”
เพื่อนทั้งสองวิ่งไล่กันรอบๆ กลุ่มอย่างกับเด็กประถม เสียงเฮฮาดังลั่นตลอดทางเดินไปยังห้องเรียน วัยรุ่นในช่วงนี้มักอยากรู้อยากเห็น เป็นเวลาที่เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์และจิตใจ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาอยากรู้จักกับความรัก
ช่วงหลังเลิกเรียนทุกคนที่นัดกันไว้มาพร้อมหน้า พวกเขาพากันไปเดินเล่น หาดูสินค้า และกินอาหารเย็นจนถึงเวลาพอสมควร
“ชาติ รอตรงนี้ก่อนนะ พวกข้าไปเข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวมา”
“เห้ย ข้าไปด้วย ปวดเหมือนกัน”
“ไม่ได้ๆ เอ็งรอตรงนี้แหละ ไอ้ชาติ แล้วก็เฝ้ากระเป๋าพวกเราไว้ด้วย เดี๋ยวเอ็งค่อยไปทีหลัง”
สุชาติได้แต่จำยอมต้องยืนเฝ้ากระเป๋าให้เหล่าเพื่อนๆ ไปเข้าห้องน้ำอย่างไม่เข้าใจเจตนา สักครู่ก็มีเพื่อนผู้หญิงจากห้องห้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“ชาติ เราให้เธอ”
เธอยื่นดอกกุหลายดอกหนึ่งให้ สุชาติสับสนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กระนั้นก็ยื่นมือรับกุหลาบดอกนั้นมาแบบงงๆ เหล่าเพื่อนๆ ที่แอบสังเกตการณ์อยู่มุมทางเข้าห้องน้ำกระโดดออกมาส่งเสียงแซวเฮฮากันตามประสา
“ชาติมันเจ๋งว่ะ เห็นเงียบๆ อย่างนี้ ไม่นึกว่าจะทำให้แก้วแอบมีใจหลงชอบมันได้”
“เออ ไม่เหมือนไอ้เอกนี่หรอก มาเที่ยวด้วยกันแล้วแท้ๆ ก็ยังไม่กล้าจะคุยกับเค้าอีก”
“อ้าว ไอ้นี่ วกกลับมาหาข้าอีกจนได้นะ”
พูดจบเพื่อนๆ ก็วิ่งวนไล่เตะกันอีกครั้ง สุชาติมองดอกไม้ในมือด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ว่าเขากำลังดีใจ กำลังตื่นตัน กำลังกังวล หรืออะไรกันแน่
เมื่อทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน สุชาติยืนรอรถเมล์ที่ป้ายรอรถโดยสาร เสียงเจี๊ยวจ๊าวโหวกเหวกตอนรวมกลุ่มหายไปเหลือเพียงเสียงเครื่องยนต์ตามท้องถนน
ความจริงแล้ววันนี้ที่นัดมาเที่ยวกันไม่ใช่เพราะเอกต้องการสารภาพรักกับยุ้ยอย่างที่พูดกัน แต่เป็นทุกคนรวมหัวกันเปิดโอกาสให้แก้วที่แอบชอบเขาอยู่ได้มีโอกาสสารภาพความในใจกับเขาต่างหาก
สุชาติยอมรับกับตัวเองว่าตกใจและทำตัวไม่ถูกตอนที่แก้วเดินมามอบดอกไม้ให้เขา นึกไม่ถึงว่าเขาจะถูกคนที่หน้าตาดีนิสัยน่ารักอย่างนั้นแอบชอบอยู่
“เธอชอบแก้วเหรอ”
สาวน้อยในชุดนักเรียนมอปลายยืนพิงเสาป้ายรอรถประจำทางอยู่ ผมรวบทรงหางม้าผูกด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินเข้มตามกฏของโรงเรียน ไม่ต้องหันไปมองสุชาติก็รู้ว่าเป็นใคร
“การที่เธอไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ แถมยังรับดอกไม้นั่นมาอีกก็เหมือนกับเธอตอบรับแก้วไปนั่นล่ะ แต่ดูสภาพตอนนี้แล้วเหมือนเธอกำลังหนักใจมากกว่าอารมณ์ของคนที่กำลังมีความรักนะ”
สุชาติไม่ตอบ เขายกดอกกุหลาบในมือขึ้นมอง หมุนมันไปมาเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี รู้สึกกังวลจนถึงขนาดถอนหายใจออกมา
“ถามใจตัวเองดีๆ นะว่าชอบแก้วจริงรึเปล่า ถ้าเธอไม่ได้ชอบเค้าแล้วขืนยังทำอย่างนี้ เธอก็จะต้องทุกข์ใจไปเรื่อยๆ และในอนาคตเธอก็จะทำให้คนดีๆ อย่างแก้วต้องเสียใจเพราะเธอไปด้วยอีกคน”
เด็กหนุ่มแสร้งเบือนหน้าไปมองแสงสีส้มจากหลอดไฟที่เสาไฟฟ้า มันให้แสงสว่างท่ามกลางความมืดแต่ในขณะเดียวกันแสงที่มันเปล่งออกมาก็ทำให้รู้สึกหดหู่หมองหม่นชอบกล
รถเมล์แล่นมาแต่ไกลก่อนจะชลอตัวและจอดเทียบป้ายพอดิบพอดี สุชาติก้าวขาขึ้นไปนั่งบนรถก่อนจะมองผ่านช่องหน้าต่างออกไปยังป้ายรอรถประจำทาง
เด็กสาวยังยืนอยู่ที่นั่น เธอไม่ได้เดินตามเขามา ใบหน้าเรียวยาวปราศจากเครื่องสำอางและเส้นผมดำขลับเงางามโดดเด่นภายใต้แสงไฟสีส้ม เธอยังคงมองตามเขาในขณะที่รถเมล์เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา
....................................
และนั่นเป็นครั้งแรกที่สุชาติได้มองใบหน้าของหญิงสาวอย่างเต็มตา จำได้ว่าชั่วขณะที่เขาเพ่งพิศใบหน้าของเธอมันทำให้เขารู้สึกกระวนกระวาย ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนั้น
“เมื่อคืนกลับมาน้ำก็ไม่ได้อาบ สกปรกไปหมด ไม่รู้นอนไปได้ยังไง”
หญิงสาวยังคงบ่นต่อเนื่องแทบไม่เว้นจังหวะให้ใครแทรกอะไรขึ้นมาได้แม่แต่คำเดียว สุชาติมองริมฝีปากแดงหนาที่กำลังขยับ มันสอดรับกันได้อย่างพอดีกับเรียวคางและโครงหน้าของเธอ เป็นโครงหน้าของผู้หญิงที่เติบใหญ่เป็นสาวเต็มตัวแล้ว
ก็คงเป็นอย่างนั้น เพราะเขาและเธอต่างก็เติบใหญ่ขึ้นมาพร้อมๆ กัน
....................................
หญิงสาวใต้สำนึก
“เห็นมั้ยล่ะ ฉันบอกเธอตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ไอ้เหล้าเบียร์เนี่ยมันมีอะไรดี กินเข้าไปแล้วก็ไร้สติ ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ทำอะไรลงไป แถมตื่นมาก็ยังปวดหัวเป็นครึ่งค่อนวันอีก”
สุชาติปรือตาขึ้นมองหลังจากได้ยินเสียงพร่ำบ่นมาพักใหญ่ ความจริงเขาตื่นนานแล้ว แต่อาการปวดหัวที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ทำให้ไม่อยากลุกจากเตียงไปไหน
เมื่อคืนเขาสังสรรค์เพื่อนร่วมแผนกที่ทำงานหนักไปหน่อยจนทำให้นอนกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขตลอดทั้งคืน และการนอนแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นนั่นเองก็ยิ่งส่งผลให้ปวดหัวและคลื่นไส้ทวีมากขึ้นไปอีกในเช้าวันนี้
สุชาติยันกายลุกขึ้นจากที่นอนอย่างเสียไม่ได้ เหลือบมองออกไปยังนอกหน้าต่างห้อง แดดระอุภายนอกบอกให้รู้ว่าตอนนี้สายมากแล้ว เขาตรวจสอบเวลาที่นาฬิกาแขวนผนังอีกครั้งและพบว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ที่ปลายเตียงมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ สายตาของเธอจับจ้องมายังเขา ความห่วงใยปนเหนื่อยหน่ายส่งผ่านใบหน้านั้นออกมาอย่างไม่ปิดบัง สุชาติก้มหน้า มือทั้งสองข้างกุมขมับรู้สึกปวดตุ้บเป็นพักๆ
เขารู้จักหญิงสาวคนนี้ดี ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่แน่ใจ รู้เพียงว่าเขาได้พบกับเธอเมื่อนานมาแล้ว
....................................
“ปัง ปัง ปัง”
เด็กชายคนหนึ่งวิ่งหนีเสียงปืนแก๊ปที่ดังไล่หลังอย่างสุดกำลัง เท้าทั้งสองช่วยกันซอยถี่ยิบ หน้าตาตื่นกลัว ลมหายใจหนักหน่วง ถึงแม้จะเหนื่อยแต่เขาก็ไม่กล้าหยุดวิ่ง ปืนแก๊ปที่มีลูกกระสุนบรรจุอยู่เต็มในมือไม่อาจช่วยอะไรได้
ถัดจากเด็กชายไปมีกลุ่มเด็กอีกจำนวนห้าคนวิ่งไล่หลังอยู่และเขาทั้งหมดมีปืนแก๊ปแบบเดียวกันในมือคนละกระบอก
“อย่าหนีนะ ไอ้ชาติ ไอ้โจรห้าร้อย มาให้พวกเราจัดการซะดีๆ”
เด็กหัวโจกตัวใหญ่สุดที่กำลังวิ่งนำกลุ่มตะโกนบอก แต่สุชาติที่กำลังหนีไม่สนใจฟัง เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป เพียงครู่เดียวต่อจากนั้นเขาก็ไปเหยียบเอาก้อนหินจนเท้าพลิก
“โอ้ย”
เขาหน้าทิ่มล้มคะมำ ปืนแก๊ปในมือกระเด็นไปทาง รองเท้าแตะหูคีบกระเด็นไปอีกทาง เด็กที่วิ่งตามมาจนทันล้อมหน้าล้อมหลังสุชาติไว้จนหมดทางหนี พวกเขาทั้งหมดพร้อมใจเล็งปืนแก๊ปไปที่จุดเดียวกัน
“ตายซะเถอะ พวกเราหน่วยปราบอาชญากรจัดการมันเลย”
“เฮ”
สิ้นเสียงคำสั่งหัวหน้า เด็กที่เหลือก็ตะโกนโห่ร้องตอบรับคำสั่ง สุชาติป้องหูทั้งสองข้าง นอนขดตัวอยู่กับพื้นด้วยความหวาดกลัว
“ปัง ปัง ปัง”
“ฮือ...อออ”
เมื่อถูกระดมยิงใส่ด้วยปืนแก๊ป เขาถึงกับสะกดกลั้นความกลัวไว้ไม่ไหวจนปล่อยโฮออกมา
“เห้ย อะไรวะ แค่นี้ก็ร้องไห้ โธ่เอ๊ย ขี้ขลาดอย่างนี้แล้วริจะมาเล่นกับพวกเรา”
“ไปเล่นกับพวกเด็กผู้หญิงดีกว่ามั้ง เฮ้ย พวกเราไปเล่นที่บ้านร้างกันดีกว่า ที่นั่นมีที่ซ่อนเยอะดี”
เด็กในกลุ่มทำท่าล้อเลียนเย้ยหยัน หัวโจกพูดสำทับพร้อมกับนำขบวนพาเหล่าบรรดาลูกน้องไปหาที่เล่นใหม่และปล่อยให้สุชาติอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
หมู่บ้านแถบนี้ยังมีความเป็นชนบทให้เห็นอยู่บ้าง ที่ท้ายหมู่บ้านมีลำธารใหญ่เพียงสายเดียวไหลผ่าน สองข้างทางของลำธารนี้ใช้เป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจของผู้ใหญ่ และใช้สำหรับเป็นที่วิ่งเล่นของเด็กๆ
ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่งขึ้นสูงตระหง่านแตกกิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาอยู่ข้างลำธาร สุชาตินั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่คนเดียวที่นั่น เขาจ้องปืนแก๊ปที่ถูกวางทิ้งไว้กับพื้นดินตรงหน้า นึกในใจว่าอุตส่าห์ของเงินแม่ซื้อเพื่อที่จะได้มาวิ่งเล่นเข้ากลุ่มกับเพื่อน แต่ทำไมต้องเป็นเขาคนเดียวที่ถูกคนอื่นๆ รุมแกล้ง
“ปืนน่ะมันอันตรายออกนะ ไม่มีอะไรน่าสนุกหรอก เห็นมั้ยว่าเล่นแล้วก็เจ็บตัว แล้วถ้าเธอยังขืนเล่นมันอยู่มันจะทำให้เธอกลายเป็นคนใจร้ายนะ”
เด็กหญิงตัวเล็กเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วยืนอยู่ตรงหน้าถัดจากปืนแก๊ปไปเล็กน้อย เธออยู่ในชุดกระโปรงสีชมพูสดใสน่ารัก เปียผมสองข้างผูกด้วยโบว์สีเดียวกัน
สุชาติไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงว่าเธอสวมรองเท้าเล็กๆ สีชมพู เขากำลังคิดค้านเด็กหญิงว่าเด็กผู้ชายคนไหนก็เล่นปืนแก๊ปกันทั้งนั้น แค่มีปืนก็สามารถเข้ากลุ่มวิ่งเล่นได้ แล้วมันจะไม่ดีได้อย่างไร
“แล้วดูสิ พอเล่นแล้วเธอก็ต้องมาโดนแกล้งมาเจ็บตัวแบบนี้ แล้วอีกอย่างนะ เล่นกันเด็กผู้หญิงมันไม่ดีตรงไหน กระโดดยางก็สนุกดี หรือว่าจะเล่นขายของก็ได้ เนื้อตัวก็ไม่มอมแมมด้วย”
สุชาติไม่ฟัง เขาลุกขึ้นหยิบปืนแก๊ปที่พื้นก่อนจะวิ่งหนีออกมาปล่อยให้เด็กหญิงยืนเพียงลำพังตรงนั้น
สายตาของเด็กหญิงมองตามเขาไปจนกระทั่งลับสายตา
....................................
นั่นเป็นครั้งแรกที่สุชาติได้พบกับเธอ จำได้รางๆ ว่าตอนนั้นเขาโมโหมากที่โดนว่าเรื่องเล่นปืนแก๊ป เขาวิ่งออกมาแม้แต่หน้าของเด็กหญิงก็ยังไม่ได้มองเสียด้วยซ้ำ
“แล้วสุดท้ายวันนี้เธอก็ไม่ได้ออกไปไหน เสียวันหยุดไปเปล่าๆ นอกจากเสียสุขภาพแล้วยังเสียเวลาอีก”
หญิงสาวยังคงพร่ำบ่นไม่หยุดหย่อน สุชาติรู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินยิ่งทำให้เขารู้สึกปวดหัวมากขึ้น เขาบีบขมับตัวเองหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้
เธอเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วที่คอยบ่นคอยพูดเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้เขาฟังไม่ได้หยุดหย่อน
....................................
“เห้ย ชาติ มาเดินทำอะไรตรงนี้คนเดียว จะปลีกวิเวกรึไงเพื่อน”
เพื่อนคนที่พูดกระโดดเข้าล็อกคอสุชาติจากทางด้านหลัง อีกคนตามมากระโดดเตะก้นเป็นการหยอกล้อ ส่วนอีกสองคนที่เดินตามมาก็หัวเราะกับท่าทางของคนตรงหน้า
“ชาติ เย็นนี้ไปกับพวกเราหน่อยสิ พวกเราชวนสาวห้องห้าไปเที่ยวห้างฯ กันตอนเลิกเรียน”
“เออ ชาติ ไปด้วยกันนะ คนเยอะๆ สนุกดี”
“จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก ไอ้เอกมันคิดจะจีบน้องยุ้ยห้องห้า แต่ไม่กล้าไปคนเดียวเลยชวนพวกเราไปด้วยน่ะสิ ไอ้นี่มันดีแต่ปากแต่ใจปลาซิวน่าดู”
“อ้าว เห้ย พูดงี้ได้ไง มานี่เลย มาให้ข้าเตะซะดีๆ”
“เห้ย อย่านะเว้ย เอ้า พวกเอ็งยืนนิ่งทำไม ทำไมไม่ช่วยกันห้ามไอ้เอกเล่า”
เพื่อนทั้งสองวิ่งไล่กันรอบๆ กลุ่มอย่างกับเด็กประถม เสียงเฮฮาดังลั่นตลอดทางเดินไปยังห้องเรียน วัยรุ่นในช่วงนี้มักอยากรู้อยากเห็น เป็นเวลาที่เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์และจิตใจ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาอยากรู้จักกับความรัก
ช่วงหลังเลิกเรียนทุกคนที่นัดกันไว้มาพร้อมหน้า พวกเขาพากันไปเดินเล่น หาดูสินค้า และกินอาหารเย็นจนถึงเวลาพอสมควร
“ชาติ รอตรงนี้ก่อนนะ พวกข้าไปเข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวมา”
“เห้ย ข้าไปด้วย ปวดเหมือนกัน”
“ไม่ได้ๆ เอ็งรอตรงนี้แหละ ไอ้ชาติ แล้วก็เฝ้ากระเป๋าพวกเราไว้ด้วย เดี๋ยวเอ็งค่อยไปทีหลัง”
สุชาติได้แต่จำยอมต้องยืนเฝ้ากระเป๋าให้เหล่าเพื่อนๆ ไปเข้าห้องน้ำอย่างไม่เข้าใจเจตนา สักครู่ก็มีเพื่อนผู้หญิงจากห้องห้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“ชาติ เราให้เธอ”
เธอยื่นดอกกุหลายดอกหนึ่งให้ สุชาติสับสนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กระนั้นก็ยื่นมือรับกุหลาบดอกนั้นมาแบบงงๆ เหล่าเพื่อนๆ ที่แอบสังเกตการณ์อยู่มุมทางเข้าห้องน้ำกระโดดออกมาส่งเสียงแซวเฮฮากันตามประสา
“ชาติมันเจ๋งว่ะ เห็นเงียบๆ อย่างนี้ ไม่นึกว่าจะทำให้แก้วแอบมีใจหลงชอบมันได้”
“เออ ไม่เหมือนไอ้เอกนี่หรอก มาเที่ยวด้วยกันแล้วแท้ๆ ก็ยังไม่กล้าจะคุยกับเค้าอีก”
“อ้าว ไอ้นี่ วกกลับมาหาข้าอีกจนได้นะ”
พูดจบเพื่อนๆ ก็วิ่งวนไล่เตะกันอีกครั้ง สุชาติมองดอกไม้ในมือด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ว่าเขากำลังดีใจ กำลังตื่นตัน กำลังกังวล หรืออะไรกันแน่
เมื่อทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน สุชาติยืนรอรถเมล์ที่ป้ายรอรถโดยสาร เสียงเจี๊ยวจ๊าวโหวกเหวกตอนรวมกลุ่มหายไปเหลือเพียงเสียงเครื่องยนต์ตามท้องถนน
ความจริงแล้ววันนี้ที่นัดมาเที่ยวกันไม่ใช่เพราะเอกต้องการสารภาพรักกับยุ้ยอย่างที่พูดกัน แต่เป็นทุกคนรวมหัวกันเปิดโอกาสให้แก้วที่แอบชอบเขาอยู่ได้มีโอกาสสารภาพความในใจกับเขาต่างหาก
สุชาติยอมรับกับตัวเองว่าตกใจและทำตัวไม่ถูกตอนที่แก้วเดินมามอบดอกไม้ให้เขา นึกไม่ถึงว่าเขาจะถูกคนที่หน้าตาดีนิสัยน่ารักอย่างนั้นแอบชอบอยู่
“เธอชอบแก้วเหรอ”
สาวน้อยในชุดนักเรียนมอปลายยืนพิงเสาป้ายรอรถประจำทางอยู่ ผมรวบทรงหางม้าผูกด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินเข้มตามกฏของโรงเรียน ไม่ต้องหันไปมองสุชาติก็รู้ว่าเป็นใคร
“การที่เธอไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ แถมยังรับดอกไม้นั่นมาอีกก็เหมือนกับเธอตอบรับแก้วไปนั่นล่ะ แต่ดูสภาพตอนนี้แล้วเหมือนเธอกำลังหนักใจมากกว่าอารมณ์ของคนที่กำลังมีความรักนะ”
สุชาติไม่ตอบ เขายกดอกกุหลาบในมือขึ้นมอง หมุนมันไปมาเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี รู้สึกกังวลจนถึงขนาดถอนหายใจออกมา
“ถามใจตัวเองดีๆ นะว่าชอบแก้วจริงรึเปล่า ถ้าเธอไม่ได้ชอบเค้าแล้วขืนยังทำอย่างนี้ เธอก็จะต้องทุกข์ใจไปเรื่อยๆ และในอนาคตเธอก็จะทำให้คนดีๆ อย่างแก้วต้องเสียใจเพราะเธอไปด้วยอีกคน”
เด็กหนุ่มแสร้งเบือนหน้าไปมองแสงสีส้มจากหลอดไฟที่เสาไฟฟ้า มันให้แสงสว่างท่ามกลางความมืดแต่ในขณะเดียวกันแสงที่มันเปล่งออกมาก็ทำให้รู้สึกหดหู่หมองหม่นชอบกล
รถเมล์แล่นมาแต่ไกลก่อนจะชลอตัวและจอดเทียบป้ายพอดิบพอดี สุชาติก้าวขาขึ้นไปนั่งบนรถก่อนจะมองผ่านช่องหน้าต่างออกไปยังป้ายรอรถประจำทาง
เด็กสาวยังยืนอยู่ที่นั่น เธอไม่ได้เดินตามเขามา ใบหน้าเรียวยาวปราศจากเครื่องสำอางและเส้นผมดำขลับเงางามโดดเด่นภายใต้แสงไฟสีส้ม เธอยังคงมองตามเขาในขณะที่รถเมล์เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา
....................................
และนั่นเป็นครั้งแรกที่สุชาติได้มองใบหน้าของหญิงสาวอย่างเต็มตา จำได้ว่าชั่วขณะที่เขาเพ่งพิศใบหน้าของเธอมันทำให้เขารู้สึกกระวนกระวาย ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนั้น
“เมื่อคืนกลับมาน้ำก็ไม่ได้อาบ สกปรกไปหมด ไม่รู้นอนไปได้ยังไง”
หญิงสาวยังคงบ่นต่อเนื่องแทบไม่เว้นจังหวะให้ใครแทรกอะไรขึ้นมาได้แม่แต่คำเดียว สุชาติมองริมฝีปากแดงหนาที่กำลังขยับ มันสอดรับกันได้อย่างพอดีกับเรียวคางและโครงหน้าของเธอ เป็นโครงหน้าของผู้หญิงที่เติบใหญ่เป็นสาวเต็มตัวแล้ว
ก็คงเป็นอย่างนั้น เพราะเขาและเธอต่างก็เติบใหญ่ขึ้นมาพร้อมๆ กัน
....................................