ในเมื่อฉันอ้วนได้แล้วทำไมจะผอมไม่ได้ "ผ่าตัดลดน้ำหนัก เปลี่ยนชีวิต"

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ

เป็นกระทู้แรกเลยนะคะ

ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ
ยิ้มยิ้ม

วันนี้จะมาพูดเกี่ยวกับน้ำหนักของตัวเองที่แบกติดตัวมานานถึง 28ปี

นี่คืดรูปที่อ้วนสุดๆๆๆเลย 170 กิโลกรัม
คือที่เห็นไม่ใช่บวมเลยนะคะ มันอ้วนล้วนๆๆๆๆ
ทำไมถึงอ้วนมากมายขนาดนี้...ก็เพราะอาหารที่ชอบกิน คือ ไอติม เฟรนฟราย สามชั้น ชีส ช๊อคโกแลต ฯลฯ
เห็นไหมคะดูของที่ชอบกินแต่ละอย่างสิค่ะ จะไม่ให้อ้วนได้ยังไง
จริงๆตอนนั้นน้ำหนักเยอะสุดอยู่ที่ 102 น่าจะประมาณปี 2 แต่ที่มันเด้งมา170โล เพราะ...ยาลดความอ้วน...
ตัวร้าย มันคือมารที่มาเปลี่ยนชีวิต เหมือนตายทั้งเป็น
อีกสักรูปนะคะ

ตอนนั้น 102 โล เริ่มอ้วนเยอะล่ะ และเรียนอยู่มหาวิทยาลัยก็แบบอยากมีแฟน อยากผอม แต่ก็ยังอยากกิน
เลมานั้งคิดๆๆๆหาวิธี ทำยังไงให้ผอมแบบรวดเร็ว โดยไม่ต้องเหนื่อยออกกำลังกาย คิดไปคิดมา ปรึกษาเพื่อนคนนั้น นี่ นู้น
บทสรุปมาจบลงที่ อมยิ้ม20 ยาลดความอ้วน เศร้า จำได้ว่าซื้อมาชุดล่ะ 180 บาท เป้นแบบแคปซูล
ได้มาก็เริ่มกินเลย ก่อนอาหารเช้า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง มันมหัศจรรย์มาก ทำไม ทำไม เราไม่รู้สึกหิวอะไรเลย เป็นไปได้ยังไง
แทบไม่อยากเชื่อ  จากปกติหิวตลอดเวลา 555 เห็นอะไรก็ไม่อยากกิน แม้กระทั่งของโปรดเห็นแล้วยังเบือนหน้าหนี
ก็กินทุกวัน ทุกวัน วันเวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน ปรากฏว่าน้ำหนักลดลง 5-6 โล ความรู้สึกในตอนนั้น ว้าวววว!!! มันยอดมากกก
--น้ำหนักลดไป 5- 6 โล-- แต่ผลที่ตามมาคือ ใจสั่น  หน้ามืด ปากแห้ง หงุดหงิด อารมณ์เสีย นอนไม่หลับ ขอบตาคล้ำ โอ้โห!!!
โดยเฉพาะเจ็บแปล๊บๆที่หัวใจ เป็นบ่อยมาก ถี่ขึ้นเรื่อยๆ  จนไม่ไหว ต้องไปตรวจวัดคลื่นหัวใจที่โรงพยาบาล มันเป็นมากถึงขนาดนี้เลยเหรอ
จนไม่ไหวแล้ว  ต้องหยุดกินยาลดความอ้วนแล้ว  เลยตัดสินใจหยุด ผลปรากฎว่า เมนูอาหารเต็มหัวเลยค่ะ มันเหมือนมาทดแทนกับที่ไม่ได้กิน
ที่หนักหน่วงคือมันมีความรู้สึกอยากเพิ่มขึ้นเป้นหลายเท่ากว่าเดิม มื้อหนึ่งคนปกติกิน 1 จาน เราคนอื่น (ก่อนกินยาลดความอ้วน ) 2 จาน
แต่ตอนนี้มันมากกว่าเดิม เพิ่ม เป็น3 - 4 จาน (มันคือเรื่องจริงค่ะ) หลังจากไม่ได้กินยาลดความอ้วน ก็กินแบบนี้ทุกวันๆๆ กินน้ำหนักตัวทะลุไป170 กิโลกรัม
เริ่มปวดเข่า ปวดหลัง  ปวดเท้า อึดอัด เดินเหินไม่สะดวก นั่งกับพื้นก็ไม่ได้ ทำกิจกรรมที่ทำงานก็ลำบาก ยุ่งยากไปหมด โอ๊ย!!! ชีวิต ร้องไห้

จนไม่กล้าจะออกไปไหน  ไปไหนมาไหนก็อายคนอื่น  ไปไหนทีมีแต่คนมองแล้วก็ฉุบฉิบนินทากัน หัวเราะกัน  ไปนั่งกินข้าวข้างนอก เก้าอี้ไม่แข็งแรง (เก้าอี้พลาสติก) ก็นั่งไม่ได้ ขามันอ่อน รับน้ำหนักเราไม่ไหว  เสื้อผ้าก็หายาก ต้องใส่ตัวใหญ่ๆเทอะทะ  อยากร้องไห้  
แต่เป็นคนโชคดีอยู่อย่างที่ไม่มีโรคประจำตัวอะไร ไม่ค่อยป่วยออดๆแอดๆ ความดัน เบาหวาน คอเลตโตรอล ไขมัน ไม่เป็นสักอย่าง  แต่จะเป็นต่อมทอนซิลอักเสบ นานๆจะเป็นที  
คร่อกฟี้แล้วมีอยู่วันหนึ่งก็มาสังเกตุอาการที่เกิดขึ้นกับตัวเอง  รู้สึกว่าตื่นนอนตอนเช้าแล้วมันปวดหัวอื้อๆๆ ปวดตรงก้านสมอง  ปวดถี่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ขี้หลง  ขี้ลืม เบลอๆๆ เพิ่งพูด หรือทำไปตะกี้ ทำไมนึกไม่ออก จำไม่ได้ เริ่มเครียดล่ะ เริ่มกังวลกับอาการของตัวเอง
เลยตัดสินใจเล่าให้แม่กับพ่อฟังว่ามีอาการแบบนี้ พ่อกับแม่ก็เริ่มกังวลกับอาการของลูก  แต่สิ่งที่พ่อแม่มุ่งไปหาคือประเด็น *ความอ้วน* นี่แหละคือปัญหา
ที่ทำให้เกิดอาการนี้ พ่อจะบ่นตลอดให้กินน้อยๆ อย่ากินหวาน มัน ให้ออกกำลังกาย  แต่มันทำไม่ได้อ่ะ มันหิวอ่ะ  มันขี้เกียจอ่ะ เลยไม่ผอมสักที มีแต่อ้วนขึ้นๆ  และแล้วก็เหมือนสวรรค์มาโปรด ป้า คือพี่สาวของแม่ เขามีสามีฝรั่ง  เขาไปอยู่ต่างประเทศ แต่หลานสาวของสามีก็ประสบปัญหาโรคอ้วนเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผอมแล้ว  ผอมอย่างปลอดภัย  เพราะเขาไม่ผ่าตัดมา  ป้าเลยเล่าให้ฟังว่าเขาไปทำอะไรมามั้ง และให้เราศึกษาดูว่าในเมืองไทย  มีที่ไหนทำการผ่าตัดลดน้ำหนักบ้าง  
พอรู้แบบนี้แล้ว ก็ไม้รอช้า รีบศึกษาหาข้อมูลในเนตทันที  หาไปหามา หาจนตาลาย สรุปสนใจ  เยี่ยมโรงพยาบาลพระมงกุฏเยี่ยม เพราะอาจารย์หมอที่ผ่า เป็นมือ1ของประเทศไทย น่าเชื่อถือ อาจารย์มีความชำนาญในด้านนี้ พอได้ข้อมูลก็ไปปรึกษากับพ่อแม่ทันที จึงตัดสินใจจะเดินทางไปพบคุณหมอที่โรงพยาบาล  แต่เนื่องด้วยบ้านเราอยู่เชียงราย  การเดินทางจึงค่อนข้างลำบาก ไม่กล้านั่งเครื่อง (ความคิดตอนนั้นคือ กลัวนั่งเบาะเครื่องบินไม่ได้  กลัวยัดก้นลงไปในเบาะไม่ได้ คิดสารพัด) เลยต้องเดินทางด้วยรถทัวร์ นานเลย
รูปปัจจุบันตอนนี้ (ขอพักเบรกแปปนะคะ เดี๋ยวมาต่อ )
มาแล้วค่ะ ต่อนะคะ
เดินทางไปพบอาจารย์หมอ หลายครั้งเหมือนกันกว่าอาจารย์หมอจะนัดผ่า
เพราะอาจารย์เขาต้องการให้เราศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดจริงๆ ไม่ใช่อยากผ่าตามกระแส หรือมีเงินแล้วอยากทำอะไรก็ได้
อาจารย์จะถามอยู่เสมอว่าคุณพร้อมจะอยู่กับกระเพาะใบใหม่แค่ไหน คุณศึกษาข้อมูลมาแค่ไหน  คุณมีคำถามอะไรจะถามหมอ เพราะฉะนั้นบอกตรงนี้เลยนะคะ ใครที่สนใจอยากจะไปปรึกษาอาจารย์หมอ ก่อนอื่นต้องศึกษาข้อมูลไปเยอะๆเลย  บอกเลยว่าตอนนั้นท้อมาก เดินทางก็ลำบาก นั่งรถจากเชียงราย ทุ่มครึ่ง ถึงวิภาวดี ตี5กว่า รีบล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็นั่งแท็กซี่ต่อไปโรงพยาบาลพระมงกุฏต่อ สุดๆเลย พอพบอาจารย์หมอเสร็จก็ต้องรีบกลับมาขึ้นรถกลับเชียงรายอีก แต่ก็ไม่ถอย เดินหน้าต่อไป จำได้ว่าไปพบอาจารย์หมอครั้งที่4 อาจารย์ถึงให้ไปตรวจสุขภาพพร้อมตรวจภาวะการนอนกรนด้วย ตอนนั้นไปตรวจที่โรงพยาบาลกรุงเทพ สาเหตุที่เลือกโรงพยาบาลนี้คือเนื่องจากเวลาเรามีจำกัด (ลางานมา) รีบเร่ง โรงพยาบาลกรุงเทพได้ผลตรวจเร้วที่สุดคือตรวจวันนี้พรุ่งนี้ผลตรวจออก เลยโอเค บริการดีมาก ประทับใจค่ะ แตค่าใช้จ่ายอาจจะแพงกว่าที่อื่น
นี่คือตอนสลีฟเทส ตรวจการนอนหลับ
จะมีเจ้าหน้าที่มาติดอุปกรณืที่ตัวเราเต็มไปหมดเลย
แล้วเขาก็มีกล้องส่องเราทั้งคืนเพื่อดูการนอนของเราว่าเป็นยังไงบ้าง
ผลปรากฎว่า สักประมาณตี2กว่าๆ เจ้าหน้าทีเข้ามาปลุก พร้อมกับเอาเครื่องช่วยหายใจมาใส่ให้ และบอกว่าคุณมีภาวะหยุดหายใจขั้นรุนแรง เฉลี่ย 80ครั้งต่อชั่วโมง โอโห!!! 1นาที เราหยุดหายใจเกือบ2ครั้งเลยหรา
ขอโทษนะคะหายไปหลายวันเลย  เพิ่งว่างค่ะ
ต่อนะคะ
การหยุดหายใจขั้นรุนเป็นผลให้มีการปวดตรงท้ายทอย ก้านสมอง เนื่องจากอณอกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
และมีอาการขี้หลง ขี้ลืม  เบลอๆ มึนๆ ถ้าขืนปล่อยไว้จะนำไปสู่ภาวะการไหลตาย หรือที่เขาเรียกว่าหลับตายไปเลย (น่ากลัวมาก)
เสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นก็ไปตรวจร่างกายด้านอื่นๆต่อ ใช้เวลาประมาณครึ่งวัน แล้วก็รอผลตรวจเอากลับไปด้วยเลย รวมตรวจร่างกายประมาณ 5 หมื่น
พออีกวันก็เอาผลตรวจไปให้อาจารย์หมอดูที่ รพ.พระมงกุฎ อาจารย์หมอดูผลตรวจก็บอกว่าคุณเป็นคนอ้วนที่โชคดี คือ ไม่มีโรคประจำตัว เช่น ความดัน  เบาหวาน  คอเลสเตอรอล น้ำตาล  ค่าปกติหมดเลย  ยกเว้นภาวะหยุดหายใจ  อาจารย์หมอเลยให้ใช้เครื่องช่วยหายใจ ช่วยส่งต่อไปที่แผนกคอ  ให้หมอที่เชี่ยวชาญวิเคราะห์ค่าหายใจ  ดูว่าเราควรใช้เครื่องช่วยหายใจแบบไหน ใช้ค่าเท่าไหร่ ก็จะมีเจ้าหน้าที่เอาเครื่องช่วยหายใจมาให้เราลอง  พอใจยี่ห้อไหนก็เอายี่ห้อนั้น หลังจากนั้นก็กลับบ้านโดยใช้เครื่องช่วยหายใจทุกคืน ประมาณ 1 เดือน แล้วกลับไปพบอาจารย์หมออีกครั้งเพื่อดูว่าหลังจากที่เราใช้เครื่องช่วยหายใจไประบบหายใจเราเป็นยังไงบ้าง  
รวบรัดตัดตอนมาถึงตอนนัดผ่า ครั้งแรกเลย นัดผ่า 25 สิงหาคม 2557  ดีอกดีใจ สุดท้ายต้องเลื่อนนัด เพราะที่ทำงานไม่ให้ลา (เสียใจมากมาย)
ครั้งที่นัด 2 ตุลาคม 2557 เตรียมตัวอย่างดี ที่ทำงานให้ลา  แต่ปรากฏว่า อาจารย์หมอติดเรียน (เป็นช่วงที่อาจารย์หมอต้องไปเรียนเพิ่มพอดี)
เป็นอีกครั้งที่เสียใจที่สุด เพราะเรามาไกล มาถึงเป็นแบบนี้ (รายละเอียดไม่ขอพูดถึงเพราะผ่านมาแล้ว)

ยอมรับว่าเริ่มหมดหวัง คิดในใจว่าชาตินี้คงไม่ได้ผอมล่ะ ทำไมมันติดขัดแบบนี้ ท้อมาก ร้องไห้เยอะมาก
เลยปรึกษากับครอบครัวว่าจะเอายังไงดี และตัดสินใจไปปรึกษาอีกโรงพยาบาลนึง ก็คือ ไปนับหนึ่งใหม่ ไปเริ่มต้นใหม่หมด
โรงพยาบาลนี้ให้คำแนะนำดีมากๆ ตอบทุกคำถาม พูดดีใส่ใจคนไข้ดี  ซึ่งจะแตกต่างจากรพ.พระมงกุฎ ซึ่งอาจารย์จะเน้นให้คนไข้ไปศึกษามาเอง เราจะต้องรู้ข้อมูลมาบ้าง ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย มันก็ดีไปอีกแบบนะคะ เพราะมันคือร่างกายของเรา และเราจะต้องอยู่กับกระเพาะใบใหม่นี้ไปตลอดชีวิต  
ไปติดต่อที่โรงพยาบาลใหม่  เริ่มนัดผ่า ก็เข้าสู่แบบเดิมๆ หมอว่างผ่า เราลางานไม่ได้  พอเราลางานได้  หมอไม่ว่าง ชีวิตหนอชีวิต
ยืดเยื้อ ล่วงเลย ไปจนข้ามไป ชีวิตตอนนั้นแย่ทั้งร่างกายและจิตใจ น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นเรื่อยอย่างไม่หยุดหย่อน เพราะเรายังไม่ลดการกิน (ไม่สามารถห้ามความอยากของตัวเองได้) ปวดส้นเท้ามากๆเวลาเดินหรือยืนนานๆ เคลื่อนไหวลำบาก เสื้อผ้าชุดเดิมๆเริ่มใส่ไม่ได้คับไปหมด โอ็ยๆๆๆ สรุปไม่มีอะไรดีเลย

สรุปท้อ ไม่อยากผ่ามันล่ะ มันจะอ้วนตายก็ช่างมัน (เป็นความเห็นส่วนตัว ซึ่งไม่ดีเลย อิอิ)
และแล้วสวรรค์ก็เมตตา พระพุทธเจ้าเมตตา
จำได้แม่นว่าวันที่ 21 มกราคม 2558  คุณหมอจากโรงพยาบาลพระมงกุฎโทรมา บอกว่าอาจารย์หมอว่างแล้ว 26 มกราคม 2558 นัดผ่า คุณว่างไหม ตอนนั้นดีใจมากๆ น้ำตาไหลเลย ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นรีบตอบตกลงเลยว่าว่าง (ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลางาน ไม่รู้แระยังไงก็จะไป) ตกลงกับคุณหมอ สรุปผ่า 26 มกราคม 2558 แต่ต้องไปนอนโรงพยาบาลก่อนผ่า 1 คืน คือต้องไปนอน 25 มกราคม 2558 พอตกลงกับคุณหมอเสร็จ ก็โทรบอกพ่อแม่ และลำดับต่อไปคือลางาน หนักหน่วงอีกแล้ว ไหว้พระขอพร ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ ขอให้เจ้านายเมตตา อนุญาตให้ลาด้วยเทอญ ก็เข้าไปคุยรายละเอียดให้เจ้านายฟัง (ปกติเจ้านายเป็นคนที่ค่อนข้างดุ ละเอียดยิบ อิอิ ขออนุญาตนะคะเจ้านาย) แต่ลึกๆแล้วก็ใจดี ปรากฏว่าเจ้านายอนุญาตอย่างง่ายดายจนน่าตกใจ (เขาคงเห็นใจและตอนนั้นเขาคงรู้ว่าเราเสียใจมากที่ไม่ได้ผ่า เลื่อนมาหลายรอบ) ดีใจมากๆๆๆ เตรียมตัวเดินทาง เก็บของ เริ่มมีหวัง แววตามีประกาย อิอิ คิดในใจฝันจะเป็นจริงแล้วเรา
เดินทาง 25 มกราคม 2558 เช้า พ่อมาส่งที่สนามบินเชียงราย เดินทางกับแม่ (หารูปไม่เจอ)
มาถึงก็ติดต่อที่แผนกฉุกเฉิน คุณจัดการเรื่องห้องพักให้เราเรียบร้อย จองห้องพิเศษ แต่เต็มไม่ว่างเลย เลยได้ห้องพิเศษคู่
ก็โอเคไม่มีปัญหาอะไรเลย ห้องค่อนข้างโอเค ไปถึงห้องก็เตรียมตัวเจาะเลือด X-Ray นั่นนี่นู้น
พูดถึงว่าไป X-Ray ขำมาก บุรูษพยาบาลเขาอุตส่าห์เอารถเข็นนั่งมารับ ปรากฏว่านั่งไม่ได้ค่ะ ไม่สามารถยัดก้นตัวเองลงในรถเข็นได้ 555 สรุปแล้วต้องเดินไปเอง

ในรูปพยาบาลมาเจาะเลือดให้ ไม่รู้เจาะแบบไหน เลือดไหลเต็มเลย อิอิ  มีฉีดยาที่ท้องเพื่อสลายลิ่มเลือดด้วย เจ็บอ่ะ ฉีดบ่อยซะด้วย อิอิ
และเจาะดูน้ำตาลตรงนิ้วด้วย บ่อยเหมือนกัน เติมน้ำเกลือ และทีโหดสุดคือได้กินน้ำหฤโหด (555 ชื่อนี้ตั้งให้เอง) เพื่อล้างล้ำใส้ให้สะอาด คือกินยากมาก ทรมาน ต้องกลั้นใจเวลากิน หมอให้เวลาในการกิน ประมาณ 1 ชั่วโมง กินแล้วก็เข้าห้องน้ำเอาออกให้หมด อิอิ
คืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับ ตื่นเต้น ส่วนคุณแม่ก็ไหว้พระขอพรใหญ่เลย  ขอให้ลูกปลอดภัย
วันรุ่งขึ้น วันผ่า ก็จะมีทั้งหมอ พยาบาลเข้ามาหาเราเยอะแยะไปหมด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่