ปลอกคอ ( เรื่องของชายชรากับลูกชาย และหมาจรจัด ชื่อบุญหลง )
1.
ชายชราร่างผอมเกร็ง สวมเสื้อยืดเก่าๆสีเทาแขนสั้น กางเกงขาสั้นสีดำ รองเท้าแตะฟองน้ำ นั่งโดดเดี่ยวที่เทอเรซเตี้ยๆที่ยื่นจากห้องรับแขก ภายในบ้านตึกสองชั้นสีเหลืองขนาดห้าสิบตารางวา ที่ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้าน “สุขฤทัยวิลล่า ”
มองผ่านรั้วเหล็กสีดำเตี้ยๆ ไปยังต้นซอยที่อยู่ด้านขวามือบ่อยๆ รอการกลับมาของลูกชาย ที่จะกลับจากที่ทำงานในเวลานี้ทุกวัน
นั่งนานๆ หลังไหล่ แข้งขารู้สึกชา ก็เลยขยับตัวนิดๆ ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ มองดูบ้านหลังอื่นๆที่ตั้งติดเป็นพรืดในทั้งในซอยเดียวกับตน และซอยถัดไป
บ้านรูปทรงเดียวกัน ที่เขาเรียก บ้านโหล ถึงแม้ราคาจะเป็นล้านก็เถอะ และคงไม่มีใครอยากให้บ้านราคาเป็นล้านของตนแลดูโหล พวกเขาก็เลยหาต้นไม้ ดอกไม้มาประดับ จัดสวนหย่อมน่ารักๆ มีศาลาหน้าบ้านไว้นั่งเล่น เว้นแต่บ้านของลูกชายที่ ไม่มีอะไรสักอย่างที่ว่ามา
แต่ไม่ใช่บ้านลูกชายของตนคนเดียวหรอกนะที่เป็นเช่นนี้ ยังมีบ้านหลายต่อหลายหลังในหมู่บ้านที่เป็นอย่างบ้านลูกชาย ยามที่ออกไป เดินยืดเส้นยืดสาย และพอเห็นคราวใดก็อดคิดในใจมิได้ พวกเขาก็คงมาอีหรอบเดียวกับลูกชาย ที่ยุ่งกับงาน จนไม่ใส่ใจเรื่องอื่น
ชายชราหยีตามองฝ่าแสงแดดที่เต้นระริกตรงหน้า พลันสายตาอันฟ้าฟางก็แลเห็นบ้านอีกหลังลอยเด่นขึ้นมา บ้านไม้ยกพื้นสูง ตั้งอยู่ติดริมน้ำ ท่ามกลางแมกไม้ห้อมล้อมบ้านของแก กับศรีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่อยู่กันอย่างผาสุกที่อยู่ที่ต่างจังหวัด พอเห็นบ้าน ก็นึกถึงศรีภรรยา ตลอดจนถ้อยคำต่างๆที่เคยพูดกันในครั้งนั้น
“เราจะอยู่กันที่นี่ เลี้ยงดูลูก จนเขาเติบโต และเมื่อเขาย้ายแยกไปมีครอบครัว เราสองคนคนตายายก็จะอยู่ที่นี่แหละ ถ้าฉันเจ็บไข้คุณก็ดูแลฉัน และถึงคราวที่คุณเจ็บไข้บ้าง ฉันก็จะดูแลคุณเอง “ ศรีภรรยาบอกกับเขาอย่างนั้น
เขาได้ยิน ก็ไมได้คัดค้าน เพียงแต่ยิ้มรับ เพราะเขาคิดเสมอมา คำพูดไม่สำคัญเท่ากับการกระทำ แต่อนิจจาหลังจากที่เขาเกษียณได้ไม่นาน ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ก็ล้มเจ็บลงด้วยโรคมะเร็ง เขาจึงดูแลภรรยาอย่างที่พูดกันเอาไว้
ในวันที่ภรรยาจากไป เขาไม่ได้ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟาย อย่างที่ทุกคนคิด ทำให้ทุกคนพากันสงสัย เป็นไปได้อย่างไร ที่คนรักภรรยาสุดหัวใจอย่างเขา จึงได้เฉยชา เหมือนไม่รู้สึกรู้สา ไม่โศกเศร้าที่ภรรยามาล้มหายตายจาก คำตอบที่ทุกคนอยากรู้ มันอยู่ในใจเขามิได้บอกออกมาให้ใครรู้
ระหว่างที่ภรรยาต่อสู้กับโรคร้าย อย่างเจ็บปวด และสิ้นหวัง ตัวเขาเองก็ต่อสู้ไปพร้อมๆกับภรรยา และทุกครั้งภรรยาร้องไห้ เพราะท้อแท้ และเจ็บปวด เขาเองก็ร้องไปไห้กับหล่อน และแม้ว่าหล่อนหลับใหลด้วยฤทธิ์ยา เขาที่นั่งอยู่ใกล้ๆก็คงยังนั่งกุมมือภรรรยาไม่ปล่อย และบ่อยครั้งที่จู่ๆ น้ำตามันไหลออกมาเอง กับสภาพภรรยาที่ผอมจนหนังหุ้มกระดูก ซึ่งแน่ละ หากทำได้ เขาอยากจะรับความเจ็บปวดของภรรยาทั้งหมดเอามาไว้เสียเอง นิดเดียวก็จะไม่ให้ภรรยาเจ็บปวด
และคงเพราะเขาร้องไห้มามาก จนน้ำตามันแห้งเหือดไม่เหลือสักหยด ดังนั้นเมื่อนาที่สุดท้ายของภรรยามาถึง เขาจึงแค่ก้มลงจูบเบาๆที่ศีรษะของภรรยา และบอกกับหล่อนเบาๆ ได้ยินกันแค่สองคน
“ ไม่เจ็บ ไม่ปวด หมดทุกข์แล้วนะคุณ ไปดีนะ ผมจะดูแลลูกเอง ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ”
ชายชราสลัดความคิด และภาพเหตุการณ์แต่หนหลังออกไปเร็วๆ พึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ผมคิดถึงคุณจังเลย คุณใจร้ายมากนะ สัญญาจะอยู่ด้วยกัน แล้วทำไมมาทิ้งผมไป”
น้ำตาที่เอ่อหัวตาในนาทีก่อน ไหลลงสู่หางตาช้าๆ ก่อนจะร่วงลงสู่แก้มอันเหี่ยวย่น ร้องไห้ทำไม เออถ้าเป็นเด็กตัวเล็กๆก็ไปอย่าง ติงตัวเองเมื่อนึกได้ ก้มหน้าลงไปช้าๆเอามือทั้งสองดึงชายเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาเร็วๆ แล้วเงยหน้า บอกกับภรรยา อย่างที่เคยบอกประจำ
“รอผมนะ แล้วผมจะไปหา อีกไม่นาน เราจะได้พบกัน “
รถเบนซ์ รุ่นล่าสุดของลูกชายแล่นผ่านหน้าบ้าน ชายชราลุกขึ้นเร็วๆ เดินตัดสนามหญ้าหน้าบ้าน ไปเลื่อนรั้วประตูเหล็กดัดหน้าบ้านให้ และยืนรอจนลูกชายนำรถเข้าไปจอดที่ลานจอดเรียบร้อย พอลูกชายเข้าไปในบ้าน จึงได้ปิดประตู แล้วก้าวไปสมทบกับลูกชายที่นำหน้าเข้าไปในบ้านก่อนแล้ว
“ผมซื้อแกงเลียง กับ ปลาอินทรีทอด ของโปรดมาให้ “ ลูกชายที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีเทา กางเกงดำผ้าเนื้อดี ราคาแพง บอกบิดา พร้อมกับวางอาหารเย็นที่ซื้อมาลงบนโต๊ะขนาดสี่ที่ ที่ตั้งอยู่ด้านในของห้องรับแขกติดกับห้องครัว เจ้าตัวรูดเนคไท ยัดใส่กระเป๋าอกเสื้อ
“มากินด้วยกันซิลูก ”ชายชราร้องชวน ทั้งที่อาหารที่ลูกซื้อมานั้น แค่ข้าวถุง แกงถุง แล้วก็ปลาอีกชิ้น แต่ถ้าลูกจะกินด้วย ก็จะแบ่งให้ลูกครึ่งหนึ่ง เพราะนานแล้วที่ต้องกินข้าวเพียงลำพัง
“ผมทานมาเรียบร้อยมาแล้ว พ่อทานไปเถอะ เดี๋ยวไงผมขอตัวไปอาบน้ำ มีงานต้องทำต่อ “กล่าวจบก็หมุนตัวกลับเร็วๆ
“เดี๋ยวก่อน หนึ่ง” ผู้เป็นพ่อร้องเรียก ก้าวไปหา
“มีอะไรอีกล่ะพ่อ” ลูกชายร้องถาม ขมวดคิ้วมอง
“พ่ออยากกลับบ้าน”
“อีกแล้ว “ ลูกชายร้องออกมาดังๆอย่างขัดใจ ก้าวมาหา” บ้านหลังนี้ราคาเป็นล้านๆ แต่กลับจะไปอยู่บ้านโกโรโกโส เกิดอะไรขึ้นกับพ่อ บอกผมมาหน่อยซิ ผมอยากรู้จริงๆ”
“พ่อคิดถึงบ้าน…”
“แล้วพ่อจะไปอยู่ยังไงคนเดียว ในเมื่อแม่ก็ตายไปแล้ว”
“แต่พ่อ …”.
“ฟังผม ดีๆนะพ่อ ”ลูกชายบอกดังๆ “ ผมให้พ่อมาอยู่กับผม เพราะกลัวพ่อเหงา หรือว่า พ่อพูดอย่างนี้ เพราะพ่อไม่พอใจเรื่องที่ผมพูดกับพ่อวันก่อน ใช่ไหมล่ะ“
“เปล่านะลูก พ่อไม่ได้คิดอย่างนั้น”
“พ่อคิดแน่ ผมรู้ “ ลูกชายยืนยัน”ถอนใจแรงๆ ก่อนจะพูดต่อไปอย่างขัดใจ “ ผมแค่พูดให้พ่อฟังเฉยๆ ว่าบ้านกับที่ดินของพ่อ ราคาคร่าวๆก็หลายล้านอยู่ แทนที่พ่อจะเก็บมันไว้แล้วปล่อยให้มันรกร้าง ทำไมไม่ขายไป แล้วเอาเงินมาฝากธนาคาร ให้ดอกดวงมันงอกเงยขึ้นมา แทนจะทิ้งไว้เฉยๆให้เปล่าประโยชน์”
“แต่พ่อ บอกหนึ่งหลายครั้งแล้วนี่ลูก ว่าไม่อยากขาย แต่อยากจะเก็บมันไว้”
“เก็บเอาไว้ทำไมกัน”
“เอาไว้ให้ หนึ่ง”
“แล้วผมจะเอามันไปทำอะไร ในเมื่อบ้านหลังที่ผมอยู่นี่ก็ออกสบาย ถ้าพ่ออยากให้ผมอย่างที่พูดจริงๆละก็ ขายบ้านหลังนั้นไปซะ ผมจะได้เอาเงินมาใส่ธนาคารกินดอก หรือเอาไปซื้อหุ้น เอาเงินไปหมุนทำโน้นทำนี่ได้ตั้งหลายอย่าง”
“พ่อจะพูดอย่างไร หนึ่งถึงจะเข้าใจพ่อ”
“พ่อไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแหละ ” ลูกชายขึ้นเสียง ก่อนจะพูดต่อไปอย่างหงุดหงิด ”ที่พ่อบอกว่าจะให้ผม จริงๆแล้วพ่อแค่พูดส่งๆไปอย่างนั้นเอง ผมรู้“
“ผู้เป็นพ่อ เผยอปากโต้ลูกชาย ลูกเอ๊ย ทั้งบ้าน ทั้งรถ ที่ลูกใช้อยู่ทุกวัน พ่อก็ให้ไปแล้วมิใช่เหรอ กับบ้านหลังนั้น ซึ่งที่ทางก็ไม่มาก จะเก็บมันเอาไว้ ไม่ได้เชียวหรือ
“พ่อไปกินข้าวเถอะ ผมเหนียวตัว ขอไปอาบน้ำก่อน “ ลูกชายตัดบท หมุนตัวเร็วๆ ก้าวยาวๆขึ้นบันไดไปชั้นบน หากเขาหันกลับมามองด้านหลัง ก็จะพบว่าดวงตาอันฟ้าฟางของบิดามีน้ำใสๆ เอ่อรื้นอยู่ในนั้น
2.
ชายชราเห็นเจ้าตูบ มาป้วนเปี้ยนแถวหน้าบ้าน หลายวันแล้วละ มันเป็นสุนัขพันธ์ไทยสีขาว มอมแมม หูข้างซ้ายแหว่ง เดินขากะเผลกๆ
“ขาไปโดนอะไรมา ถูคนตี หรือว่าถูกรถชนล่ะเจ้าตูบ ”ชายชราร้องถามมันที่เบียดตัวเข้าหารั้วบ้าน สีหน้าหวาดๆ ดวงตาที่มองมา ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“ฉันไม่ทำอะไรแกหรอก แค่เอาข้าวกับน้ำมาให้ กินซะ จะได้มีแรง” ชายชราว่า ค่อยๆหย่อนกะละมังพลาสติกสองใบ ที่ใบหนึ่งใส่ข้าวเปล่า อีกใบใส่น้ำ ลงตรงหน้ามัน เจ้าตูบกระดิกหางไปมา ก่อนจะโผเข้าใส่
“ใจเย็น เจ้าตูบ กินมูมมามอย่างนี้ เดี๋ยวก็ได้ติดคอตายพอดี” พูดกับมันยิ้มๆ ทรุดตัวลงนั่งยองๆ มองเจ้าตูบ กินข้าวเปล่าอย่างไม่หายใจหายคอ ก่อนจะกินน้ำตาม แล้วหันมากินข้าว สลับไปมา
วันต่อมา ….ชายชราก็นำน้ำกับข้าวมาให้มันในที่เดิม คราวนี้ไม่ใช่ ข้าวเปล่าอย่างวันก่อน แต่เป็นข้าวผสมปลาทู ที่ให้ลูกชายซื้อให้
“เป็นไง เจ้าตูบ อร่อยใช่ไหมล่ะ “ถามยิ้มๆเมื่อมานั่งยองๆข้างมัน ยื่นมือไปหาช้าๆ เจ้าตูบที่กำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยชะงัก ส่งเสียงฮึ่มๆ ทำตาขวางใส่ เหมือนจะบอก ถ้าไม่อยากเจ็บตัว อย่าเข้ามา
“ฉันไม่ทำอะไรแกหรอกนะ แค่อยากทำความรู้จักกับเราเท่านั้น ถามจริงๆ ไม่อยากมีเพื่อนบ้างหรือไง”ร้องถามเจ้าตูบที่เอียงคอมอง
ถ้ามันกัด แต่ยอมเป็นเพื่อน ก็คุ้ม คิดพลาง ตัดสินใจยื่นมือไปลูบหัวมัน มันไม่กัดแต่ก้มหน้าลงจัดการข้าวผสมปลาทู ชายชราถอนใจดังๆ อย่างโล่งอก ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ไม่โดนกัด แถมมันยังยอมเป็นเพื่อนอีกด้วย เจ้าตูบไม่ได้บอก แต่เดาเอาจากท่าทาง เพราะมันกระดิกหางไปมา สีหน้าดูเป็นมิตรกว่าเมื่อตะกี้หน่อย
“ฉันชื่อ สมาน นะ แกเองก็ควรมีชื่อเหมือนกัน “ แนะนำตัวเองกับเจ้าตูบ ที่นั่งจ๋องอยู่ข้างๆชายชราที่เทอเรส “คิดออกแล้ว บุญหลงเป็นไง “
เจ้าตูบกระดิกหางไปมา เหมือนกับจะยอมรับชื่อใหม่ของมันอย่างนั้น ชายชราหัวเราะเบาๆ ยื่นมือไปลูบหัว เจ้าบุญหลง
“กระดิกหางใหญ่เลย ชอบละซิ”
จากวันนั้นเป็นต้นมา… ชายชราก็จะนั่งคุยกับเจ้าบุญหลง เจ้าบุญหลงเองก็ดีใจหาย เล่าอะไรให้มันฟัง มันก็ฟัง ไม่ค้านไม่ขัด เอาแต่มองหน้าเป๋อเหรอ กระดิกหางดิกๆ
“บุญหลงเอ๊ย ขอบใจนะที่ฟังคนแก่บ่น ถ้าไม่มีแก ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปพูดให้ใครฟัง” ก้มหน้าลงไปบอกมัน พร้อมกับลูบหัวมันเบาๆอย่างซาบซึ้ง
“ที่ให้ผมซื้อปลาทูทุกวัน ถามก็ไม่ยอมบอกว่าซื้อไปทำไม ที่แท้ก็ซื้อไปให้ ไอ้หมาข้างถนน นี่เอง “ลูกชายร้องโวยวายให้ผู้เป็นพ่อ ในวันที่เลิกงานเร็วกว่าทุกวัน แล้วมาพบผู้เป็นพ่อนั่งเล่นกับบุญหลงที่เทอเรซ
“มันชื่อ บุญหลง”
“จะบุญหลง บุญไม่หลง ผมไม่สน พ่ออย่าเอามันมาในบ้านผมอีกนะ เนื้อตัวสกปรก เห็นแล้วขัดตา ถ้าพ่อยากจะเลี้ยงหมาจริงๆ เดี๋ยวผมจะไปซื้อให้ จะเอาพันธ์ไหน แพงเท่าไหร่ ผมไม่ว่า ”
“จะต้องไปซื้อตัวใหม่ให้พ่อทำไมละหนึ่ง ในเมื่อพ่อเองก็มีเจ้าบุญหลง เพื่อนที่รู้ใจอยู่แล้วทั้งตัว “
“เพื่อนที่รู้ใจ ” ลูกชายร้องออกมาอย่างไม่เชื่อหู “ ถอนใจหนักๆ ก่อนตัดบทเอาดื้อๆ” ไม่รู้ละ พ่ออย่าเอาไอ้หมาเวรเข้ามาในบ้านให้ผมเห็นอีก ไม่อย่างนั้น ผมโกรธพ่อจริงๆด้วย ”
“แล้วถ้าพ่อเอามัน ไปอยู่ที่บ้านพ่อล่ะ หนึ่งจะว่ายังไง ”
“พ่อ”
“เจ้าหลงมันไม่มีใคร พ่อสงสารมัน “
ลูกชายไม่ตอบ ถอนใจแรงๆ หันหลังให้ กระแทกเท้าปึงๆเดินจากไป
“บุญหลง วันนี้แกอยู่นอกบ้านก่อนนะ ลูกชายฉันเขาโกรธ ที่ฉันเอาแกเข้ามาในบ้านเขา” ร้องบอก บุญหลง ที่กระดิกหางครางหงิงๆ อยู่หน้าบ้าน เดินวนไปวนมา อยากจะเข้ามาในบ้านนั่นแหละเรื่องของเรื่อง
“หิวใช่ไหม รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันไปเอาข้าวมาให้” ร้องบอกเจ้าบุญหลงข้ามรั้ว หมุนตัวเดินเข้าไปในครัวเอาข้าวเปล่ากับน้ำออกมาให้เจ้าบุญหลง ระหว่างที่มันกินข้าว ก็มานั่งยองๆเอาหลังพิงกำแพง คุยกับมัน
ชายชราที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร มองลูกชายที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่โซฟาใกล้ๆ สามวันเข้าวันนี้ ลูกชายไม่พูดกับตน เพราะ ขัดใจเรื่อง บุญหลงในวันนั้น
“หนึ่ง ขอพ่อพูดอะไร หน่อยได้ไหมลูก “
“ได้พ่อ แต่อย่านานละ ผมมีเวลาไม่มาก ” บอกห้วนๆ ไม่มองหน้า
“เรื่องบ้านกับที่ของพ่อนะ ถ้าหนึ่งจะทำอย่างที่หนึ่งต้องการ พ่อก็ไม่ว่าอะไร”
“พ่อว่าไงนะ “ ร้องถามดังๆ สีหน้าบึ้งตึงก่อนหน้านั้น กลายเป็นแปลกใจขณะมองหน้าบิดา
“พ่อแก่แล้ว จะอยู่ได้อีกสักกี่ปี หนึ่งจะทำอะไรกับมัน ตามใจหนึ่งเถอะ เพราะยังไง พ่อก็ยกให้หนึ่งอยู่แล้ว”
“นี่พ่อพูดจริงๆ ใช่ไหม” ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ยิ้มกว้างอย่างยินดี
“พ่อ เคยหลอกหนึ่งเหรอลูก “ ถามเรียบๆ ก่อนจะเอ่ยต่อไป” แต่พ่อขออะไรหนึ่งสักอย่างได้ไหม “
“หลายๆอย่างก็ได้ครับพ่อ” ลูกชายเอ่ยยิ้มๆ หน้าตาแจ่มใสราวกับคนละคนกับเมื่อกี้
“ พ่อขอ เอาเจ้าบุญหลงเข้ามาในบ้าน จะได้ไหม “ ชายชราต่อรอง มองลูกชายอย่างขลาดๆ
“ได้ซิครับ โธ่ เรื่องแค่นี้ “บอกบิดายิ้มๆ ความขุ่นข้องหมองใจก่อนนั้น หายไปสิ้น กับข่าวดีที่ได้รับ
ปลอกคอ ( เรื่องของชายชรากับลูกชาย และหมาจรจัด ชื่อบุญหลง )
1.
ชายชราร่างผอมเกร็ง สวมเสื้อยืดเก่าๆสีเทาแขนสั้น กางเกงขาสั้นสีดำ รองเท้าแตะฟองน้ำ นั่งโดดเดี่ยวที่เทอเรซเตี้ยๆที่ยื่นจากห้องรับแขก ภายในบ้านตึกสองชั้นสีเหลืองขนาดห้าสิบตารางวา ที่ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้าน “สุขฤทัยวิลล่า ”
มองผ่านรั้วเหล็กสีดำเตี้ยๆ ไปยังต้นซอยที่อยู่ด้านขวามือบ่อยๆ รอการกลับมาของลูกชาย ที่จะกลับจากที่ทำงานในเวลานี้ทุกวัน
นั่งนานๆ หลังไหล่ แข้งขารู้สึกชา ก็เลยขยับตัวนิดๆ ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ มองดูบ้านหลังอื่นๆที่ตั้งติดเป็นพรืดในทั้งในซอยเดียวกับตน และซอยถัดไป
บ้านรูปทรงเดียวกัน ที่เขาเรียก บ้านโหล ถึงแม้ราคาจะเป็นล้านก็เถอะ และคงไม่มีใครอยากให้บ้านราคาเป็นล้านของตนแลดูโหล พวกเขาก็เลยหาต้นไม้ ดอกไม้มาประดับ จัดสวนหย่อมน่ารักๆ มีศาลาหน้าบ้านไว้นั่งเล่น เว้นแต่บ้านของลูกชายที่ ไม่มีอะไรสักอย่างที่ว่ามา
แต่ไม่ใช่บ้านลูกชายของตนคนเดียวหรอกนะที่เป็นเช่นนี้ ยังมีบ้านหลายต่อหลายหลังในหมู่บ้านที่เป็นอย่างบ้านลูกชาย ยามที่ออกไป เดินยืดเส้นยืดสาย และพอเห็นคราวใดก็อดคิดในใจมิได้ พวกเขาก็คงมาอีหรอบเดียวกับลูกชาย ที่ยุ่งกับงาน จนไม่ใส่ใจเรื่องอื่น
ชายชราหยีตามองฝ่าแสงแดดที่เต้นระริกตรงหน้า พลันสายตาอันฟ้าฟางก็แลเห็นบ้านอีกหลังลอยเด่นขึ้นมา บ้านไม้ยกพื้นสูง ตั้งอยู่ติดริมน้ำ ท่ามกลางแมกไม้ห้อมล้อมบ้านของแก กับศรีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่อยู่กันอย่างผาสุกที่อยู่ที่ต่างจังหวัด พอเห็นบ้าน ก็นึกถึงศรีภรรยา ตลอดจนถ้อยคำต่างๆที่เคยพูดกันในครั้งนั้น
“เราจะอยู่กันที่นี่ เลี้ยงดูลูก จนเขาเติบโต และเมื่อเขาย้ายแยกไปมีครอบครัว เราสองคนคนตายายก็จะอยู่ที่นี่แหละ ถ้าฉันเจ็บไข้คุณก็ดูแลฉัน และถึงคราวที่คุณเจ็บไข้บ้าง ฉันก็จะดูแลคุณเอง “ ศรีภรรยาบอกกับเขาอย่างนั้น
เขาได้ยิน ก็ไมได้คัดค้าน เพียงแต่ยิ้มรับ เพราะเขาคิดเสมอมา คำพูดไม่สำคัญเท่ากับการกระทำ แต่อนิจจาหลังจากที่เขาเกษียณได้ไม่นาน ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ก็ล้มเจ็บลงด้วยโรคมะเร็ง เขาจึงดูแลภรรยาอย่างที่พูดกันเอาไว้
ในวันที่ภรรยาจากไป เขาไม่ได้ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟาย อย่างที่ทุกคนคิด ทำให้ทุกคนพากันสงสัย เป็นไปได้อย่างไร ที่คนรักภรรยาสุดหัวใจอย่างเขา จึงได้เฉยชา เหมือนไม่รู้สึกรู้สา ไม่โศกเศร้าที่ภรรยามาล้มหายตายจาก คำตอบที่ทุกคนอยากรู้ มันอยู่ในใจเขามิได้บอกออกมาให้ใครรู้
ระหว่างที่ภรรยาต่อสู้กับโรคร้าย อย่างเจ็บปวด และสิ้นหวัง ตัวเขาเองก็ต่อสู้ไปพร้อมๆกับภรรยา และทุกครั้งภรรยาร้องไห้ เพราะท้อแท้ และเจ็บปวด เขาเองก็ร้องไปไห้กับหล่อน และแม้ว่าหล่อนหลับใหลด้วยฤทธิ์ยา เขาที่นั่งอยู่ใกล้ๆก็คงยังนั่งกุมมือภรรรยาไม่ปล่อย และบ่อยครั้งที่จู่ๆ น้ำตามันไหลออกมาเอง กับสภาพภรรยาที่ผอมจนหนังหุ้มกระดูก ซึ่งแน่ละ หากทำได้ เขาอยากจะรับความเจ็บปวดของภรรยาทั้งหมดเอามาไว้เสียเอง นิดเดียวก็จะไม่ให้ภรรยาเจ็บปวด
และคงเพราะเขาร้องไห้มามาก จนน้ำตามันแห้งเหือดไม่เหลือสักหยด ดังนั้นเมื่อนาที่สุดท้ายของภรรยามาถึง เขาจึงแค่ก้มลงจูบเบาๆที่ศีรษะของภรรยา และบอกกับหล่อนเบาๆ ได้ยินกันแค่สองคน
“ ไม่เจ็บ ไม่ปวด หมดทุกข์แล้วนะคุณ ไปดีนะ ผมจะดูแลลูกเอง ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ”
ชายชราสลัดความคิด และภาพเหตุการณ์แต่หนหลังออกไปเร็วๆ พึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ผมคิดถึงคุณจังเลย คุณใจร้ายมากนะ สัญญาจะอยู่ด้วยกัน แล้วทำไมมาทิ้งผมไป”
น้ำตาที่เอ่อหัวตาในนาทีก่อน ไหลลงสู่หางตาช้าๆ ก่อนจะร่วงลงสู่แก้มอันเหี่ยวย่น ร้องไห้ทำไม เออถ้าเป็นเด็กตัวเล็กๆก็ไปอย่าง ติงตัวเองเมื่อนึกได้ ก้มหน้าลงไปช้าๆเอามือทั้งสองดึงชายเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาเร็วๆ แล้วเงยหน้า บอกกับภรรยา อย่างที่เคยบอกประจำ
“รอผมนะ แล้วผมจะไปหา อีกไม่นาน เราจะได้พบกัน “
รถเบนซ์ รุ่นล่าสุดของลูกชายแล่นผ่านหน้าบ้าน ชายชราลุกขึ้นเร็วๆ เดินตัดสนามหญ้าหน้าบ้าน ไปเลื่อนรั้วประตูเหล็กดัดหน้าบ้านให้ และยืนรอจนลูกชายนำรถเข้าไปจอดที่ลานจอดเรียบร้อย พอลูกชายเข้าไปในบ้าน จึงได้ปิดประตู แล้วก้าวไปสมทบกับลูกชายที่นำหน้าเข้าไปในบ้านก่อนแล้ว
“ผมซื้อแกงเลียง กับ ปลาอินทรีทอด ของโปรดมาให้ “ ลูกชายที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีเทา กางเกงดำผ้าเนื้อดี ราคาแพง บอกบิดา พร้อมกับวางอาหารเย็นที่ซื้อมาลงบนโต๊ะขนาดสี่ที่ ที่ตั้งอยู่ด้านในของห้องรับแขกติดกับห้องครัว เจ้าตัวรูดเนคไท ยัดใส่กระเป๋าอกเสื้อ
“มากินด้วยกันซิลูก ”ชายชราร้องชวน ทั้งที่อาหารที่ลูกซื้อมานั้น แค่ข้าวถุง แกงถุง แล้วก็ปลาอีกชิ้น แต่ถ้าลูกจะกินด้วย ก็จะแบ่งให้ลูกครึ่งหนึ่ง เพราะนานแล้วที่ต้องกินข้าวเพียงลำพัง
“ผมทานมาเรียบร้อยมาแล้ว พ่อทานไปเถอะ เดี๋ยวไงผมขอตัวไปอาบน้ำ มีงานต้องทำต่อ “กล่าวจบก็หมุนตัวกลับเร็วๆ
“เดี๋ยวก่อน หนึ่ง” ผู้เป็นพ่อร้องเรียก ก้าวไปหา
“มีอะไรอีกล่ะพ่อ” ลูกชายร้องถาม ขมวดคิ้วมอง
“พ่ออยากกลับบ้าน”
“อีกแล้ว “ ลูกชายร้องออกมาดังๆอย่างขัดใจ ก้าวมาหา” บ้านหลังนี้ราคาเป็นล้านๆ แต่กลับจะไปอยู่บ้านโกโรโกโส เกิดอะไรขึ้นกับพ่อ บอกผมมาหน่อยซิ ผมอยากรู้จริงๆ”
“พ่อคิดถึงบ้าน…”
“แล้วพ่อจะไปอยู่ยังไงคนเดียว ในเมื่อแม่ก็ตายไปแล้ว”
“แต่พ่อ …”.
“ฟังผม ดีๆนะพ่อ ”ลูกชายบอกดังๆ “ ผมให้พ่อมาอยู่กับผม เพราะกลัวพ่อเหงา หรือว่า พ่อพูดอย่างนี้ เพราะพ่อไม่พอใจเรื่องที่ผมพูดกับพ่อวันก่อน ใช่ไหมล่ะ“
“เปล่านะลูก พ่อไม่ได้คิดอย่างนั้น”
“พ่อคิดแน่ ผมรู้ “ ลูกชายยืนยัน”ถอนใจแรงๆ ก่อนจะพูดต่อไปอย่างขัดใจ “ ผมแค่พูดให้พ่อฟังเฉยๆ ว่าบ้านกับที่ดินของพ่อ ราคาคร่าวๆก็หลายล้านอยู่ แทนที่พ่อจะเก็บมันไว้แล้วปล่อยให้มันรกร้าง ทำไมไม่ขายไป แล้วเอาเงินมาฝากธนาคาร ให้ดอกดวงมันงอกเงยขึ้นมา แทนจะทิ้งไว้เฉยๆให้เปล่าประโยชน์”
“แต่พ่อ บอกหนึ่งหลายครั้งแล้วนี่ลูก ว่าไม่อยากขาย แต่อยากจะเก็บมันไว้”
“เก็บเอาไว้ทำไมกัน”
“เอาไว้ให้ หนึ่ง”
“แล้วผมจะเอามันไปทำอะไร ในเมื่อบ้านหลังที่ผมอยู่นี่ก็ออกสบาย ถ้าพ่ออยากให้ผมอย่างที่พูดจริงๆละก็ ขายบ้านหลังนั้นไปซะ ผมจะได้เอาเงินมาใส่ธนาคารกินดอก หรือเอาไปซื้อหุ้น เอาเงินไปหมุนทำโน้นทำนี่ได้ตั้งหลายอย่าง”
“พ่อจะพูดอย่างไร หนึ่งถึงจะเข้าใจพ่อ”
“พ่อไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแหละ ” ลูกชายขึ้นเสียง ก่อนจะพูดต่อไปอย่างหงุดหงิด ”ที่พ่อบอกว่าจะให้ผม จริงๆแล้วพ่อแค่พูดส่งๆไปอย่างนั้นเอง ผมรู้“
“ผู้เป็นพ่อ เผยอปากโต้ลูกชาย ลูกเอ๊ย ทั้งบ้าน ทั้งรถ ที่ลูกใช้อยู่ทุกวัน พ่อก็ให้ไปแล้วมิใช่เหรอ กับบ้านหลังนั้น ซึ่งที่ทางก็ไม่มาก จะเก็บมันเอาไว้ ไม่ได้เชียวหรือ
“พ่อไปกินข้าวเถอะ ผมเหนียวตัว ขอไปอาบน้ำก่อน “ ลูกชายตัดบท หมุนตัวเร็วๆ ก้าวยาวๆขึ้นบันไดไปชั้นบน หากเขาหันกลับมามองด้านหลัง ก็จะพบว่าดวงตาอันฟ้าฟางของบิดามีน้ำใสๆ เอ่อรื้นอยู่ในนั้น
2.
ชายชราเห็นเจ้าตูบ มาป้วนเปี้ยนแถวหน้าบ้าน หลายวันแล้วละ มันเป็นสุนัขพันธ์ไทยสีขาว มอมแมม หูข้างซ้ายแหว่ง เดินขากะเผลกๆ
“ขาไปโดนอะไรมา ถูคนตี หรือว่าถูกรถชนล่ะเจ้าตูบ ”ชายชราร้องถามมันที่เบียดตัวเข้าหารั้วบ้าน สีหน้าหวาดๆ ดวงตาที่มองมา ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“ฉันไม่ทำอะไรแกหรอก แค่เอาข้าวกับน้ำมาให้ กินซะ จะได้มีแรง” ชายชราว่า ค่อยๆหย่อนกะละมังพลาสติกสองใบ ที่ใบหนึ่งใส่ข้าวเปล่า อีกใบใส่น้ำ ลงตรงหน้ามัน เจ้าตูบกระดิกหางไปมา ก่อนจะโผเข้าใส่
“ใจเย็น เจ้าตูบ กินมูมมามอย่างนี้ เดี๋ยวก็ได้ติดคอตายพอดี” พูดกับมันยิ้มๆ ทรุดตัวลงนั่งยองๆ มองเจ้าตูบ กินข้าวเปล่าอย่างไม่หายใจหายคอ ก่อนจะกินน้ำตาม แล้วหันมากินข้าว สลับไปมา
วันต่อมา ….ชายชราก็นำน้ำกับข้าวมาให้มันในที่เดิม คราวนี้ไม่ใช่ ข้าวเปล่าอย่างวันก่อน แต่เป็นข้าวผสมปลาทู ที่ให้ลูกชายซื้อให้
“เป็นไง เจ้าตูบ อร่อยใช่ไหมล่ะ “ถามยิ้มๆเมื่อมานั่งยองๆข้างมัน ยื่นมือไปหาช้าๆ เจ้าตูบที่กำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยชะงัก ส่งเสียงฮึ่มๆ ทำตาขวางใส่ เหมือนจะบอก ถ้าไม่อยากเจ็บตัว อย่าเข้ามา
“ฉันไม่ทำอะไรแกหรอกนะ แค่อยากทำความรู้จักกับเราเท่านั้น ถามจริงๆ ไม่อยากมีเพื่อนบ้างหรือไง”ร้องถามเจ้าตูบที่เอียงคอมอง
ถ้ามันกัด แต่ยอมเป็นเพื่อน ก็คุ้ม คิดพลาง ตัดสินใจยื่นมือไปลูบหัวมัน มันไม่กัดแต่ก้มหน้าลงจัดการข้าวผสมปลาทู ชายชราถอนใจดังๆ อย่างโล่งอก ยิ้มออกมาอย่างพอใจ ไม่โดนกัด แถมมันยังยอมเป็นเพื่อนอีกด้วย เจ้าตูบไม่ได้บอก แต่เดาเอาจากท่าทาง เพราะมันกระดิกหางไปมา สีหน้าดูเป็นมิตรกว่าเมื่อตะกี้หน่อย
“ฉันชื่อ สมาน นะ แกเองก็ควรมีชื่อเหมือนกัน “ แนะนำตัวเองกับเจ้าตูบ ที่นั่งจ๋องอยู่ข้างๆชายชราที่เทอเรส “คิดออกแล้ว บุญหลงเป็นไง “
เจ้าตูบกระดิกหางไปมา เหมือนกับจะยอมรับชื่อใหม่ของมันอย่างนั้น ชายชราหัวเราะเบาๆ ยื่นมือไปลูบหัว เจ้าบุญหลง
“กระดิกหางใหญ่เลย ชอบละซิ”
จากวันนั้นเป็นต้นมา… ชายชราก็จะนั่งคุยกับเจ้าบุญหลง เจ้าบุญหลงเองก็ดีใจหาย เล่าอะไรให้มันฟัง มันก็ฟัง ไม่ค้านไม่ขัด เอาแต่มองหน้าเป๋อเหรอ กระดิกหางดิกๆ
“บุญหลงเอ๊ย ขอบใจนะที่ฟังคนแก่บ่น ถ้าไม่มีแก ฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปพูดให้ใครฟัง” ก้มหน้าลงไปบอกมัน พร้อมกับลูบหัวมันเบาๆอย่างซาบซึ้ง
“ที่ให้ผมซื้อปลาทูทุกวัน ถามก็ไม่ยอมบอกว่าซื้อไปทำไม ที่แท้ก็ซื้อไปให้ ไอ้หมาข้างถนน นี่เอง “ลูกชายร้องโวยวายให้ผู้เป็นพ่อ ในวันที่เลิกงานเร็วกว่าทุกวัน แล้วมาพบผู้เป็นพ่อนั่งเล่นกับบุญหลงที่เทอเรซ
“มันชื่อ บุญหลง”
“จะบุญหลง บุญไม่หลง ผมไม่สน พ่ออย่าเอามันมาในบ้านผมอีกนะ เนื้อตัวสกปรก เห็นแล้วขัดตา ถ้าพ่อยากจะเลี้ยงหมาจริงๆ เดี๋ยวผมจะไปซื้อให้ จะเอาพันธ์ไหน แพงเท่าไหร่ ผมไม่ว่า ”
“จะต้องไปซื้อตัวใหม่ให้พ่อทำไมละหนึ่ง ในเมื่อพ่อเองก็มีเจ้าบุญหลง เพื่อนที่รู้ใจอยู่แล้วทั้งตัว “
“เพื่อนที่รู้ใจ ” ลูกชายร้องออกมาอย่างไม่เชื่อหู “ ถอนใจหนักๆ ก่อนตัดบทเอาดื้อๆ” ไม่รู้ละ พ่ออย่าเอาไอ้หมาเวรเข้ามาในบ้านให้ผมเห็นอีก ไม่อย่างนั้น ผมโกรธพ่อจริงๆด้วย ”
“แล้วถ้าพ่อเอามัน ไปอยู่ที่บ้านพ่อล่ะ หนึ่งจะว่ายังไง ”
“พ่อ”
“เจ้าหลงมันไม่มีใคร พ่อสงสารมัน “
ลูกชายไม่ตอบ ถอนใจแรงๆ หันหลังให้ กระแทกเท้าปึงๆเดินจากไป
“บุญหลง วันนี้แกอยู่นอกบ้านก่อนนะ ลูกชายฉันเขาโกรธ ที่ฉันเอาแกเข้ามาในบ้านเขา” ร้องบอก บุญหลง ที่กระดิกหางครางหงิงๆ อยู่หน้าบ้าน เดินวนไปวนมา อยากจะเข้ามาในบ้านนั่นแหละเรื่องของเรื่อง
“หิวใช่ไหม รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันไปเอาข้าวมาให้” ร้องบอกเจ้าบุญหลงข้ามรั้ว หมุนตัวเดินเข้าไปในครัวเอาข้าวเปล่ากับน้ำออกมาให้เจ้าบุญหลง ระหว่างที่มันกินข้าว ก็มานั่งยองๆเอาหลังพิงกำแพง คุยกับมัน
ชายชราที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร มองลูกชายที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่โซฟาใกล้ๆ สามวันเข้าวันนี้ ลูกชายไม่พูดกับตน เพราะ ขัดใจเรื่อง บุญหลงในวันนั้น
“หนึ่ง ขอพ่อพูดอะไร หน่อยได้ไหมลูก “
“ได้พ่อ แต่อย่านานละ ผมมีเวลาไม่มาก ” บอกห้วนๆ ไม่มองหน้า
“เรื่องบ้านกับที่ของพ่อนะ ถ้าหนึ่งจะทำอย่างที่หนึ่งต้องการ พ่อก็ไม่ว่าอะไร”
“พ่อว่าไงนะ “ ร้องถามดังๆ สีหน้าบึ้งตึงก่อนหน้านั้น กลายเป็นแปลกใจขณะมองหน้าบิดา
“พ่อแก่แล้ว จะอยู่ได้อีกสักกี่ปี หนึ่งจะทำอะไรกับมัน ตามใจหนึ่งเถอะ เพราะยังไง พ่อก็ยกให้หนึ่งอยู่แล้ว”
“นี่พ่อพูดจริงๆ ใช่ไหม” ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ยิ้มกว้างอย่างยินดี
“พ่อ เคยหลอกหนึ่งเหรอลูก “ ถามเรียบๆ ก่อนจะเอ่ยต่อไป” แต่พ่อขออะไรหนึ่งสักอย่างได้ไหม “
“หลายๆอย่างก็ได้ครับพ่อ” ลูกชายเอ่ยยิ้มๆ หน้าตาแจ่มใสราวกับคนละคนกับเมื่อกี้
“ พ่อขอ เอาเจ้าบุญหลงเข้ามาในบ้าน จะได้ไหม “ ชายชราต่อรอง มองลูกชายอย่างขลาดๆ
“ได้ซิครับ โธ่ เรื่องแค่นี้ “บอกบิดายิ้มๆ ความขุ่นข้องหมองใจก่อนนั้น หายไปสิ้น กับข่าวดีที่ได้รับ