กระทู้ก่อนนอน (๔๙)

กระทู้สนทนา
สมัยผมยังเด็ก มองไปที่ริมกว๊าน จะเห็นโรงสีไฟขนาดใหญ่ตั้งอยู่เรียงรายหลายโรงด้วยกัน แต่เขาห้ามไม่ให้เด็กๆ เข้าไปเพ่นพ่านในโรงสีหรอก เพราะอาจได้รับอันตรายได้ ด้านหลังโรงสีจะมีกองแกลบมหึมาสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงต้มน้ำเครื่องจักรไอน้ำของโรงสี พร้อมกับควันดำพวยพุ่งออกจากปล่องโรงสีไม่ขาดสาย  พอบ่ายสี่โมงเย็น จะมีเสียงหวูดบอกกุลีโรงสีได้ทราบว่า ถึงเวลาเปลี่ยนผลัดแล้ว เพราะโรงสีขนาดใหญ่นี้ต้องสีข้าวตลอด 24 ชั่วโมงจนกว่าข้าวเปลือกในยุ้งที่ซื้อเก็บไว้จะสีหมด

ปัจจุบันนี้ โรงสีไฟเริ่มเป้นของหายากแล้ว เพราะมีการใช้พลังไฟฟ้าอย่างแพร่หลายตั้งแต่สีข้าวจนไปถึงเป่าแกลบแน่ะ แถมยังบรรจุลงถุงขนาด 5 กก. ได้อีกด้วย เหลือแต่ปล่องไฟเป็นที่ระลึกว่าที่ตรงนี้เคยมีโรงสีไฟมาก่อน

ปล่องไฟของดรงสีนี่ก็น่าสนใจครับ เพราะเป็นปล่องที่ก่อด้วยอิฐสูงเท่ากับตึกนับสิบชั้น แถมมีลวดลายอยู่ปลายปล่องอีกด้วย แสดงให้เห็นฝีมือช่างก่อสร้างที่มักเป็นชาวจีน สวยกว่าปล่องสมัยใหม่ที่เป็นเหล็กท่อกลมๆ ครับ

เรามาดูภาพโรงสีไฟเก่าที่ลุ่มน้ำปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ดีกว่า



๑. โรงสีหยิกเส็งจั่น ที่ตั้ง อยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำปากพนังบริเวณบ้านบางนาว ยุคแรกเรียกว่าโรงสีไทนำฟง เป็นของชาวจีนไหหลำ(มาจากเกาะไหหลำ)ตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๕ ต่อมาขายกิจการให้เถ้าแก่ฝาง ชาวสิงคโปร์ เปลี่ยนชื่อเป็นโรงสีฮะเซ่งเพ้ง และขายต่อให้ขุนบวรรัตนรักษ์ (ตั้น หยิกเส็ง) โดยให้บุตรชื่อ นายยุตติ บวรรัตนรักษ์ ดำเนินกิจการ

ต่อมานายยุตติ แต่งงานกับโคว้จักพิ้ง บุตรสาวของโคว้เซี่ยงฮ่าว และเป็นน้องสาวของโคว้จักพวง

โรงสีนี้หยุดกิจการราว พ.ศ.๒๕๐๕ และทายาทได้ย้ายไปทำกิจการอื่นที่เมืองครศรีธรรมราช แต่พื้นที่โรงสียังมีผู้ดูแล และสภาพปล่องโรงสีเห็นได้ชัดอยู่ริมถนนปากพนัง - ปากแพรก แถวบ้านบางนาว



๒. โรงสีไฟวลีย์ ที่ตั้ง ตั้งอยู่ที่ ต.ปากแพรก ฝั่งขวาแม่น้ำปากพนัง เป็น โรงสีที่เลิกกิจการหลังสุด ผู้ตั้งเดิมคือชาวไหหนำ ราว พ.ศ.๒๔๗๓ ต่อมาขายให้โคว้ฮะสี ( พี่ชายของโคว้ฮะหงี) ช่วงสงครามโลก โรงสีทำผิดกฎหมายไม่แจ้งสต็อก และยอดการส่งขายทำให้ทางการ โดยบริษัทข้าวไทยปักษ์ใต้ ทำการสอบสวน ผู้ดำเนินกิจการกลัวความผิด จึงหนีออกไปต่างประเทศ จึงอยู่ในการดูแลของ ขุนกิจ จีนนิทเทศ(หรือโคว้เป็งจือ ) ขุนกิจจีนนิเทศ ให้ญาติชื่อ นายจ่าง วงศ์เบี้ยสัจจ์ ดูแลชั่วคราว ต่อมาตกทอดถึงนายอนันต์ และนายนาค วงศ์เบี้ยสัจจ์

พ.ศ.๒๔๙๙ ให้โคว้หยิกซัง เช่าอยู่ระยะหนึ่ง
พ.ศ.๒๕๐๗ นายวลีย์ ภู่ศิริ (โกลี แซ่ภู่ บิดาของเทศมนตรีก้อง ภู่ศิริ) เข้าไปเช่า และซื้อกิจการในที่สุดจดทะเบียนตั้งชื่อโรงสีไฟวลีย์ ดำเนินกิจการมาถึง พ.ศ.๒๕๓๓ เป็นโรงสีขนาดกลาง กำลังผลิตวันละ ๕๐ เกวียนข้าวเปลือก

ด้วยเหตุที่อยู่รอยต่อระหว่าง อ.ปากพนัง หัวไทร และเชียรใหญ่ ทำให้มีวัตถุดิบมากพอ และดำเนินการโดยคนไทย แรงงานคือคนในท้องถิ่น ค่าแรงไม่แพง อยู่กันแบบพี่แบบน้อง โรงสีจึงอยู่มาได้นานและเลิกกิจการหลังสุดเมื่อมีโรงสีเครื่องยนต์เล็กเข้ามาทดแทนหลายปีแล้ว



๓. โรงสีเอียะหลี ที่ตั้ง อยู่ที่บ้านใหม่ ในเขตเทศบาลเมืองปากพนัง ฝั่งซ้ายของแม่น้ำปากพนัง ปัจจุบันคือโรงไม้แสงพัฒนา ถนนพานิชย์สัมพันธ์ เป็นของ นายครั่น ฮุ่ย แซ่ยี่ เป็นชาวจีนกวางตุ้ง รวมลงทุนกัน ๓ คน จำนวนเงินคนละ ๔๐๐ บาท ตั้งโรงสี พ.ศ.๒๔๕๘ ซื้อข้าวแล้วสีเป็นข้าวสารขายต่อให้พวกแขก ตรังกานู

ต่อมาแขกตรังกานูไม่ยอมใช้หนี้ ทำให้โรงสีล้มละลาย ใน พ.ศ.๒๔๖๒ ขายกิจการให้โค้วเปงจือ ซึ่งทำงานอยู่ที่โรงสีไฟเตาเส็ง แต่มาแต่งงานกับบุตรสาวของ ขุนผดุงวานิช (ต้นสกุล วงศ์เบี้ยสัจจ์) พ่อตาสนับสนุนผลักดันให้ซื้อโรงสีนี้ พ.ศ.๒๔๖๔ และซื้อกิจการอีกโรงหนึ่ง คือโรงสีที่ปากแพรก

..................................................

ขอขอบคุณภาพจาก facebook ปากพนัง นครศรีฯ ชุด โรงสีไฟในอดีต มา ณ ที่นี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่