สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคนจ้า ตามหัวข้อกระทู้เลยคือประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้ไปญี่ปุ่นคือทำงาน ทำงานและทำงาน แต่...แต่ทางบริษัทแอบใจดีเห็นว่าไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเลยให้วันว่างมาด้วย ีใจมากกกก ทริปนี้เลยถือว่าเป็นประสบการณ์การทำงานครั้งแรกในต่างประเทศ+เที่ยวไปในตัว เข้าเรื่องเลยดีกว่า ทริปนี้เราต้องเปลี่ยนโรงแรมที่พักทุกวันตามการทำงาน เลยอยากแบ่งปันข้อมูลที่พักที่เราได้ไปพักมา หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ พี่ๆ ไม่มากก็น้อย ปล.รูปที่ถ่ายอาจจะไม่สวยมากหนัก เพราะสลับถ่ายระหว่างกล้องปกติกับกล้องมือถือ ขอโทษล่วงหน้าจ้า
เราเดินทางวันที่ 8 – 15 พฤศจิกายน 2015 ได้พักที่ โตเกียว – ฮาโกเน่ – นิกโก้ แล้วก็แว่บไปโอซาก้าด้วย แต่ไม่ได้พักที่นั่น ส่วนอุณหภูมิที่โตเกียวจะอยู่ที่ประมาณ 17 องศาในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนจะอยู่ที่ประมาณ 10 องศา อากาศเย็นสบายดีมากกก ตอนแรกวางแผนไว้ว่าช่วงค่ำๆจะออกไปสำรวจบ้านเมืองเขาสักหน่อย แต่กลับกลายเป็นว่าสลบไปซะงั้น กว่าจะได้ไปเที่ยวโน้นเลยจ้าาวันว่าง
เริ่มต้นด้วยวันแรกของเรา (8 Nov) พอลงเครื่องปุบ ก็ไปซื้อตั๋ว Airport Limousine Bus ราคา 3,100 yen เราได้ตั๋วรอบ 17.15 ถึงโรงแรมประมาณ 19.30 รถบัสมาจอดถึงหน้าโรงแรมเลย ดูตารางเวลารถบัสทีนี่เลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หรือถ้าเดินทางโดยรถไฟ ให้ลงที่สถานี Edogawashi แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที คืนแรกเราพักที่ Hotel Chinzaso Tokyo
ห้องที่ได้คือ Superior room เปิดห้องไปตะลึงเลย ห้องใหญ่มากกกกก พวกสบู่ ยาสระผมเป็นของ L’Occitane ส่วนครีมต่างๆเป็นของ Kose ขอกรี๊ดแปบ


ส่วนอาหารเช้ามีให้เลือก 2 แบบคือ อาหารญี่ปุ่นกับอาหารนานาชาติ แน่นอนเราเลือกอาหารญี่ปุ่น มาทั้งทีก็ขอกินอาหารต้นตำรับหน่อยเถอะ อยากจะบอกว่าแค่ข้าวสวยเปล่าๆก็อร่อยแล้ว ข้าวสวยร้อนๆ นุ่มๆ ที่สำคัญเติมข้าวฟรีได้เรื่อยๆ แต่กับข้าวเติมไม่ได้นะ เราเลยจัดไปขอเพิ่มข้าวเลยจ้า

มาดูส่วนอื่นๆภายในโรงแรมกัน ภายในสวนของโรงแรมจะมีเจดีย์ที่สร้างจากไม้และด้านในมีพระพุทธรูปแบบญี่ปุ่นประดิษฐานอยู่ แล้วก็มีโบสถ์ขนาดเล็กสำหรับจัดพิธีแต่งงาน แต่ไม่ได้ลงรูปไว้เพราะว่าดันมีอีกาเกาะไม้กางเขนอยู่ มันเลยดูน่าสะพรึงมากกว่า อ้อลืมบอกไป คนภายนอกที่ไม่ใช่ลูกค้าของโรงแรมก็สามารถเข้ามาเดินชมสวนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แล้วก็มีสปา สระว่ายน้ำ ห้องสำหรับเรียนชงชาด้วย แต่เราไม่ได้ลองทำไรสักอย่างเพราะมันต้องเสียเงินเพิ่มอะนะ


สามารถดูแผนที่และร้านค้ารอบๆโรงแรมได้ที่นี่จ้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันที่สอง (9 Nov) เขยิบมานอนในเมืองอีกนิด คืนนี้นอนที่ Hotel Gracery Ginza สามารถนั่งรถไฟมาลงที่ Ginza Station สาย Ginza line ทางออก Exit A3 แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาทีก็ถึงละ วิธีการเดินทาง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ห้องที่ได้คือ Standard Single room ห้องไม่เล็กมาก มีพื้นที่สามารถเปิดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้ เตียงนุ่ม นอนคนเดียวสบาย ตรงที่แขวนเสื้อจะมีที่ฉีดน้ำอยู่ ไว้สำหรับฉีดดับกลิ่นเสื้อผ้า เราฉีดสุดชีวิตเสื้อแทบเปียก เพราะว่าดันไปกินข้าวร้านที่สูบบุหรี่ได้ ที่ชอบที่สุดในห้องนี้คือสายชาร์ต จัดเต็มมาให้เลือกหลายหัวมาก ฟินเลย อ้อเกือบลืม ในห้องไม่มีน้ำเปล่านะ เขาบอกว่าเปิดกินจากก๊อกได้เลย อีกทางเลือกคือจะมีตู้กดน้ำหยอดเหรียญกับตู้กดน้ำแข็งฟรีตั้งไว้ทุกชั้น หรือจะซื้อจากร้านสะดวกซื้อข้างนอกก็ได้ ใกล้ๆโรงแรมมี family martอยู่


วิวจากห้องนอน มองไปฝั่งตรงข้ามด้านขวามือ ก็จะเจอกับ Uniqlo Ginza สาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถึงแม้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ไม่สามารถไปหาเธอได้เพราะเธอปิดเร็วเหลือเกิน (เปิด 11.00 – 21.00) แถมรูปตัวตึกของโรงแรมให้ดูด้วย แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปอาหารเช้ามาเพราะรีบไปทำงาน ขอโทษด้วยน้า
วันที่สาม (10 Nov) วันนี้ลั้ลลาได้ออกไปทำงานต่างเมืองแล้ว ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดกันที่ Hakone Kowakien Hotel วิธีการเดินทางจาก Ginza นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Shinjuku เสร็จแล้วก็ขึ้นรถไฟสาย Odakyu ไปลงที่สถานี Hakone-Yumoto (ราคา 1,190 Yen) แล้วก็เปลี่ยนรถไฟอีกทีเป็นสาย Hakone Tozan (ราคา 890 Yen) ไปลงที่สถานี Kowakidani จากนั้นก็ขึ้นรถบัสประมาณ 5 นาทีไปลงที่หน้าโรงแรมได้เลย (ในรูป พอรถไฟกำลังจะเข้าจอดพนักงานก้อจะโค้งให้ทันที รู้สึกประทับใจเป็นภาพที่น่ารักมากๆเลย)

วิวของทางรถไฟสาย Hakone Tozan ด้วยความที่อยากถ่ายรูปมาก ก็เลยยืนตลอดทางเลย

กว่าจะถึงโรงแรมท้องก็ร้องทันที จัดไปเลยจ้าบุฟเฟ่ต์โรงแรม ของฟรีเราต้องกินให้คุ้มค่ากับเงินที่เขาจ่ายให้เรา ฮิ้ววววววว

ส่วนห้องที่เรานอนคือ Standard room ห้องใหญ่นอนสบาย หน้าหนาวแอร์จะถูกเปลี่ยนเป็นฮีตเตอร์ แต่ด้วยความที่เราไม่รู้ก็เลยปรับเร่งแอร์สุดพลัง ผลที่ได้คือร้อนแบบเหมือนอยู่ในเตาอบมาก ถอดเสื้อหนาวทิ้งแทบไม่ทัน ในห้องไม่มีน้ำเปล่าเหมือนเดิม เขาบอกว่าน้ำเย็นจากก๊อกกินได้ แต่อย่าเผลอเปิดน้ำร้อนนะ เพราะว่าน้ำร้อนมีแร่ธาตุบางตัวซึ่งเป็นน้ำจากภูเขาไฟเอาไว้แช่ตอนอาบน้ำเท่านั้น ภายในโรงแรมมีออนเซ็นให้ด้วยแต่เป็นแบบเปลือย แยกหญิง-ชาย ถ้าไม่อยากแช่รวมก็สามารถแช่ในห้องนอนได้ เพราะเป็นน้ำชนิดเดียวกัน ใกล้ๆกับโรงแรมมี Family mart สามารถเดินไปได้ไม่ไกล

ไปดูใบไม้เปลี่ยนสีในสวนของโรงแรมกันเถอะ อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 14 องศามีฝนตกปรอยๆตลอดทั้งวัน
จากหน้าโรงแรมข้ามฝั่งไป ก็เจอ Yunessun ไปแช่ออนเซ็นกันดีกว่า จริงๆที่นี่มีหลายบ่อมากเลือกเล่นได้ตามสบายเลย ส่วนข้อบังคับของที่นี่คือ ห้ามคนที่มีรอยสักลงเล่นแล้วก็ต้องใส่ชุดว่ายน้ำเล่นเท่านั้น พอเราเข้าไปข้างในเราจะได้กลิ่นหอมๆจากอโรม่าทำให้รู้สึกสดชื่นมากๆ

ออกไปดูธรรมชาติกันที่ทะสาบอาชิกับ Silver Grass กันดีกว่า วันที่ไปฝนตก ฟ้าปิด มองไม่เห็นเลยฟูจิซัง เสร็จแล้วก็ไป Silver Grass เขาบอกว่าที่นี่เป็นที่สำหรับเดินป่า เราว่าสวยดีเหมือนกันนะ

กลับมากินข้าวเย็นที่โรงแรมกัน วันนี้ได้กินอาหารญี่ปุ่นแบบจัดเต็ม เห็นเขาเรียกว่า Kaiseki จริงๆแล้วในชุดจะมีปลาดิบด้วย แต่เรากินไม่ได้เลยเปลี่ยนเป็นหัวไชเท้าสดแทน (รูปที่ 3 ที่เห็นเป็นแท่งสีขาวๆ)
ส่วนวันที่เหลือจะค่อยๆทยอยลงอีกทีจ้า
[CR] ครั้งแรกที่ญี่ปุ่น....แต่ไปทำงานซะงั้น
เราเดินทางวันที่ 8 – 15 พฤศจิกายน 2015 ได้พักที่ โตเกียว – ฮาโกเน่ – นิกโก้ แล้วก็แว่บไปโอซาก้าด้วย แต่ไม่ได้พักที่นั่น ส่วนอุณหภูมิที่โตเกียวจะอยู่ที่ประมาณ 17 องศาในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนจะอยู่ที่ประมาณ 10 องศา อากาศเย็นสบายดีมากกก ตอนแรกวางแผนไว้ว่าช่วงค่ำๆจะออกไปสำรวจบ้านเมืองเขาสักหน่อย แต่กลับกลายเป็นว่าสลบไปซะงั้น กว่าจะได้ไปเที่ยวโน้นเลยจ้าาวันว่าง
เริ่มต้นด้วยวันแรกของเรา (8 Nov) พอลงเครื่องปุบ ก็ไปซื้อตั๋ว Airport Limousine Bus ราคา 3,100 yen เราได้ตั๋วรอบ 17.15 ถึงโรงแรมประมาณ 19.30 รถบัสมาจอดถึงหน้าโรงแรมเลย ดูตารางเวลารถบัสทีนี่เลย [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ หรือถ้าเดินทางโดยรถไฟ ให้ลงที่สถานี Edogawashi แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที คืนแรกเราพักที่ Hotel Chinzaso Tokyo
ห้องที่ได้คือ Superior room เปิดห้องไปตะลึงเลย ห้องใหญ่มากกกกก พวกสบู่ ยาสระผมเป็นของ L’Occitane ส่วนครีมต่างๆเป็นของ Kose ขอกรี๊ดแปบ
ส่วนอาหารเช้ามีให้เลือก 2 แบบคือ อาหารญี่ปุ่นกับอาหารนานาชาติ แน่นอนเราเลือกอาหารญี่ปุ่น มาทั้งทีก็ขอกินอาหารต้นตำรับหน่อยเถอะ อยากจะบอกว่าแค่ข้าวสวยเปล่าๆก็อร่อยแล้ว ข้าวสวยร้อนๆ นุ่มๆ ที่สำคัญเติมข้าวฟรีได้เรื่อยๆ แต่กับข้าวเติมไม่ได้นะ เราเลยจัดไปขอเพิ่มข้าวเลยจ้า
มาดูส่วนอื่นๆภายในโรงแรมกัน ภายในสวนของโรงแรมจะมีเจดีย์ที่สร้างจากไม้และด้านในมีพระพุทธรูปแบบญี่ปุ่นประดิษฐานอยู่ แล้วก็มีโบสถ์ขนาดเล็กสำหรับจัดพิธีแต่งงาน แต่ไม่ได้ลงรูปไว้เพราะว่าดันมีอีกาเกาะไม้กางเขนอยู่ มันเลยดูน่าสะพรึงมากกว่า อ้อลืมบอกไป คนภายนอกที่ไม่ใช่ลูกค้าของโรงแรมก็สามารถเข้ามาเดินชมสวนได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แล้วก็มีสปา สระว่ายน้ำ ห้องสำหรับเรียนชงชาด้วย แต่เราไม่ได้ลองทำไรสักอย่างเพราะมันต้องเสียเงินเพิ่มอะนะ
สามารถดูแผนที่และร้านค้ารอบๆโรงแรมได้ที่นี่จ้า [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันที่สอง (9 Nov) เขยิบมานอนในเมืองอีกนิด คืนนี้นอนที่ Hotel Gracery Ginza สามารถนั่งรถไฟมาลงที่ Ginza Station สาย Ginza line ทางออก Exit A3 แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาทีก็ถึงละ วิธีการเดินทาง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ห้องที่ได้คือ Standard Single room ห้องไม่เล็กมาก มีพื้นที่สามารถเปิดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้ เตียงนุ่ม นอนคนเดียวสบาย ตรงที่แขวนเสื้อจะมีที่ฉีดน้ำอยู่ ไว้สำหรับฉีดดับกลิ่นเสื้อผ้า เราฉีดสุดชีวิตเสื้อแทบเปียก เพราะว่าดันไปกินข้าวร้านที่สูบบุหรี่ได้ ที่ชอบที่สุดในห้องนี้คือสายชาร์ต จัดเต็มมาให้เลือกหลายหัวมาก ฟินเลย อ้อเกือบลืม ในห้องไม่มีน้ำเปล่านะ เขาบอกว่าเปิดกินจากก๊อกได้เลย อีกทางเลือกคือจะมีตู้กดน้ำหยอดเหรียญกับตู้กดน้ำแข็งฟรีตั้งไว้ทุกชั้น หรือจะซื้อจากร้านสะดวกซื้อข้างนอกก็ได้ ใกล้ๆโรงแรมมี family martอยู่
วิวจากห้องนอน มองไปฝั่งตรงข้ามด้านขวามือ ก็จะเจอกับ Uniqlo Ginza สาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถึงแม้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ไม่สามารถไปหาเธอได้เพราะเธอปิดเร็วเหลือเกิน (เปิด 11.00 – 21.00) แถมรูปตัวตึกของโรงแรมให้ดูด้วย แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปอาหารเช้ามาเพราะรีบไปทำงาน ขอโทษด้วยน้า
วันที่สาม (10 Nov) วันนี้ลั้ลลาได้ออกไปทำงานต่างเมืองแล้ว ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดกันที่ Hakone Kowakien Hotel วิธีการเดินทางจาก Ginza นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Shinjuku เสร็จแล้วก็ขึ้นรถไฟสาย Odakyu ไปลงที่สถานี Hakone-Yumoto (ราคา 1,190 Yen) แล้วก็เปลี่ยนรถไฟอีกทีเป็นสาย Hakone Tozan (ราคา 890 Yen) ไปลงที่สถานี Kowakidani จากนั้นก็ขึ้นรถบัสประมาณ 5 นาทีไปลงที่หน้าโรงแรมได้เลย (ในรูป พอรถไฟกำลังจะเข้าจอดพนักงานก้อจะโค้งให้ทันที รู้สึกประทับใจเป็นภาพที่น่ารักมากๆเลย)
วิวของทางรถไฟสาย Hakone Tozan ด้วยความที่อยากถ่ายรูปมาก ก็เลยยืนตลอดทางเลย
กว่าจะถึงโรงแรมท้องก็ร้องทันที จัดไปเลยจ้าบุฟเฟ่ต์โรงแรม ของฟรีเราต้องกินให้คุ้มค่ากับเงินที่เขาจ่ายให้เรา ฮิ้ววววววว
ส่วนห้องที่เรานอนคือ Standard room ห้องใหญ่นอนสบาย หน้าหนาวแอร์จะถูกเปลี่ยนเป็นฮีตเตอร์ แต่ด้วยความที่เราไม่รู้ก็เลยปรับเร่งแอร์สุดพลัง ผลที่ได้คือร้อนแบบเหมือนอยู่ในเตาอบมาก ถอดเสื้อหนาวทิ้งแทบไม่ทัน ในห้องไม่มีน้ำเปล่าเหมือนเดิม เขาบอกว่าน้ำเย็นจากก๊อกกินได้ แต่อย่าเผลอเปิดน้ำร้อนนะ เพราะว่าน้ำร้อนมีแร่ธาตุบางตัวซึ่งเป็นน้ำจากภูเขาไฟเอาไว้แช่ตอนอาบน้ำเท่านั้น ภายในโรงแรมมีออนเซ็นให้ด้วยแต่เป็นแบบเปลือย แยกหญิง-ชาย ถ้าไม่อยากแช่รวมก็สามารถแช่ในห้องนอนได้ เพราะเป็นน้ำชนิดเดียวกัน ใกล้ๆกับโรงแรมมี Family mart สามารถเดินไปได้ไม่ไกล
ไปดูใบไม้เปลี่ยนสีในสวนของโรงแรมกันเถอะ อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 14 องศามีฝนตกปรอยๆตลอดทั้งวัน
จากหน้าโรงแรมข้ามฝั่งไป ก็เจอ Yunessun ไปแช่ออนเซ็นกันดีกว่า จริงๆที่นี่มีหลายบ่อมากเลือกเล่นได้ตามสบายเลย ส่วนข้อบังคับของที่นี่คือ ห้ามคนที่มีรอยสักลงเล่นแล้วก็ต้องใส่ชุดว่ายน้ำเล่นเท่านั้น พอเราเข้าไปข้างในเราจะได้กลิ่นหอมๆจากอโรม่าทำให้รู้สึกสดชื่นมากๆ
ออกไปดูธรรมชาติกันที่ทะสาบอาชิกับ Silver Grass กันดีกว่า วันที่ไปฝนตก ฟ้าปิด มองไม่เห็นเลยฟูจิซัง เสร็จแล้วก็ไป Silver Grass เขาบอกว่าที่นี่เป็นที่สำหรับเดินป่า เราว่าสวยดีเหมือนกันนะ
กลับมากินข้าวเย็นที่โรงแรมกัน วันนี้ได้กินอาหารญี่ปุ่นแบบจัดเต็ม เห็นเขาเรียกว่า Kaiseki จริงๆแล้วในชุดจะมีปลาดิบด้วย แต่เรากินไม่ได้เลยเปลี่ยนเป็นหัวไชเท้าสดแทน (รูปที่ 3 ที่เห็นเป็นแท่งสีขาวๆ)
ส่วนวันที่เหลือจะค่อยๆทยอยลงอีกทีจ้า