ดิฉันได้ชำระหนี้ทั้งหมดจำนวน ๕๗,๘๑๖ บาท (ห้าหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยสิบหกบาทถ้วน) โดยการวางเงินชำระหนี้ที่ศาลแขวงพระนครเหนือเมื่อ ๑๓ ก.พ.๕๒ เรียบร้อยแล้ว แต่ ๒๖ ต.ค.๕๘ บริษัท พลับบลิค (ผู้รับมอบอำนาจช่วง กยศ.) ได้มีการโทรศัพท์มาทวงให้ชำระหนี้ ซึ่ง กยศ.ไม่ดำเนินการ ปิดบัญชีหนี้ให้ดิฉันโดยเวลาผ่านมา ๖ ปีแล้ว รายละเอียดดังนี้
๑๖ มิ.ย.๕๑ กยศ.ได้ให้ทนายความเป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงมาดำเนินการฟ้องร้อง ณ ศาลแขวงพระนครเหนือ ให้มีการไกล่เกลี่ยหนี้จำนวน ๖๖,๓๔๙.๒๔ บาท (หกหมื่นหกพันสามร้อยสี่สิบเก้าบาทยี่สิบสี่สตางค์) นัดไกล่เกลี่ยวันที่ ๑๐ ก.ย.๕๑ เวลา ๐๙๐๐
๑๐ ก.ย.๕๑ ดิฉัน ได้เดินทางไปไกล่เกลี่ย ณ ศาลแขวงพระนครเหนือ โดยศาลพิจารณาให้ชำระเงินเดือนละไม่น้อยกว่า ๘๐๐ บาท (แปดร้อยบาทถ้วน)
๒๖ ก.ย.๕๑ ดิฉันได้ชำระเงินผ่านธนาคารกรุงไทย สาขา พหลโยธิน จำนวน ๑,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน)
๓๐ ก.ย.๕๑ ดิฉันได้ชำระเงินผ่านธนาคารกรุงไทย สาขา ศรีย่าน จำนวน ๘๐๐ บาท (แปดร้อยบาทถ้วน)
๑๓ ต.ค.๕๑ ดิฉันได้ชำระเงินผ่านธนาคารกรุงไทย สาขา ศรีย่าน จำนวน ๖,๐๑๐ บาท (หกพันสิบบาทถ้วน)
๓๐ ต.ค.๕๑ ดิฉันได้ชำระเงินผ่านธนาคารกรุงไทย สาขา ศรีย่าน จำนวน ๒,๐๑๐ บาท (สองพันสิบบาทถ้วน)คงเหลือยอดชำระหนี้ ณ ๓๐ ต.ค.๕๑ จำนวน ๕๗,๕๑๖.๐๒ บาท (ห้าหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยสิบหกบาทสองสตางค์)
๑๓ ก.พ.๕๒ ดิฉันได้ไปวางเงินชำระหนี้ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ จำนวน ๕๗,๘๑๖ บาท (ห้าหมื่นเจ็ด-พันแปดร้อยสิบหกบาท) ทั้งนี้ได้มีการคิดดอกเบี้ยเพิ่มเติมแล้วจำนวน ๓๐๐ บาท (สามร้อยบาทถ้วน)
๖ พ.ค.๕๒ ผู้รับมอบฉันทะจากทนายความซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงจาก กยศ.ได้มีการรับเงินตามหมายเรียกของศาลไปจำนวน ๕๗,๘๑๖ บาท (ห้าหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยสิบหกบาท)
๒๖ ต.ค.๕๘ บริษัทพลับบลิค (ผู้รับมอบอำนาจช่วง ก.ย.ศ.) ได้มีการโทรศัพท์มาทวงให้ชำระหนี้ ดิฉันจึงติดต่อไปที่ call center ของ กยศ.และได้คุยกับคุณเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ได้รับคำตอบที่ไม่กระจ่าง และคุกคามด้วยการบอกว่าให้ทำเรื่องมา หากไม่ทำก็ไม่สนใจ และดิฉันก็ยังคงสถานะหนี้อยู่อย่าง
นั่นต่อไป พร้อมทั้งกระแทกหูใส่โทรศัพท์ใส่ดิฉัน ขี้หูกระเทือนอย่างมาก
๒๗ ต.ค.๕๘ ดิฉันได้เดินทางไป กยศ.เพื่อจะขอคุยรายละเอียด คุณเจ้าหน้าที่คนที่กระแทกโทรศัพท์ใส่ดิฉัน เป็นคนมาชี้แจง โดยดิฉันได้มอบหลักฐานการจ่ายเงินที่ไปค้นมาจากศาล เพื่อให้เขาดำเนินการต่อไป แต่ปรากฏว่าคุณเจ้าหน้าที่ไปค้นหาเบอร์ทนายคนที่รับเงินไป พร้อมกับบอกให้ดิฉันไปติต่อทนายเอาเอง ดิฉันก็งงว่า ทำไมดิฉันต้องไปดำเนินการในส่วนที่ กยศ.ต้องไปดำเนินการด้วย แต่ก็เอานะ อยากรู้ความจริงเลยติดต่อที่สำนักนายความเอง ปรากฏว่า ที่สำนักงานทนายความให้ดิฉันไปเดินถามที่ธนาคารเอง เพราะคนที่รับเงินได้ลาออกไปแล้ว ประมาณ ปี 52 ( ณ ตอนนั้น อึ้งหนัก ดิฉันต้องทำหน้าที่แทน กยศ.และทนายความผู้รับงาน กยศ.ไปเองหมดหรือนี่) เลยตัดสินใจบอกไปว่า ดิฉันคงหมดธุระตั้งแต่นำหลักฐานการรับเงินให้ กยศ.ดูแล้วนะคะ ที่เหลือ กยศ.และทนายควรจะต้องหากันเอง ว่าอะไรคืออะไร เพราะทาง กยศ.บอกหาจำนวนเงินที่ดิฉันจ่ายไม่เจอ
๒๘ ต.ค.๕๘ ดิฉันได้เดินทางไป กยศ.เพื่อพบคุณ ปรเมษฐ์ สังข์เอี่ยม รักษาการณ์ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารหนี้ กยศ.ซึ่งได้รับเรื่องและขอโทษที่เกิดเรื่องผิดพลาด และให้คำสัญญาว่าจะดำเนินการสืบสาวราวเรื่องทั้งหมดภายใน ๑ สัปดาห์จะติดต่อกลับมา พร้อมกับมีหนังสือแจ้งให้ทราบพร้อมขอโทษ ว่าดิฉันได้ชำระหนี้เรียบร้อยแล้ว และจะแจ้งให้บริษัทติดตามทวงหนี้ไม่ให้โทรศัพท์มาทวงอีก พร้อมกับจะอบรมพนักงานที่แสดงกิริยาไม่ดีต่อดิฉัน
๖ พ.ย.๕๘ ดิฉันได้โทรศัพท์ไปสอบคุณปรเมษฐ์ฯ ปรากฏว่ายังไม่สามารถดำเนินการหาข้อเท็จจริงใดๆได้ตามที่ให้คำสัญญา และไม่มีการติดต่อใดๆกลับมา
ณ วันนี้ ๒๕ พ.ย.๕๘ เรื่องทุกอย่างเงียบ ไม่มีการติดต่อกลับใดๆ สถานะหนี้ของดิฉันควรจะได้รับการปิดบัญชีหนี้แล้วใช่ไหม ตลอดระยะเวลา ๖ ปี เศษ กยศ.เงินในส่วนนั้นจำนวน ๕๗,๘๑๖ บาท หายไปอยู่ตรงไหน มันควรนำกลับสู่งบประมาณของแผ่นดิน เพื่อจะได้ให้นักศึกาษรุ่นใหม่ได้กู้เพื่อใช้ในการศึกษาต่อใช่หรือไหม ทำไมคุณอ้างว่าหาเงินไม่เจอ และจากที่ดิฉันยื่นเรื่องให้คุณตรวจสอบ ๑ เดือนเศษ นี้มีอะไรคืบหน้าไหม ดิฉันได้ข่าวว่ามีผู้กู้ที่โดนฟ้องและรับการไกล่เกลี่ย ปี ๕๑ ปีเดียวกับดิฉัน ได้เกิดปัญหาลักษณะเช่นเดียวกับดิฉันเหมือนกัน คือชำระเงินหมดแล้ว แต่ยังมีการทวงถามให้ชำระหนี้อยู่ และยังไม่มีการดำเนินการปิดบัญชีหนี้ให้อยู่
โดยส่วนตัวดิฉันมีหลักฐานการจ่ายเงินที่ศาลแล้ว ก็อาจไม่เป็นไรแม้ กยศ.ยังไม่ปิดบัญชีหนี้ให้ แต่มันใช่หรอค่ะ หน้าที่ของ กยศ.คืออะไร ทำงานอะไรกันบ้าง และที่สำคัญที่สุด เงินที่ชำระหนี้นั้น สถานะตอนนี้ไปค้างอยู่ที่ไหน หายไปที่ไหน เงินของรัฐ ควรจะตรวจสออบได้ใช่ไหมค่ะ
เนื้อหาอาจยาวหน่อยนะคะ ต้องขออภัย มา ณ ที่นี้
กยศ.ยังไม่ปิดบัญชีผู้กู้ให้ ทั้งที่ชำระเงินทั้งหมดตั้งแต่ปี 52
๑๖ มิ.ย.๕๑ กยศ.ได้ให้ทนายความเป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงมาดำเนินการฟ้องร้อง ณ ศาลแขวงพระนครเหนือ ให้มีการไกล่เกลี่ยหนี้จำนวน ๖๖,๓๔๙.๒๔ บาท (หกหมื่นหกพันสามร้อยสี่สิบเก้าบาทยี่สิบสี่สตางค์) นัดไกล่เกลี่ยวันที่ ๑๐ ก.ย.๕๑ เวลา ๐๙๐๐
๑๐ ก.ย.๕๑ ดิฉัน ได้เดินทางไปไกล่เกลี่ย ณ ศาลแขวงพระนครเหนือ โดยศาลพิจารณาให้ชำระเงินเดือนละไม่น้อยกว่า ๘๐๐ บาท (แปดร้อยบาทถ้วน)
๒๖ ก.ย.๕๑ ดิฉันได้ชำระเงินผ่านธนาคารกรุงไทย สาขา พหลโยธิน จำนวน ๑,๐๐๐ บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน)
๓๐ ก.ย.๕๑ ดิฉันได้ชำระเงินผ่านธนาคารกรุงไทย สาขา ศรีย่าน จำนวน ๘๐๐ บาท (แปดร้อยบาทถ้วน)
๑๓ ต.ค.๕๑ ดิฉันได้ชำระเงินผ่านธนาคารกรุงไทย สาขา ศรีย่าน จำนวน ๖,๐๑๐ บาท (หกพันสิบบาทถ้วน)
๓๐ ต.ค.๕๑ ดิฉันได้ชำระเงินผ่านธนาคารกรุงไทย สาขา ศรีย่าน จำนวน ๒,๐๑๐ บาท (สองพันสิบบาทถ้วน)คงเหลือยอดชำระหนี้ ณ ๓๐ ต.ค.๕๑ จำนวน ๕๗,๕๑๖.๐๒ บาท (ห้าหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยสิบหกบาทสองสตางค์)
๑๓ ก.พ.๕๒ ดิฉันได้ไปวางเงินชำระหนี้ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ จำนวน ๕๗,๘๑๖ บาท (ห้าหมื่นเจ็ด-พันแปดร้อยสิบหกบาท) ทั้งนี้ได้มีการคิดดอกเบี้ยเพิ่มเติมแล้วจำนวน ๓๐๐ บาท (สามร้อยบาทถ้วน)
๖ พ.ค.๕๒ ผู้รับมอบฉันทะจากทนายความซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงจาก กยศ.ได้มีการรับเงินตามหมายเรียกของศาลไปจำนวน ๕๗,๘๑๖ บาท (ห้าหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยสิบหกบาท)
๒๖ ต.ค.๕๘ บริษัทพลับบลิค (ผู้รับมอบอำนาจช่วง ก.ย.ศ.) ได้มีการโทรศัพท์มาทวงให้ชำระหนี้ ดิฉันจึงติดต่อไปที่ call center ของ กยศ.และได้คุยกับคุณเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ได้รับคำตอบที่ไม่กระจ่าง และคุกคามด้วยการบอกว่าให้ทำเรื่องมา หากไม่ทำก็ไม่สนใจ และดิฉันก็ยังคงสถานะหนี้อยู่อย่าง
นั่นต่อไป พร้อมทั้งกระแทกหูใส่โทรศัพท์ใส่ดิฉัน ขี้หูกระเทือนอย่างมาก
๒๗ ต.ค.๕๘ ดิฉันได้เดินทางไป กยศ.เพื่อจะขอคุยรายละเอียด คุณเจ้าหน้าที่คนที่กระแทกโทรศัพท์ใส่ดิฉัน เป็นคนมาชี้แจง โดยดิฉันได้มอบหลักฐานการจ่ายเงินที่ไปค้นมาจากศาล เพื่อให้เขาดำเนินการต่อไป แต่ปรากฏว่าคุณเจ้าหน้าที่ไปค้นหาเบอร์ทนายคนที่รับเงินไป พร้อมกับบอกให้ดิฉันไปติต่อทนายเอาเอง ดิฉันก็งงว่า ทำไมดิฉันต้องไปดำเนินการในส่วนที่ กยศ.ต้องไปดำเนินการด้วย แต่ก็เอานะ อยากรู้ความจริงเลยติดต่อที่สำนักนายความเอง ปรากฏว่า ที่สำนักงานทนายความให้ดิฉันไปเดินถามที่ธนาคารเอง เพราะคนที่รับเงินได้ลาออกไปแล้ว ประมาณ ปี 52 ( ณ ตอนนั้น อึ้งหนัก ดิฉันต้องทำหน้าที่แทน กยศ.และทนายความผู้รับงาน กยศ.ไปเองหมดหรือนี่) เลยตัดสินใจบอกไปว่า ดิฉันคงหมดธุระตั้งแต่นำหลักฐานการรับเงินให้ กยศ.ดูแล้วนะคะ ที่เหลือ กยศ.และทนายควรจะต้องหากันเอง ว่าอะไรคืออะไร เพราะทาง กยศ.บอกหาจำนวนเงินที่ดิฉันจ่ายไม่เจอ
๒๘ ต.ค.๕๘ ดิฉันได้เดินทางไป กยศ.เพื่อพบคุณ ปรเมษฐ์ สังข์เอี่ยม รักษาการณ์ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารหนี้ กยศ.ซึ่งได้รับเรื่องและขอโทษที่เกิดเรื่องผิดพลาด และให้คำสัญญาว่าจะดำเนินการสืบสาวราวเรื่องทั้งหมดภายใน ๑ สัปดาห์จะติดต่อกลับมา พร้อมกับมีหนังสือแจ้งให้ทราบพร้อมขอโทษ ว่าดิฉันได้ชำระหนี้เรียบร้อยแล้ว และจะแจ้งให้บริษัทติดตามทวงหนี้ไม่ให้โทรศัพท์มาทวงอีก พร้อมกับจะอบรมพนักงานที่แสดงกิริยาไม่ดีต่อดิฉัน
๖ พ.ย.๕๘ ดิฉันได้โทรศัพท์ไปสอบคุณปรเมษฐ์ฯ ปรากฏว่ายังไม่สามารถดำเนินการหาข้อเท็จจริงใดๆได้ตามที่ให้คำสัญญา และไม่มีการติดต่อใดๆกลับมา
ณ วันนี้ ๒๕ พ.ย.๕๘ เรื่องทุกอย่างเงียบ ไม่มีการติดต่อกลับใดๆ สถานะหนี้ของดิฉันควรจะได้รับการปิดบัญชีหนี้แล้วใช่ไหม ตลอดระยะเวลา ๖ ปี เศษ กยศ.เงินในส่วนนั้นจำนวน ๕๗,๘๑๖ บาท หายไปอยู่ตรงไหน มันควรนำกลับสู่งบประมาณของแผ่นดิน เพื่อจะได้ให้นักศึกาษรุ่นใหม่ได้กู้เพื่อใช้ในการศึกษาต่อใช่หรือไหม ทำไมคุณอ้างว่าหาเงินไม่เจอ และจากที่ดิฉันยื่นเรื่องให้คุณตรวจสอบ ๑ เดือนเศษ นี้มีอะไรคืบหน้าไหม ดิฉันได้ข่าวว่ามีผู้กู้ที่โดนฟ้องและรับการไกล่เกลี่ย ปี ๕๑ ปีเดียวกับดิฉัน ได้เกิดปัญหาลักษณะเช่นเดียวกับดิฉันเหมือนกัน คือชำระเงินหมดแล้ว แต่ยังมีการทวงถามให้ชำระหนี้อยู่ และยังไม่มีการดำเนินการปิดบัญชีหนี้ให้อยู่
โดยส่วนตัวดิฉันมีหลักฐานการจ่ายเงินที่ศาลแล้ว ก็อาจไม่เป็นไรแม้ กยศ.ยังไม่ปิดบัญชีหนี้ให้ แต่มันใช่หรอค่ะ หน้าที่ของ กยศ.คืออะไร ทำงานอะไรกันบ้าง และที่สำคัญที่สุด เงินที่ชำระหนี้นั้น สถานะตอนนี้ไปค้างอยู่ที่ไหน หายไปที่ไหน เงินของรัฐ ควรจะตรวจสออบได้ใช่ไหมค่ะ
เนื้อหาอาจยาวหน่อยนะคะ ต้องขออภัย มา ณ ที่นี้