สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
แปลว่าคุณยังไม่รู้จักคุณสมบัติของปุ๋ยแต่ละชนิด ถ้าอย่างนั้นขออนุญาตร่ายยาวให้ฟังครับ (ขอพ่วงเรื่องดินด้วยนะ)
#ปุ๋ยเคมี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ปุ๋ยเคมีโดนโจมตีว่าเป็นผู้ร้ายมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้แต่แท้จริงแล้วปุ๋ยเคมีไม่ได้ทำให้ดินเสียหรือเกิดสารตกค้างในพืช แต่การใช้ปุ๋ยเคมีอย่างผิดวิธีต่างหากที่ทำให้ดินเสีย เพราะปุ๋ยเคมีมีแค่ธาตุอาหารหลัก 3 ชนิด แต่ที่พืชต้องการจริงๆคือ 17 ชนิด การใส่แต่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวทำให้ดินมีแค่ธาตุอาหารหลัก แต่ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมรวมทั้งอินทรีย์วัตถุในดินยังคงถูกใช้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อใช้แต่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวในระยะหนึ่งผลผลิตจะค่อยๆลดคุณภาพและปริมาณลง ดินก็จะแข็งมากขึ้นเพราะอินทรีย์วัตถุเหลือน้อยลง
#ปุ๋ยอินทรีย์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ในช่วงเวลาเดียวกับที่ปุ๋ยเคมีกลายเป็นจำเลยของสังคมเกษตรกรนั้นปุ๋ยอินทรีย์ก็ถูกยกขึ้นมาเป็นพระเอกขี่ม้าขาวเข้ามากู้วิกฤติ แต่รู้หรือไม่ว่าการใช้ผิดวิธีสิ่งที่คิดว่าเป็นพระเอกขี่ม้าขาวจะกลายเป็นผู้ร้ายตัวจริง !!!
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
1.ปุ๋ยอินทรีย์ส่วนใหญ่มีไนโตรเจนมากกว่าฟอสฟอรัสและโปรแทดเซี่ยม ซึ่งหากพืชได้รับไนโตรเจนสูงเกินไปจะถูกโรคและแมลงเข้าทำลายได้ง่ายกว่าพืชที่ได้รับฟอสฟอรัสกับโปรแทดเซี่ยมที่เพียงพอ
2.ปุ๋ยอินทรีย์มีความเสี่ยงในการสะสมโลหะหนักในดินมากกว่าปุ๋ยเคมี (ถ้าหากใช้ปุ๋ยจากแหล่งผลิตที่มีการปนเปื่อน ซึ่งการผลิตปุ๋ยอินทรีย์มีการตรวจสอบย้อนกลับน้อยมาก)
3.ราคาและปริมาณเทียบความคุ้มค่าต่อธาตุอาหารหลักปุ๋ยอินทรีย์จะมีราคาสูงกว่าปุ๋ยเคมีมาก
#ความแตกต่างของปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1.โดยปกติปุ๋ยเคมีจะมีแค่ธาตุอาหารหลักในขณะที่ปุ๋ยอินทรีย์มีทั้งธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริม และอินทรีย์วัตถุ
2.ปุ๋ยเคมีสามารถปลดปล่อยธาตุอาหารได้ทันทีสามารถให้ตรงกับความต้องการของพืชในแต่ละช่วงเวลาได้ แต่ปุ๋ยอินทรีย์จะปลดปล่อยไม่ต่อเนื่องและมักจะไม่ตรงช่วงเวลาที่พืชต้องการ
3.เทียบราคาต่อธาตุอาหารหลักปุ๋ยเคมีจะมีราคาถูกกว่า
#การใช้ปุ๋ยที่ถูกต้อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้คงจะเป็นการยากที่จะบอกว่าให้ใครใช้ปุ๋ยอะไรกับต้นอะไรตรงไหนในปริมาณเท่าไร เพราะดินแต่ละที่มีความเหมาะสมต่อปุ๋ยต่างชนิดกัน ดินแต่ละที่มีธาตุอาหารต่างกัน และที่สำคัญพืชแต่ละชนิดและแต่ละช่วงวัยต้องการธาตุอาหารต่างชนิดกัน ความเหมาะสมจึงอยู่ที่การใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นตัวปรับโครงสร้างดินและเพิ่มธาตุรอง ธาตุเสริมกับอินทรียฺ์วัตถุ ในขณะที่ปุ๋ยเคมีใช้สำหรับเพิ่มธาตุอาหารหลักและกระตุ้นตามช่วงเวลาที่ต้องการบำรุงต้น ดอก ใบ ผล ราก และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรมีการนำดินไปตรวจ (ตรวจฟรีที่สำนักงานพัฒนาที่ดินหรือสถานีพัฒนาที่ดินประจำจังหวัด) เพื่อให้ทราบโครงสร้างดินของตนเองและค่อยปรับปรุงดินตามความเหมาะสมของในแต่ละพื้นที่ต่อไป
ที่สำคัญการให้ปุ๋ยที่ดีไม่ใช่รองก้นหลุมทีเดียวเยอะทีเดียวตอนปลูก แต่เป็นการคลุกผสมดินที่ปลูกในปริมาณที่เหมาะสมและมีการเติมอย่างต่อเนื่องตามการเจริญเติบโตของพืช
นอกจากนี้ยังมีการทดลองแล้วว่าการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และเคมีผสมกันจะให้ให้ผลิตสูงกว่าใช้ตัวเดียวและต้นทุนรวมจะต่ำกว่า ที่สำคัญมีการทดลองพบกว่าการใช้ร่วมกันจะช่วยให้ผักผลไม้มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าใช้แค่ตัวใดตัวหนึ่ง
คำแนะนำพิเศษ ไม่ควรใช้ปุ๋ยอินทรีย์เกิน 2 กก./ตรม.หรือ 3 ตัน/ไร่ เนื่องจากพืชจะได้รับธาตุอาหารบางชนิดสูงเกินไปจนเป็นอันตรายต่อพืช (ศ.ธีระพงษ์ สว่างปัญญางกูร)
#การใช้ดินอย่างถูกต้อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1.ห้ามเผาโดยเด็ดขาด การเผาจะทำลายอินทรีย์วัตถุ จุลินทรีย์ สัตว์ขนาดเล็ก ฮอร์โมนพืช และแร่ธาตุบางชนิดภายในดินให้สลายไป และถ้าเผาอย่างต่อเนื่องจะทำให้โครงสร้างดินเสียหายอย่างถาวร
2.ลดการใช้สารเคมีกำจัดแมลงและวัชพืช แม้สองชนิดนี้จะไม่ทำความเสียหายให้โครงสร้างดินโดยตรง แต่จะทำให้สัตว์ขนาดเล็กและจุลินทรีย์ถูกทำลายซึ่งมีผลเสียทางอ้อมต่อคุณภาพดินและยังทำให้มีสารพิษตกค้างในผลผลิตด้วย
3.มีแนวโน้มชี้ว่าการไถหน้าดินในระดับความลึกเดิม(เช่นที่ความลึก 10 ซม.) และการใช้เครื่องจักรหนักซ้ำอย่างต่อเนื่องจะก่อให้เกิดชั้นดินดานซึ่งเป็นผลเสียต่อการเจริญของรากพืช
4.พื้นที่น้ำหลากหรือพื้นที่ที่ให้น้ำด้วยการให้ปริมาณมากทีเดียวจะมีน้ำไหลออกเยอะจะมีการสูยเสียหน้าดินที่มีธาตุอาหารสูงไป และยังทำให้มีการปนเปื่อนในแหล่งน้ำเนื่องจากไนเตรดถูกชะลงไปหากมีมากเกินไปจะเกิดพิษต่อแหล่งน้ำนั้น หากไม่สามารถปรับทิศทางการไหลของน้ำหลากได้ให้ปลูกพืชคลุมดินเพื่อช่วยลดการชะล้าง (ควรมีการปลูกหญ้าแฝกในทิศทางของน้ำไหลเข้าเพื่อลดแรงปะทะและในทิศทางไหลออกเพื่อลดการสูญเสียหน้าดิน)
5.ไม่ปลูกพืชชนิดเดิมซ้ำๆที่เดิม เพราะพืชชนิดเดิมก็ต้องการธาตุอาหารเดิมๆ ทำให้ธาตุนั้นๆถูกใช้จนหมด หรือทำให้ธาตุบางชนิดเพิ่มมากขึ้นจนส่งผลเสียต่อดินหรือส่งผลเสียต่อการเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารชนิดอื่น
เครดิต ศก.ดร.อำนาจ สุวรรณฤทธิ์
ปล.เน้นย้ำว่าไม่ใช่การโจมตีปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยเคมี แต่เป็นการสร้างความเข้าใจในการใช้ปุ๋ยที่ถูกต้อง และมีความต้องการให้พี่น้องเกษตรกรได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อนำไปปรับปรุงวิธีการผลิตให้ต้นทุนต่ำลงและได้คุณภาพมากขึ้น
#ปุ๋ยเคมี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ปุ๋ยเคมีโดนโจมตีว่าเป็นผู้ร้ายมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้แต่แท้จริงแล้วปุ๋ยเคมีไม่ได้ทำให้ดินเสียหรือเกิดสารตกค้างในพืช แต่การใช้ปุ๋ยเคมีอย่างผิดวิธีต่างหากที่ทำให้ดินเสีย เพราะปุ๋ยเคมีมีแค่ธาตุอาหารหลัก 3 ชนิด แต่ที่พืชต้องการจริงๆคือ 17 ชนิด การใส่แต่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวทำให้ดินมีแค่ธาตุอาหารหลัก แต่ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมรวมทั้งอินทรีย์วัตถุในดินยังคงถูกใช้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อใช้แต่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวในระยะหนึ่งผลผลิตจะค่อยๆลดคุณภาพและปริมาณลง ดินก็จะแข็งมากขึ้นเพราะอินทรีย์วัตถุเหลือน้อยลง
#ปุ๋ยอินทรีย์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ในช่วงเวลาเดียวกับที่ปุ๋ยเคมีกลายเป็นจำเลยของสังคมเกษตรกรนั้นปุ๋ยอินทรีย์ก็ถูกยกขึ้นมาเป็นพระเอกขี่ม้าขาวเข้ามากู้วิกฤติ แต่รู้หรือไม่ว่าการใช้ผิดวิธีสิ่งที่คิดว่าเป็นพระเอกขี่ม้าขาวจะกลายเป็นผู้ร้ายตัวจริง !!!
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
1.ปุ๋ยอินทรีย์ส่วนใหญ่มีไนโตรเจนมากกว่าฟอสฟอรัสและโปรแทดเซี่ยม ซึ่งหากพืชได้รับไนโตรเจนสูงเกินไปจะถูกโรคและแมลงเข้าทำลายได้ง่ายกว่าพืชที่ได้รับฟอสฟอรัสกับโปรแทดเซี่ยมที่เพียงพอ
2.ปุ๋ยอินทรีย์มีความเสี่ยงในการสะสมโลหะหนักในดินมากกว่าปุ๋ยเคมี (ถ้าหากใช้ปุ๋ยจากแหล่งผลิตที่มีการปนเปื่อน ซึ่งการผลิตปุ๋ยอินทรีย์มีการตรวจสอบย้อนกลับน้อยมาก)
3.ราคาและปริมาณเทียบความคุ้มค่าต่อธาตุอาหารหลักปุ๋ยอินทรีย์จะมีราคาสูงกว่าปุ๋ยเคมีมาก
#ความแตกต่างของปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1.โดยปกติปุ๋ยเคมีจะมีแค่ธาตุอาหารหลักในขณะที่ปุ๋ยอินทรีย์มีทั้งธาตุหลัก ธาตุรอง ธาตุเสริม และอินทรีย์วัตถุ
2.ปุ๋ยเคมีสามารถปลดปล่อยธาตุอาหารได้ทันทีสามารถให้ตรงกับความต้องการของพืชในแต่ละช่วงเวลาได้ แต่ปุ๋ยอินทรีย์จะปลดปล่อยไม่ต่อเนื่องและมักจะไม่ตรงช่วงเวลาที่พืชต้องการ
3.เทียบราคาต่อธาตุอาหารหลักปุ๋ยเคมีจะมีราคาถูกกว่า
#การใช้ปุ๋ยที่ถูกต้อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้คงจะเป็นการยากที่จะบอกว่าให้ใครใช้ปุ๋ยอะไรกับต้นอะไรตรงไหนในปริมาณเท่าไร เพราะดินแต่ละที่มีความเหมาะสมต่อปุ๋ยต่างชนิดกัน ดินแต่ละที่มีธาตุอาหารต่างกัน และที่สำคัญพืชแต่ละชนิดและแต่ละช่วงวัยต้องการธาตุอาหารต่างชนิดกัน ความเหมาะสมจึงอยู่ที่การใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นตัวปรับโครงสร้างดินและเพิ่มธาตุรอง ธาตุเสริมกับอินทรียฺ์วัตถุ ในขณะที่ปุ๋ยเคมีใช้สำหรับเพิ่มธาตุอาหารหลักและกระตุ้นตามช่วงเวลาที่ต้องการบำรุงต้น ดอก ใบ ผล ราก และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรมีการนำดินไปตรวจ (ตรวจฟรีที่สำนักงานพัฒนาที่ดินหรือสถานีพัฒนาที่ดินประจำจังหวัด) เพื่อให้ทราบโครงสร้างดินของตนเองและค่อยปรับปรุงดินตามความเหมาะสมของในแต่ละพื้นที่ต่อไป
ที่สำคัญการให้ปุ๋ยที่ดีไม่ใช่รองก้นหลุมทีเดียวเยอะทีเดียวตอนปลูก แต่เป็นการคลุกผสมดินที่ปลูกในปริมาณที่เหมาะสมและมีการเติมอย่างต่อเนื่องตามการเจริญเติบโตของพืช
นอกจากนี้ยังมีการทดลองแล้วว่าการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และเคมีผสมกันจะให้ให้ผลิตสูงกว่าใช้ตัวเดียวและต้นทุนรวมจะต่ำกว่า ที่สำคัญมีการทดลองพบกว่าการใช้ร่วมกันจะช่วยให้ผักผลไม้มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าใช้แค่ตัวใดตัวหนึ่ง
คำแนะนำพิเศษ ไม่ควรใช้ปุ๋ยอินทรีย์เกิน 2 กก./ตรม.หรือ 3 ตัน/ไร่ เนื่องจากพืชจะได้รับธาตุอาหารบางชนิดสูงเกินไปจนเป็นอันตรายต่อพืช (ศ.ธีระพงษ์ สว่างปัญญางกูร)
#การใช้ดินอย่างถูกต้อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1.ห้ามเผาโดยเด็ดขาด การเผาจะทำลายอินทรีย์วัตถุ จุลินทรีย์ สัตว์ขนาดเล็ก ฮอร์โมนพืช และแร่ธาตุบางชนิดภายในดินให้สลายไป และถ้าเผาอย่างต่อเนื่องจะทำให้โครงสร้างดินเสียหายอย่างถาวร
2.ลดการใช้สารเคมีกำจัดแมลงและวัชพืช แม้สองชนิดนี้จะไม่ทำความเสียหายให้โครงสร้างดินโดยตรง แต่จะทำให้สัตว์ขนาดเล็กและจุลินทรีย์ถูกทำลายซึ่งมีผลเสียทางอ้อมต่อคุณภาพดินและยังทำให้มีสารพิษตกค้างในผลผลิตด้วย
3.มีแนวโน้มชี้ว่าการไถหน้าดินในระดับความลึกเดิม(เช่นที่ความลึก 10 ซม.) และการใช้เครื่องจักรหนักซ้ำอย่างต่อเนื่องจะก่อให้เกิดชั้นดินดานซึ่งเป็นผลเสียต่อการเจริญของรากพืช
4.พื้นที่น้ำหลากหรือพื้นที่ที่ให้น้ำด้วยการให้ปริมาณมากทีเดียวจะมีน้ำไหลออกเยอะจะมีการสูยเสียหน้าดินที่มีธาตุอาหารสูงไป และยังทำให้มีการปนเปื่อนในแหล่งน้ำเนื่องจากไนเตรดถูกชะลงไปหากมีมากเกินไปจะเกิดพิษต่อแหล่งน้ำนั้น หากไม่สามารถปรับทิศทางการไหลของน้ำหลากได้ให้ปลูกพืชคลุมดินเพื่อช่วยลดการชะล้าง (ควรมีการปลูกหญ้าแฝกในทิศทางของน้ำไหลเข้าเพื่อลดแรงปะทะและในทิศทางไหลออกเพื่อลดการสูญเสียหน้าดิน)
5.ไม่ปลูกพืชชนิดเดิมซ้ำๆที่เดิม เพราะพืชชนิดเดิมก็ต้องการธาตุอาหารเดิมๆ ทำให้ธาตุนั้นๆถูกใช้จนหมด หรือทำให้ธาตุบางชนิดเพิ่มมากขึ้นจนส่งผลเสียต่อดินหรือส่งผลเสียต่อการเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารชนิดอื่น
เครดิต ศก.ดร.อำนาจ สุวรรณฤทธิ์
ปล.เน้นย้ำว่าไม่ใช่การโจมตีปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยเคมี แต่เป็นการสร้างความเข้าใจในการใช้ปุ๋ยที่ถูกต้อง และมีความต้องการให้พี่น้องเกษตรกรได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อนำไปปรับปรุงวิธีการผลิตให้ต้นทุนต่ำลงและได้คุณภาพมากขึ้น
สมาชิกหมายเลข 7542724 ถูกใจ, โหลลูกกวาด ถูกใจ, Nomention ทึ่ง, 9uJ ถูกใจ, silentkung ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1331578 ถูกใจ, จิ๊กโก๋ทะเลทราย ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 829200 ถูกใจ, Darkmonk ถูกใจ, Autster ถูกใจรวมถึงอีก 2 คน ร่วมแสดงความรู้สึก
▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ชีววิทยา
ทำไมถึงต้องใช้ปุ๋ยเคมีอยู่ ทั้งที่เมืองไทยเป็นประเทศเขตร้อน