
ขอบอกก่อนเลยว่าเป็นการรีวิวการเดินทางไปเที่ยวโตเกียวและเมืองโดยรอบให้เป็นครั้งแรก อาจจะไม่ละเอียดมากแต่ก็จะพยายามเล่าประสบการณ์รวมทั้งเกร็ดและเทคนิคการเดินทางไปยังจุดหมายที่วางไว้ การเดินทางของผมในครั้งนี้ถือว่าเป็นการเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งแรก เราไปกัน 3 คน ชายโฉด เอ้ย ชายโสด
เราวางแผนการเดินทางเกือบปีหลังจากที่ได้จองโปรตั๋วที่นั่งของหางแดงบินตรงจากสนามบินดอนเมือง มายังสนามบินนาริตะ ได้ช่วงกลางๆเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ระยะเวลารวม 8 วัน 6 คืน โดยใช้เที่ยวบิน XJ 600 เครื่องออกเวลา 23.45 น. ก่อนการเดินทางเราได้สำรวจพื้นที่จาก Google Map รวมทั้งไปงานที่จัดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นงานไทยเที่ยวไทย ไปเที่ยวโลก งานเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง พวกเราไปมาหมด เก็บสะสมแผนที่และใช้โอกาสสอบถามเส้นทางที่น่าสนใจรวมทั้ง Pass ต่างๆที่ใช้ในการเดินทางให้คุ้มค่าที่สุด เพราะเราตั้งเป้าหมายว่าไปเก็บที่สำคัญให้ครบและต้องใช้เงินให้คุ้มค่าที่สุด เราเลยค่อนข้างจะละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ค้นหา Pass ต่างๆที่เหมาะกับการเดินทางของพวกเรา
ภาพล่างนี้แสดงไฟท์บินของพวกเรา ขาไปไฟท์ดึกถึงเช้า ขากลับไฟท์เช้าถึงบ่าย

การเดินทางในครั้งนี้ผมเดินทางกับเพื่อนอีก 2 คน ไปกันช่วงวันที่ 11-18 กุมภาพันธ์ 2558 มีช่วงวาเลนไทน์ด้วย 555+ กะว่าจะไปดูซักหน่อยว่าที่ญี่ปุ่นเขาออกเดตกันยังไง อิอิ ตารางคร่าวๆที่เราจัดวางไว้มีดังนี้
PART 1 : DAY 1 การเดินทางจาก DMK – NRT - Shinjuku Station
เอาเป็นว่าเรามาเริ่มออกเดินทางไปพร้อมๆกับพวกเรากันเลยดีกว่า วันแรกของการเดินทาง เนื่องจากเป็นไฟท์ดึก เราก็เลยนัดกันที่สนามบินดอนเมืองประมาณ 2 ทุ่มเพื่อเช็คอิน ครั้งนี้พอดีมันเป็นโปร โดยปกติการซื้อตั๋วของหางแดงถ้าในช่วงโปรโมชั่นมันก็จะไม่รวมค่าโหลดกระเป๋า ค่าอาหาร ค่าจองที่นั่งอยู่แล้ว อันนี้พวกเราไม่ค่อยซีเรียส เพราะก็ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ แต่คิดได้ว่าควรโหลดกระเป๋าไปซักหน่อยเพื่อไม่ให้ยุ่งยาก เราก็เลยจองโหลดกระเป๋ามา 20 กิโลกรัม ราคาก็อยู่ที่ 700 บาท ส่วนอาหารก็ไม่ได้จองเพราะกลางคืนแล้วคงไม่หิวอะไรมาก ที่นั่งก็ให้ระบบสุ่มให้ แต่พวกเราก็ได้นั่งติดกัน 3 ที่นั่งเลย ที่นั่งในเครื่องเป็นแบบ 3 3 3 เป็นแถวๆละ 9 ที่นั่ง เว้นช่องตรงกลาง 2 ช่องไว้เดิน ก็ถือว่าสะดวกดีไม่กว้างและไม่แคบมากเกินไป
หลังจากที่พวกเราเช็คอินแล้วเข้าไปรอขึ้นเครื่อง ภายในก็มีพวกของปลอดภาษีเหมือนสนามบินทั่วๆไป แต่ขาออกนอกประเทศไม่มีเซเว่นนะบอกไว้ก่อน ร้านอาหารที่เห็นก็จะมี S&P ,McDonald ,Subway ไรพวกนี้ เมื่อได้เวลาขึ้นเครื่องเราก็เตรียมบอร์ดดิ้งพาสให้เรียบร้อย เขาจะเรียกเรียงตามลำดับ ผู้ที่จองที่พรีเมี่ยมก็จะได้ขึ้นเครื่องก่อน แล้วก็ตามแถวที่กำหนด อันนี้ก็ชิวๆเพราะเราไม่ได้เร่งรีบขึ้นเครื่องอะไรเพราะยังไงก็ถึงเหมือนกัน หลังจากเครื่อง Take-off ก็เห็นแต่แสงไฟยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร เรืองรองสว่างไสวไปทั่วพื้นที่เพราะเป็นเวลา 5 ทุ่มกว่าเกือบๆเที่ยงคืน ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง พวกเราก็ใช้โอกาสนี้งีบหลับเต็มพลังกันซะหน่อย ก่อนที่ภารกิจแรกในเช้าวันรุ่งขึ้นจะเกิดขึ้น
เช้าวันที่ 2 ของการเดินทาง เรามาถึงสนามบินนาริตะเร็วกว่ากำหนดเวลาถึงเกือบๆ 1 ชั่วโมง กัปตันขับได้นุ่มมาก เร็วมาก เร็วกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้ เรามาถึงสนามบินนาริตะเวลาประมาณ เกือบๆ 7 โมงเช้า แต่ในบอร์ดดิ้งพาสบอกว่าจะถึงเวลา 8 โมงเช้า ไม่รอช้าหลังจากผ่านด่านตม.ลงบันได้เลื่อนเจอคำว่า “Welcome to Japan” แล้วก็รอกระเป๋าที่โหลดใต้เครื่อง
หลังจากนั้นก็ผ่านด่านตรวจของกรมศุลกากร เขาอาจมีการถามบ้างนิดหน่อย ของพวกเราก็เจอถามว่ามากันกี่คน จะไปที่ไหน ก็เป็นคำถามธรรมดาๆ พวกเราก็ตอบไปตามความเป็นจริง สุดท้ายเจ้าหน้าที่ยังต้อนรับและอวยพรให้พวกเราเดินทางให้สนุกกับทริปนี้อีกด้วย
เมื่อผ่านด่านศุลกากรซึ่งเป็นด่านสุดท้ายออกมาก็จะเจอฝูงมหาชนที่มารอรับลูกค้าหรือญาติที่มารอรับต่างมายืนเกาะรั้ว โชว์ป้ายและข้อความที่บ่งบอกว่าตัวเองมาทำอะไร มาต้อนรับใคร แต่ของพวกเราไม่มีนะ 555+ ก็เดินออกมา

Route เข้าเมืองโตเกียวมีหลายเส้นทางให้เลือก
จริงๆ เราวางแผนการเดินทางไว้ว่า พาสที่จะใช้ในการเดินทางเข้าตัวเมืองโตเกียว ที่มีโปรอยู่ตอนนี้ก็คือของ Narita Express หรือ N’EX ซึ่งราคาก็ไม่แพงอยู่ที่คนละ 1,500 เยน (ขาเข้าโตเกียวอย่างเดียว)ต่อคน

อีกอย่างมีพาสสำหรับการเดินทางไปไหนมาไหนในโตเกียวอย่างง่ายดายด้วยพาสรถไฟใต้ดิน Tokyo Subway 1 Day และ 3 Days เนื่องจากคำนวณแล้วว่าคุ้ม บัตร 1 วัน(สีแดง) ราคา 800 เยน ส่วนบัตร 3 วัน(สีเหลือง) ราคา 1,500 เยน ใช้เดินทางรถไฟใต้ดินของโตเกียวได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ถือว่าคุ้มมากเพราะการเดินทางครั้งหนึ่งก็ตกราวๆเฉลี่ยครั้งละ 200-300 เยนแล้ว ปล.มีบัตร 2 วัน(สีฟ้า) ด้วยราคา 1,200 เยน
วิธีสังเกตจุดซื้อตั๋ว Tokyo Subway
หลังจากออกจากด่านศุลกากร ออกประตูมาเจอคนเยอะๆให้สังเกตทางซ้ายมือจะมีเคาเตอร์ขายตั๋วของบริษัทรถไฟสังเกตป้ายที่วางบนเคาเตอร์ ดังรูปล่าง ก็ตรงดิ่งเข้าไปซื้อได้เลย อย่าลืมนำพาสปอร์ตของผู้ร่วมเดินทางทุกคนไปโชว์เขาด้วยนะ
วิธีสังเกตจุดซื้อตั๋ว Narita Express N’EX
เดินจากจุดซื้อตั๋วรถไฟ Tokyo Subway มาทางด้านขวา เดินลงบันไดเลื่อนมา ให้เลี้ยวซ้ายตรงไปเรื่อยๆ สังเกตทางขวามือจะเห็นเคาเตอร์ขายตั๋วอยู่ 2 ฝั่ง สังเกตสีของเคาเตอร์ก็ได้จะมีสีฟ้ากับสีแดง ให้มาทางสีแดง Keisei -JR East travel service center สังเกตสัญลักษณ์ของ N'EX
อันนี้เป็นโปรที่มีในช่วงที่เรามา ตอนนี้หมดโปรแล้วและมีโปรใหม่มาแทน
ส่วนอันนี้โปรใหม่ล่าสุด ไป-กลับ นาริตะ โตเกียว คนละ 4,000 เยน สามารถดูข้อมูลเพิ่มเต็มได้ที่
http://www.jreast.co.jp/e/nex/tickets.html
แนะนำ App สามัญประจำเครื่องใช้ชีวิตในโตเกียว
มาญี่ปุ่นทั้งทีคงต้องมีการใช้โซเซียลเพื่ออัพเดตข้อมูล รวมทั้งอัพภาพสวยๆให้เพื่อนๆดู ก็ต้องโหลดแอพสามัญประจำเครื่องไว้ในในโตเกียวกันด้วยนะครับ เพราะที่โตเกียวก็มีจุดปล่อยสัญญาณ Wifi ให้ใช้เน็ตกันแบบฟรีๆหลายจุด จุดหลักๆก็จะเป็นพวกสถานีรถไฟใต้ดิน ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร เป็นต้น

แอพที่แนะนำให้โหลดเก็บไว้เพื่อเชื่อมต่อสัญญาณกับอินเตอรเน็ตที่ญี่ปุ่นก็จะมี Japan Connected-free Wi-Fi!กับ TRAVEL JAPAN Wi-Fi หลักๆที่ใช้ แล้วก็ยังมีแอพเสริมอื่นๆที่ช่วยในการเดินทาง เช่น Hyperdia by VOICE ,Tokyo Subway Navigation , Trains.jp, NAVITIME for Japan Travel เป็นต้น ก็ลองเลือกดูว่าแอพไหนที่หน้าจะเป็นประโยชน์กับเราก็ลองโหลดไว้ไม่เสียหาย

หลังจากได้ตั๋วทั้งสองอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางกัน รอบรถไฟของเราคือ 8.17 น. ง่ายๆ ดูตามป้ายจะบอกเลยว่าขึ้นที่ชานชาลาไหน เวลาเท่าไหร่ อย่าลืมดูในตั๋วว่าเรานั่งที่นั่งอะไร โบกี้ที่เท่าไหร่ ก็ให้ไปยืนรอตามจุดที่แปะไว้ตรงทางเท้าเข้าตัวรถไฟจะมีบอกอยู่

รถไฟมาตรงเวลามาก 8.17 ปุ๊บก็มาเลย เราใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงกว่า เวลา 10 โมง

เราก็มาถึงสถานีชินจูกุ (Shinjuku) ซึ่งเป้าหมายวันนี้คือต่อรถไปยังคาวากูชิโกะ เราก็เลยต้องนั่งมาลงที่ชินจูกุ แต่ N’EX ก็มีจุดลงหลายที่อยู่ที่ว่าเพื่อนๆจะลงที่ไหน ลองไปดูรายละเอียดละกันครับ

มาต่อกัน เมื่อถึงสถานีชินจูกุแล้วก็จะต้องเดินตามหาจุดจอดรถบัสที่ไปคาวากูชิโกะซึ่งเป็น รถบัสของบริษัท Keio Bus ให้บริการจากสถานี Keio Highway Bus Terminal (สถานีอยู่ตรงข้ามห้าง Yodobashi) ที่ย่านชินจุกุ รถจะวิ่งตรงมาลงปลายทางที่สถานี Kawaguchiko ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 1,700 ¥/เที่ยว รถออกทุกครึ่งชั่วโมง (ซื้อตั๋วไป-กลับ 3,400 ¥/คน) อันนี้บอกอีกอย่างคือให้สำรองที่นั่งมาล่วงหน้า เพราะเท่าที่ดูหน้างานหรือหน้าเคาเตอร์คนเยอะมาก อาจไม่เพียงพอถ้าจะไปจองที่นั่น โชคดีที่เราทำการศึกษามาดีเลยจองผ่านเว็บไซต์
https://www.highwaybus.com/rs-web01-prd-rel/gp/foreign/frgSelectLine?lang=en ส่วนวิธีจองก็มีคนรีวิวมากมาย ยกตัวอย่างเช่น
http://www.mu-ku-ra.com/2015/01/highway-bus-shinjuku-kawaguchiko.html ปริ้นใบจองออกมา แล้วเมื่อมาถึงเคาเตอร์ก็ยื่นใบจองให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็จะเปลี่ยนใบจองของเราเป็นตั๋วจริงให้พร้อมกับชำระเงิน

พอดีว่าเรามีกระเป๋าลากใบใหญ่ 2 ใบ จะเอาไปคาวากูชิโกะด้วยก็ดูจะลำบาก เราก็เลยหาตู้ฝากกระเป๋า อยู่บริเวณในสถานีรถไฟชินจูกุเลย หาไม่ยาก เป็นตู้ฝากกระเป๋าหยอดเหรียญ มีหลายราคาขึ้นอยู่กับขนาดไซส์กระเป๋า พอดีกระเป๋าของพวกเราสามารถยัดเข้าได้ทั้งสองใบ ช่องใหญ่สุด ตกอยู่ที่วันละ 600 เยน คิดเป็นวัน เราจะกลับมาเอากระเป๋าพรุ่งนี้ก็เสีย 2 วัน 1200 เยน ก็คุ้มนะกับการที่ไม่ต้องแบกกระเป๋าพะรุงพะรัง เอาเฉพาะเสื้อผ้าของใช้จำเป็นใส่เป้เล็กไป สบายๆ เดินตัวปลิว ที่ตู้เป็นแบบให้ตั๋วพร้อมรหัสเปิด เมื่อใดมาเปิดก็ต้องใส่รหัสใส่เงินตามจำนวนเงินคิดตามวันที่ฝากกระเป๋าง่ายๆเลย
つづく
To be Continued PART 2 ได้ที่
http://pantip.com/topic/34477683
ติดตาม PART อื่นๆได้ที่
PART 3
http://pantip.com/topic/34478336
PART 4
http://pantip.com/topic/34478681
PART 5
http://pantip.com/topic/34479411
PART 6
http://pantip.com/topic/34479450
PART 7
http://pantip.com/topic/34481774
[CR] ตะลุยญี่ปุ่น พิชิต Landmark {Tokyo-Kawaguchiko-Kawagoe-Noborito-Naruto-Narita} 8 วัน 6 คืน 30,000 เอาอยู่ [PART 1]
ขอบอกก่อนเลยว่าเป็นการรีวิวการเดินทางไปเที่ยวโตเกียวและเมืองโดยรอบให้เป็นครั้งแรก อาจจะไม่ละเอียดมากแต่ก็จะพยายามเล่าประสบการณ์รวมทั้งเกร็ดและเทคนิคการเดินทางไปยังจุดหมายที่วางไว้ การเดินทางของผมในครั้งนี้ถือว่าเป็นการเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งแรก เราไปกัน 3 คน ชายโฉด เอ้ย ชายโสด
เราวางแผนการเดินทางเกือบปีหลังจากที่ได้จองโปรตั๋วที่นั่งของหางแดงบินตรงจากสนามบินดอนเมือง มายังสนามบินนาริตะ ได้ช่วงกลางๆเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ระยะเวลารวม 8 วัน 6 คืน โดยใช้เที่ยวบิน XJ 600 เครื่องออกเวลา 23.45 น. ก่อนการเดินทางเราได้สำรวจพื้นที่จาก Google Map รวมทั้งไปงานที่จัดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นงานไทยเที่ยวไทย ไปเที่ยวโลก งานเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง พวกเราไปมาหมด เก็บสะสมแผนที่และใช้โอกาสสอบถามเส้นทางที่น่าสนใจรวมทั้ง Pass ต่างๆที่ใช้ในการเดินทางให้คุ้มค่าที่สุด เพราะเราตั้งเป้าหมายว่าไปเก็บที่สำคัญให้ครบและต้องใช้เงินให้คุ้มค่าที่สุด เราเลยค่อนข้างจะละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ค้นหา Pass ต่างๆที่เหมาะกับการเดินทางของพวกเรา
ภาพล่างนี้แสดงไฟท์บินของพวกเรา ขาไปไฟท์ดึกถึงเช้า ขากลับไฟท์เช้าถึงบ่าย
การเดินทางในครั้งนี้ผมเดินทางกับเพื่อนอีก 2 คน ไปกันช่วงวันที่ 11-18 กุมภาพันธ์ 2558 มีช่วงวาเลนไทน์ด้วย 555+ กะว่าจะไปดูซักหน่อยว่าที่ญี่ปุ่นเขาออกเดตกันยังไง อิอิ ตารางคร่าวๆที่เราจัดวางไว้มีดังนี้
PART 1 : DAY 1 การเดินทางจาก DMK – NRT - Shinjuku Station
เอาเป็นว่าเรามาเริ่มออกเดินทางไปพร้อมๆกับพวกเรากันเลยดีกว่า วันแรกของการเดินทาง เนื่องจากเป็นไฟท์ดึก เราก็เลยนัดกันที่สนามบินดอนเมืองประมาณ 2 ทุ่มเพื่อเช็คอิน ครั้งนี้พอดีมันเป็นโปร โดยปกติการซื้อตั๋วของหางแดงถ้าในช่วงโปรโมชั่นมันก็จะไม่รวมค่าโหลดกระเป๋า ค่าอาหาร ค่าจองที่นั่งอยู่แล้ว อันนี้พวกเราไม่ค่อยซีเรียส เพราะก็ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ แต่คิดได้ว่าควรโหลดกระเป๋าไปซักหน่อยเพื่อไม่ให้ยุ่งยาก เราก็เลยจองโหลดกระเป๋ามา 20 กิโลกรัม ราคาก็อยู่ที่ 700 บาท ส่วนอาหารก็ไม่ได้จองเพราะกลางคืนแล้วคงไม่หิวอะไรมาก ที่นั่งก็ให้ระบบสุ่มให้ แต่พวกเราก็ได้นั่งติดกัน 3 ที่นั่งเลย ที่นั่งในเครื่องเป็นแบบ 3 3 3 เป็นแถวๆละ 9 ที่นั่ง เว้นช่องตรงกลาง 2 ช่องไว้เดิน ก็ถือว่าสะดวกดีไม่กว้างและไม่แคบมากเกินไป
หลังจากที่พวกเราเช็คอินแล้วเข้าไปรอขึ้นเครื่อง ภายในก็มีพวกของปลอดภาษีเหมือนสนามบินทั่วๆไป แต่ขาออกนอกประเทศไม่มีเซเว่นนะบอกไว้ก่อน ร้านอาหารที่เห็นก็จะมี S&P ,McDonald ,Subway ไรพวกนี้ เมื่อได้เวลาขึ้นเครื่องเราก็เตรียมบอร์ดดิ้งพาสให้เรียบร้อย เขาจะเรียกเรียงตามลำดับ ผู้ที่จองที่พรีเมี่ยมก็จะได้ขึ้นเครื่องก่อน แล้วก็ตามแถวที่กำหนด อันนี้ก็ชิวๆเพราะเราไม่ได้เร่งรีบขึ้นเครื่องอะไรเพราะยังไงก็ถึงเหมือนกัน หลังจากเครื่อง Take-off ก็เห็นแต่แสงไฟยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร เรืองรองสว่างไสวไปทั่วพื้นที่เพราะเป็นเวลา 5 ทุ่มกว่าเกือบๆเที่ยงคืน ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง พวกเราก็ใช้โอกาสนี้งีบหลับเต็มพลังกันซะหน่อย ก่อนที่ภารกิจแรกในเช้าวันรุ่งขึ้นจะเกิดขึ้น
เช้าวันที่ 2 ของการเดินทาง เรามาถึงสนามบินนาริตะเร็วกว่ากำหนดเวลาถึงเกือบๆ 1 ชั่วโมง กัปตันขับได้นุ่มมาก เร็วมาก เร็วกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้ เรามาถึงสนามบินนาริตะเวลาประมาณ เกือบๆ 7 โมงเช้า แต่ในบอร์ดดิ้งพาสบอกว่าจะถึงเวลา 8 โมงเช้า ไม่รอช้าหลังจากผ่านด่านตม.ลงบันได้เลื่อนเจอคำว่า “Welcome to Japan” แล้วก็รอกระเป๋าที่โหลดใต้เครื่อง
หลังจากนั้นก็ผ่านด่านตรวจของกรมศุลกากร เขาอาจมีการถามบ้างนิดหน่อย ของพวกเราก็เจอถามว่ามากันกี่คน จะไปที่ไหน ก็เป็นคำถามธรรมดาๆ พวกเราก็ตอบไปตามความเป็นจริง สุดท้ายเจ้าหน้าที่ยังต้อนรับและอวยพรให้พวกเราเดินทางให้สนุกกับทริปนี้อีกด้วย
เมื่อผ่านด่านศุลกากรซึ่งเป็นด่านสุดท้ายออกมาก็จะเจอฝูงมหาชนที่มารอรับลูกค้าหรือญาติที่มารอรับต่างมายืนเกาะรั้ว โชว์ป้ายและข้อความที่บ่งบอกว่าตัวเองมาทำอะไร มาต้อนรับใคร แต่ของพวกเราไม่มีนะ 555+ ก็เดินออกมา
Route เข้าเมืองโตเกียวมีหลายเส้นทางให้เลือก
จริงๆ เราวางแผนการเดินทางไว้ว่า พาสที่จะใช้ในการเดินทางเข้าตัวเมืองโตเกียว ที่มีโปรอยู่ตอนนี้ก็คือของ Narita Express หรือ N’EX ซึ่งราคาก็ไม่แพงอยู่ที่คนละ 1,500 เยน (ขาเข้าโตเกียวอย่างเดียว)ต่อคน
อีกอย่างมีพาสสำหรับการเดินทางไปไหนมาไหนในโตเกียวอย่างง่ายดายด้วยพาสรถไฟใต้ดิน Tokyo Subway 1 Day และ 3 Days เนื่องจากคำนวณแล้วว่าคุ้ม บัตร 1 วัน(สีแดง) ราคา 800 เยน ส่วนบัตร 3 วัน(สีเหลือง) ราคา 1,500 เยน ใช้เดินทางรถไฟใต้ดินของโตเกียวได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ถือว่าคุ้มมากเพราะการเดินทางครั้งหนึ่งก็ตกราวๆเฉลี่ยครั้งละ 200-300 เยนแล้ว ปล.มีบัตร 2 วัน(สีฟ้า) ด้วยราคา 1,200 เยน
วิธีสังเกตจุดซื้อตั๋ว Tokyo Subway
หลังจากออกจากด่านศุลกากร ออกประตูมาเจอคนเยอะๆให้สังเกตทางซ้ายมือจะมีเคาเตอร์ขายตั๋วของบริษัทรถไฟสังเกตป้ายที่วางบนเคาเตอร์ ดังรูปล่าง ก็ตรงดิ่งเข้าไปซื้อได้เลย อย่าลืมนำพาสปอร์ตของผู้ร่วมเดินทางทุกคนไปโชว์เขาด้วยนะ
วิธีสังเกตจุดซื้อตั๋ว Narita Express N’EX
เดินจากจุดซื้อตั๋วรถไฟ Tokyo Subway มาทางด้านขวา เดินลงบันไดเลื่อนมา ให้เลี้ยวซ้ายตรงไปเรื่อยๆ สังเกตทางขวามือจะเห็นเคาเตอร์ขายตั๋วอยู่ 2 ฝั่ง สังเกตสีของเคาเตอร์ก็ได้จะมีสีฟ้ากับสีแดง ให้มาทางสีแดง Keisei -JR East travel service center สังเกตสัญลักษณ์ของ N'EX
อันนี้เป็นโปรที่มีในช่วงที่เรามา ตอนนี้หมดโปรแล้วและมีโปรใหม่มาแทน
ส่วนอันนี้โปรใหม่ล่าสุด ไป-กลับ นาริตะ โตเกียว คนละ 4,000 เยน สามารถดูข้อมูลเพิ่มเต็มได้ที่ http://www.jreast.co.jp/e/nex/tickets.html
แนะนำ App สามัญประจำเครื่องใช้ชีวิตในโตเกียว
มาญี่ปุ่นทั้งทีคงต้องมีการใช้โซเซียลเพื่ออัพเดตข้อมูล รวมทั้งอัพภาพสวยๆให้เพื่อนๆดู ก็ต้องโหลดแอพสามัญประจำเครื่องไว้ในในโตเกียวกันด้วยนะครับ เพราะที่โตเกียวก็มีจุดปล่อยสัญญาณ Wifi ให้ใช้เน็ตกันแบบฟรีๆหลายจุด จุดหลักๆก็จะเป็นพวกสถานีรถไฟใต้ดิน ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร เป็นต้น
แอพที่แนะนำให้โหลดเก็บไว้เพื่อเชื่อมต่อสัญญาณกับอินเตอรเน็ตที่ญี่ปุ่นก็จะมี Japan Connected-free Wi-Fi!กับ TRAVEL JAPAN Wi-Fi หลักๆที่ใช้ แล้วก็ยังมีแอพเสริมอื่นๆที่ช่วยในการเดินทาง เช่น Hyperdia by VOICE ,Tokyo Subway Navigation , Trains.jp, NAVITIME for Japan Travel เป็นต้น ก็ลองเลือกดูว่าแอพไหนที่หน้าจะเป็นประโยชน์กับเราก็ลองโหลดไว้ไม่เสียหาย
หลังจากได้ตั๋วทั้งสองอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางกัน รอบรถไฟของเราคือ 8.17 น. ง่ายๆ ดูตามป้ายจะบอกเลยว่าขึ้นที่ชานชาลาไหน เวลาเท่าไหร่ อย่าลืมดูในตั๋วว่าเรานั่งที่นั่งอะไร โบกี้ที่เท่าไหร่ ก็ให้ไปยืนรอตามจุดที่แปะไว้ตรงทางเท้าเข้าตัวรถไฟจะมีบอกอยู่
รถไฟมาตรงเวลามาก 8.17 ปุ๊บก็มาเลย เราใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงกว่า เวลา 10 โมง
เราก็มาถึงสถานีชินจูกุ (Shinjuku) ซึ่งเป้าหมายวันนี้คือต่อรถไปยังคาวากูชิโกะ เราก็เลยต้องนั่งมาลงที่ชินจูกุ แต่ N’EX ก็มีจุดลงหลายที่อยู่ที่ว่าเพื่อนๆจะลงที่ไหน ลองไปดูรายละเอียดละกันครับ
มาต่อกัน เมื่อถึงสถานีชินจูกุแล้วก็จะต้องเดินตามหาจุดจอดรถบัสที่ไปคาวากูชิโกะซึ่งเป็น รถบัสของบริษัท Keio Bus ให้บริการจากสถานี Keio Highway Bus Terminal (สถานีอยู่ตรงข้ามห้าง Yodobashi) ที่ย่านชินจุกุ รถจะวิ่งตรงมาลงปลายทางที่สถานี Kawaguchiko ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 1,700 ¥/เที่ยว รถออกทุกครึ่งชั่วโมง (ซื้อตั๋วไป-กลับ 3,400 ¥/คน) อันนี้บอกอีกอย่างคือให้สำรองที่นั่งมาล่วงหน้า เพราะเท่าที่ดูหน้างานหรือหน้าเคาเตอร์คนเยอะมาก อาจไม่เพียงพอถ้าจะไปจองที่นั่น โชคดีที่เราทำการศึกษามาดีเลยจองผ่านเว็บไซต์ https://www.highwaybus.com/rs-web01-prd-rel/gp/foreign/frgSelectLine?lang=en ส่วนวิธีจองก็มีคนรีวิวมากมาย ยกตัวอย่างเช่น http://www.mu-ku-ra.com/2015/01/highway-bus-shinjuku-kawaguchiko.html ปริ้นใบจองออกมา แล้วเมื่อมาถึงเคาเตอร์ก็ยื่นใบจองให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็จะเปลี่ยนใบจองของเราเป็นตั๋วจริงให้พร้อมกับชำระเงิน
พอดีว่าเรามีกระเป๋าลากใบใหญ่ 2 ใบ จะเอาไปคาวากูชิโกะด้วยก็ดูจะลำบาก เราก็เลยหาตู้ฝากกระเป๋า อยู่บริเวณในสถานีรถไฟชินจูกุเลย หาไม่ยาก เป็นตู้ฝากกระเป๋าหยอดเหรียญ มีหลายราคาขึ้นอยู่กับขนาดไซส์กระเป๋า พอดีกระเป๋าของพวกเราสามารถยัดเข้าได้ทั้งสองใบ ช่องใหญ่สุด ตกอยู่ที่วันละ 600 เยน คิดเป็นวัน เราจะกลับมาเอากระเป๋าพรุ่งนี้ก็เสีย 2 วัน 1200 เยน ก็คุ้มนะกับการที่ไม่ต้องแบกกระเป๋าพะรุงพะรัง เอาเฉพาะเสื้อผ้าของใช้จำเป็นใส่เป้เล็กไป สบายๆ เดินตัวปลิว ที่ตู้เป็นแบบให้ตั๋วพร้อมรหัสเปิด เมื่อใดมาเปิดก็ต้องใส่รหัสใส่เงินตามจำนวนเงินคิดตามวันที่ฝากกระเป๋าง่ายๆเลย
つづく
To be Continued PART 2 ได้ที่ http://pantip.com/topic/34477683
ติดตาม PART อื่นๆได้ที่
PART 3 http://pantip.com/topic/34478336
PART 4 http://pantip.com/topic/34478681
PART 5 http://pantip.com/topic/34479411
PART 6 http://pantip.com/topic/34479450
PART 7 http://pantip.com/topic/34481774