“ คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเราจะไม่ว่าอะไรคุณ ? “
“ เพราะ...อะไรบางอย่างบอกผมแบบนั้น “
คืนวันอังคาร ค่ำคืนแสนแปลกประหลาด อะไรบางอย่างดลใจให้ผมหยิบกุญแจรถ กระเป๋าสตางค์ และโทรศัพท์รุ่นก่อนที่เราจะได้รู้จักกับเฟซบุ๊ค เสื้อคอกลมแขนยาวสีน้ำตาลอมส้มกับกางเกงผ้าขายาวสีเทาอ่อนคือชุดที่ผมสวมใส่ รองเท้าผ้าใบสีวานิลลามีแถบสีแดงเลือดหมูพาดทับด้านข้างวางอยู่คู่กับถุงเท้าทำจากเส้นใยโพลีเอสเทอร์สีขาว ผมชอบรองเท้าผ้าใบ มันให้ความรู้สึกพร้อมจะรับมือกับทุกสถานกาณ์ดี ก้าวแต่ละก้าวของผมรุนแรงและเร่งรีบ ดัทสันสีแดงปี 70 จอดสงบนิ่งอยู่ในโรงจอดรถ เสียงเครื่องยนต์คำรามลั่นเมื่อผมบิดสวิทช์กุญแจไปที่สตาร์ท ราวกับมันจะบอกว่าข้าก็พร้อมแล้วเช่นกัน
We’re riding down the boulevard
We’re riding through the dark night
ประโยคแรกๆในเพลงที่วิทยุเปิด ผมไม่รู้ว่ามันคือเพลงอะไร แต่มันทำให้ผมฉุดรั้งสติของตัวเองอีกต่อไปไม่ไหว เริ่มจากเคาะนิ้วไล่ไปตามจังหวะเพลง เร่งเสียงให้ดังขึ้นอีก ผมเริ่มขยับร่างกายตัวเอง ปลดปล่อยอารมณ์ไปกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมสัมผัสและกำลังสัมผัสถึงมันมากขึ้น มากขึ้น
“ อื๊ดด “ ใครบางคนพยายามเตือนสติผมด้วยเสียงแตรรถยนต์ อาการลืมตัวเกิดขึ้นได้เสมอกับทุกคนแต่กับผมคงต้องเรียกว่า หนักเข้าขั้น ผมเหม่อได้ทุกที่ หลายครั้งที่ผมเกือบตาย แต่บางครั้งมันก็ดีเหมือนกัน อย่างเช่นเวลาที่แม่ผมบ่น
ผมขับรถต่อไป ฝ่าความวุ่นวายของสี่แยกไฟแตกนับสิบ และผู้คนอีกนับแสนนับล้าน ผมเป็นคนเดียวรึเปล่าที่กำลังควบคุมสติของตัวเองไม่อยู่ หวังว่าคงไม่ใช่ อาการหน่วงๆแถวท้องน้อยทำให้ผมรู้สึกอึดอัดไม่ใช่เล่น แต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจ ปล่อยให้ความรู้สึกวูบวาบดำเนินต่อไป
ไม่ไกลนัก จากการคาดคะเนด้วยสายตา รถของผมห่างจากช่องเก็บเงินค่าผ่านด่านมอเตอร์เวย์ไม่เกิน 1 กิโลเมตร โฟร์คสวาเก้น บีทเทิล รุ่นใหม่ สีเหลือง ขับแซงและปาดหน้ารถของผมชนิดที่เรียกว่าจดจำลมหายใจในขณะนั้นได้อีกนาน ผมสบถออกมาไม่เป็นคำไล่หลัง และพยายามขับตามไป แต่ก็ทำได้แค่นั้น ด่านเก็บเงินขวางกั้นการเล่นบทนักสืบของผมจนได้
“ ขอบคุณค่ะ “ เสียงพนักงานเก็บเงินค่าผ่านทางหนุ่มที่มีหน้าตาสวยกว่าผู้ชายทุกคน เธอยื่นใบเสร็จมาให้พร้อมกับเงินทอน เรายิ้มให้กัน ผมขับรถออกไป
รอยยิ้มมีพลังมากกว่าที่คิด อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ผมบอกกับตัวเองในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ว่า ให้มันเป็นอีกครั้ง ที่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ตัวเราเองก็คงเคยทำผิดต่อคนอื่นโดยความไม่ตั้งใจหรือประมาทมาบ้างเหมือนกัน สีแดงกลายเป็นสีเขียวทั้งๆที่ท้องฟ้าสีดำ ผมหัวเราะออกมา ปล่อยมือข้างขวาให้ล่องลอยไปกับสายลม จุดหมายของผมอยู่อีกไม่ไกล
ป้ายบอกทางลอยเด่นอยู่ในความมืดเมื่อผมสาดไฟสูงอ่านป้ายบอกทาง อีก 2 กิโลเมตร ระยองไปทางซ้าย พัทยาไปทางขวา ในขณะที่คนเราอยู่ในสถานการณ์ที่จำต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง สติของเราจะทำการชั่งน้ำหนักในหลายๆแง่มุมตามแบบฉบับเฉพาะบุคคล ในเสี้ยววินาทีนั้นทุกๆอย่างรอบตัวเรากลายเป็นเพียงองค์ประกอบที่ทำให้ชีวิตคือชีวิต พวงมาลัยรถหมุนทวนเข็มนาฬิกาเมื่อเข้าที่มันจึงค่อยๆเบนทิศทางทวนกลับมาตำแหน่งสมดุลย์อีกครั้ง รถของผมทะยานสู่ความมืดบนถนนหมายเลข 36 เสียงวิทยุขาดช่วงเป็นบางครั้ง อาการหน่วงๆแถวท้องน้อยทำให้ผมรู้สึกอึดอัดไม่ใช่เล่น
ผมคิดถึงครั้งสุดท้ายที่เท้าสัมผัสกับทราย นานพอสมควรจนผมแทบจะลืมสัมผัสที่ไม่เหมือนอะไรเลยของมัน ความอ่อนนุ่มที่เหมือนกับว่าพร้อมจะกลืนกินเราไปเรื่อยๆจากปลายสุดของร่างกายสู่เศษเสี้ยวสุดท้ายของสติ ใกล้เข้าไปทุกทีที่ผมจะได้สัมผัสมันอีกครั้ง แค่คิดผมก็สยิวที่ผ่าเท้าแล้ว
ผมขับต่อมาอีกราว 20 กิโลเมตร จึงเข้าสู่เขตชุมชน ป้ายบอกทางให้เลี้ยวไปทางขวา คือเส้นทางที่นำไปสู่ถนนเลียบหาด ผมเริ่มคิดกับตัวเองว่าอะไรนำผมมาที่นี่
หาดยามค่ำคืนแม้ไม่สวยเหมือนกลางวัน แต่ให้อารมณ์ลี้ลับ จับต้องไม่ได้ ได้แต่นั่งมองมันเงียบๆ สายลมอ่อนของลมทะเลที่พัดเข้าหาฝั่งในยามค่ำยืน โอกาสเหมาะของชาวประมงที่จะออกจับสัตว์น้ำ ไฟแต่ละดวงของเรือแต่ละลำทำหน้าที่ส่องแสงสีเขียวบ้าง ขาวนวลบ้าง ล่อให้สัตว์น้ำเข้ามาเริงระบำอย่างออกรสชาติกับเพื่อนฝูง หารู้ไม่ว่าคืนที่สวยงามที่สุดในชีวิตคือคืนเดียวกันกับที่พวกมันก้าวล้ำเข้าสู่แดนประหาร คงมีซักคืนที่เป็นคืนของผม ใครจะไปรู้
MAD I
“ เพราะ...อะไรบางอย่างบอกผมแบบนั้น “
คืนวันอังคาร ค่ำคืนแสนแปลกประหลาด อะไรบางอย่างดลใจให้ผมหยิบกุญแจรถ กระเป๋าสตางค์ และโทรศัพท์รุ่นก่อนที่เราจะได้รู้จักกับเฟซบุ๊ค เสื้อคอกลมแขนยาวสีน้ำตาลอมส้มกับกางเกงผ้าขายาวสีเทาอ่อนคือชุดที่ผมสวมใส่ รองเท้าผ้าใบสีวานิลลามีแถบสีแดงเลือดหมูพาดทับด้านข้างวางอยู่คู่กับถุงเท้าทำจากเส้นใยโพลีเอสเทอร์สีขาว ผมชอบรองเท้าผ้าใบ มันให้ความรู้สึกพร้อมจะรับมือกับทุกสถานกาณ์ดี ก้าวแต่ละก้าวของผมรุนแรงและเร่งรีบ ดัทสันสีแดงปี 70 จอดสงบนิ่งอยู่ในโรงจอดรถ เสียงเครื่องยนต์คำรามลั่นเมื่อผมบิดสวิทช์กุญแจไปที่สตาร์ท ราวกับมันจะบอกว่าข้าก็พร้อมแล้วเช่นกัน
We’re riding down the boulevard
We’re riding through the dark night
ประโยคแรกๆในเพลงที่วิทยุเปิด ผมไม่รู้ว่ามันคือเพลงอะไร แต่มันทำให้ผมฉุดรั้งสติของตัวเองอีกต่อไปไม่ไหว เริ่มจากเคาะนิ้วไล่ไปตามจังหวะเพลง เร่งเสียงให้ดังขึ้นอีก ผมเริ่มขยับร่างกายตัวเอง ปลดปล่อยอารมณ์ไปกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมสัมผัสและกำลังสัมผัสถึงมันมากขึ้น มากขึ้น
“ อื๊ดด “ ใครบางคนพยายามเตือนสติผมด้วยเสียงแตรรถยนต์ อาการลืมตัวเกิดขึ้นได้เสมอกับทุกคนแต่กับผมคงต้องเรียกว่า หนักเข้าขั้น ผมเหม่อได้ทุกที่ หลายครั้งที่ผมเกือบตาย แต่บางครั้งมันก็ดีเหมือนกัน อย่างเช่นเวลาที่แม่ผมบ่น
ผมขับรถต่อไป ฝ่าความวุ่นวายของสี่แยกไฟแตกนับสิบ และผู้คนอีกนับแสนนับล้าน ผมเป็นคนเดียวรึเปล่าที่กำลังควบคุมสติของตัวเองไม่อยู่ หวังว่าคงไม่ใช่ อาการหน่วงๆแถวท้องน้อยทำให้ผมรู้สึกอึดอัดไม่ใช่เล่น แต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจ ปล่อยให้ความรู้สึกวูบวาบดำเนินต่อไป
ไม่ไกลนัก จากการคาดคะเนด้วยสายตา รถของผมห่างจากช่องเก็บเงินค่าผ่านด่านมอเตอร์เวย์ไม่เกิน 1 กิโลเมตร โฟร์คสวาเก้น บีทเทิล รุ่นใหม่ สีเหลือง ขับแซงและปาดหน้ารถของผมชนิดที่เรียกว่าจดจำลมหายใจในขณะนั้นได้อีกนาน ผมสบถออกมาไม่เป็นคำไล่หลัง และพยายามขับตามไป แต่ก็ทำได้แค่นั้น ด่านเก็บเงินขวางกั้นการเล่นบทนักสืบของผมจนได้
“ ขอบคุณค่ะ “ เสียงพนักงานเก็บเงินค่าผ่านทางหนุ่มที่มีหน้าตาสวยกว่าผู้ชายทุกคน เธอยื่นใบเสร็จมาให้พร้อมกับเงินทอน เรายิ้มให้กัน ผมขับรถออกไป
รอยยิ้มมีพลังมากกว่าที่คิด อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ผมบอกกับตัวเองในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ว่า ให้มันเป็นอีกครั้ง ที่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ตัวเราเองก็คงเคยทำผิดต่อคนอื่นโดยความไม่ตั้งใจหรือประมาทมาบ้างเหมือนกัน สีแดงกลายเป็นสีเขียวทั้งๆที่ท้องฟ้าสีดำ ผมหัวเราะออกมา ปล่อยมือข้างขวาให้ล่องลอยไปกับสายลม จุดหมายของผมอยู่อีกไม่ไกล
ป้ายบอกทางลอยเด่นอยู่ในความมืดเมื่อผมสาดไฟสูงอ่านป้ายบอกทาง อีก 2 กิโลเมตร ระยองไปทางซ้าย พัทยาไปทางขวา ในขณะที่คนเราอยู่ในสถานการณ์ที่จำต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง สติของเราจะทำการชั่งน้ำหนักในหลายๆแง่มุมตามแบบฉบับเฉพาะบุคคล ในเสี้ยววินาทีนั้นทุกๆอย่างรอบตัวเรากลายเป็นเพียงองค์ประกอบที่ทำให้ชีวิตคือชีวิต พวงมาลัยรถหมุนทวนเข็มนาฬิกาเมื่อเข้าที่มันจึงค่อยๆเบนทิศทางทวนกลับมาตำแหน่งสมดุลย์อีกครั้ง รถของผมทะยานสู่ความมืดบนถนนหมายเลข 36 เสียงวิทยุขาดช่วงเป็นบางครั้ง อาการหน่วงๆแถวท้องน้อยทำให้ผมรู้สึกอึดอัดไม่ใช่เล่น
ผมคิดถึงครั้งสุดท้ายที่เท้าสัมผัสกับทราย นานพอสมควรจนผมแทบจะลืมสัมผัสที่ไม่เหมือนอะไรเลยของมัน ความอ่อนนุ่มที่เหมือนกับว่าพร้อมจะกลืนกินเราไปเรื่อยๆจากปลายสุดของร่างกายสู่เศษเสี้ยวสุดท้ายของสติ ใกล้เข้าไปทุกทีที่ผมจะได้สัมผัสมันอีกครั้ง แค่คิดผมก็สยิวที่ผ่าเท้าแล้ว
ผมขับต่อมาอีกราว 20 กิโลเมตร จึงเข้าสู่เขตชุมชน ป้ายบอกทางให้เลี้ยวไปทางขวา คือเส้นทางที่นำไปสู่ถนนเลียบหาด ผมเริ่มคิดกับตัวเองว่าอะไรนำผมมาที่นี่
หาดยามค่ำคืนแม้ไม่สวยเหมือนกลางวัน แต่ให้อารมณ์ลี้ลับ จับต้องไม่ได้ ได้แต่นั่งมองมันเงียบๆ สายลมอ่อนของลมทะเลที่พัดเข้าหาฝั่งในยามค่ำยืน โอกาสเหมาะของชาวประมงที่จะออกจับสัตว์น้ำ ไฟแต่ละดวงของเรือแต่ละลำทำหน้าที่ส่องแสงสีเขียวบ้าง ขาวนวลบ้าง ล่อให้สัตว์น้ำเข้ามาเริงระบำอย่างออกรสชาติกับเพื่อนฝูง หารู้ไม่ว่าคืนที่สวยงามที่สุดในชีวิตคือคืนเดียวกันกับที่พวกมันก้าวล้ำเข้าสู่แดนประหาร คงมีซักคืนที่เป็นคืนของผม ใครจะไปรู้